สวัสดีเป็นครั้งแรกครับ สำหรับคอมลัมน์ใหม่ของเว็บไซต์ AppDisqus อย่าง “ชวนคุยยามเช้า” ซึ่งจะมีแอดมินแต่ละท่านมาชวนคุยทั้งเรื่องสาระ และไม่สาระ ที่เกี่ยวกับทั้งวงการมือถือ หรือไม่เกี่ยวเลย
สำหรับผม แอดมินต้น จะรับหน้าที่นี้ทุกวันศุกร์นะครับ ซึ่งตั้งใจเอาไว้ว่าจะพักเรื่องมือถือเอาไว้ให้มากที่สุด และเขียนถึงเรื่องที่น่าสนใจเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความชอบของผมด้วย เช่นหนังหรือเกมส์นั่นเอง
สำหรับครั้งแรกของคอลัมน์นี้ ผมขอเขียนถึงหนังดังแห่งชั่วโมงนี้ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้อย่าง Fast and Furious 7 (หรือชื่อที่ต่างประเทศเรียกกันว่า Furious 7) ซึ่งความดังของหนังเรื่องนี้มีองค์ประกอบมากมายที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดังกว่าภาคก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแนวทางของหนังที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นหนังเน้นการขับรถซิ่ง ที่มีแอ๊คชั่นเป็นองค์ประกอบ มาเป็นหนังแอ๊กชั่นแบบ non-stop ที่มีการซิ่งรถเป็นองค์ประกอบรอง แถมด้วยแอ๊คชั่นที่แหกกฏฟิสิกส์และความเป็นไปได้ทุกอย่างของโลกด้วย ทำให้หนังเรื่องนี้สะใจคอแอ๊กชั่นทั่วโลกเอามากๆทีเดียว
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ… ในเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของ Fast & Furious 7 นี้ แน่นอนว่ามีการเผยจุดสำคัญของหนังหลายๆส่วน เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่ได้ดู ก็อาจจะจบการอ่านบทความไว้ตรงนี้ก่อน..เอาไว้ดูเสร็จแล้วค่อยมาอ่านต่อนะครับ
[divider]
สถิติมีไว้ถล่ม
Furious 7 สร้างสถิติใหม่ในแง่รายได้ ทั้งในบ้านเราและตลาดต่างประเทศ สำหรับบ้านเราเฉพาะวันแรกที่ออกฉายก็ทำเงินไปกว่า 42 ล้านบาท ขึ้นแท่นหนังทำเงินเปิดตัววันแรกที่เปิดตัววันธรรมดาสูงสุดตลอดกาลในบ้านเราไปแล้ว (ขนาดนับแค่ที่กรุงเทพและเชียงใหม่เท่านั้น) และคาดว่าน่าจะเอาชนะหนังต่างประเทศทำเงินสูงสุดในบ้านเราอย่าง Transformers Dark of the moon ที่ทำไว้ที่ 295 ล้านบาทได้
ส่วนที่ต่างประเทศ รายได้ก็ถล่มทลายไม่แพ้กัน ในสัปดาห์แรกที่เข้าฉาย Furious 7 ทำสถิติเป็นหนังเปิดตัวเดือนเมษายนสูงสุดตลอดกาล แซงหน้า Captain America: The Winter Soldier ไปเรียบร้อย โดยรายได้ที่อเมริกาอยู่ที่ 147 ล้านเหรียญสหรัฐในสัปดาห์แรก (จนถึงวันที่ 7 เมษายนทำเงินไปแล้ว 174 ล้านเหรียญ) และ 384 ล้านเหรียญสำหรับรายรับรวมทั่วโลก (จนถึงตอนนี้ รายรับรวมทั่วโลกผ่านหลัก 500 ล้านเหรียญไปแล้ว)
นอกจากนี้ Fast & Furious 7 ยังครองตำแหน่งหนังเปิดตัววันแรกสูงสุดตลอดกาลในอันดับที่ 10 และอันดับ 9 ในตารางหนังเปิดตัวสัปดาห์แรกสูงสุดตลอดกาลด้วย
[divider]
แนวโน้มหนังทำเงินสูงสุดของซีรียส์
จากการเปิดตัวแค่ 1 สัปดาห์ตอนนี้ Furious 7 ขึ้นไปอยู่ในลำดับที่ 3 ของอันดับภาคต่อทำเงินในตระกูล Fast & Furious ของตัวเองไปเรียบร้อย (แต่ถ้าปรับค่าเงินตามอัตราเงินเฟ้อและค่าตั๋วด้วย ก็จะอยู่ในอันดับที่ 6 แต่ก็ตามภาคอื่นๆอีกไม่ไกล)
เพราะฉะนั้น Fast & Furious 7 ยังมีเวลาอีกมากสำหรับการสร้างสถิติใหม่ๆครับ
จะเห็นว่าภาคที่ดังที่ทำเงินมากที่สุดตอนนี้ ก็ยังเป็น Fast & Furious 6 อยู่ดี
[divider]
14 ปีแห่งถนนนักซิ่ง
The Fast & The Furious หรือภาคแรกของหนังตระกูลนี้เปิดตัวเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2001 ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็มีอายุราวๆ 14 ปีพอดี
เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าหน้าตานักแสดงหลายๆคน จะมาไกลมาก หรือหากย้อนไปดูภาคแรก เราอาจจะแปลกตากับความเยาว์วัยของพวกเค้าก็ได้ครับ
[divider]
จุดเริ่มต้น
The Fast & The Furious ภาคแรกมีที่มาและไอเดียจากคอลัมน์ในหนังสือ Vibe ที่มีชื่อคอลัมน์ว่า “Racer X” ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกตั้งชื่อว่า Racer X รวมถึง Race War ที่สื่อถึงการแข่งรถแบบ street race ด้วย
Brian O Corner
ก่อนหน้า Paul Walker จะเข้ามารับบทนี้ มีดาราชื่อดังมากมายไม่ว่าจะเป็น Mark Walhberg, Christain Bale หรือแม้แต่ Eminem ที่อยู่ในรายชื่อพิจารณา
ผู้กำกับ
หนังในตระกูล The Fast & The Furious ใช้ผู้กำกับทั้งหมด 4 คน คือ Rob Cohen (จาก XXX และ Mummy) ในภาคแรก, John Singleton ในภาค 2, Justin Lin ในภาค 3-6 (ที่เป็นผู้คืนชีวิตให้กับหนังเรื่องนี้) และล่าสุดกับ James Wan ผู้กำกับสายหนังสยองขวัญอย่าง Saw และ Insidious มารับหน้าที่กำกับหนังแอ๊คชั่นครั้งแรก (Justin Lin ถอนตัวออกไปเพราะว่าสตูดิโอต้องการสร้างหนังภาค 7 โดยเร็ว ซึ่งในตอนเริ่มต้นงานสร้าง Justin ยังไม่เสร็จสิ้นการทำ post production ของหนังภาค 6 เลย)
[divider]
ฉากจบก่อนที่จะเสีย Paul Walker
แน่นอนว่าในตอนแรกก่อนที่ Paul Walker จะเสียชีวิต Furious 7 มีฉากจบแบบอื่น ที่ผู้กำกับอย่าง James Wan ระบุว่า จะเป็นการปูทางไปยังแนวทางใหม่ของหนังชุดนี้ ซึ่งแน่นอนว่าทีมงานวางแผนให้หนังชุดนี้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม (และมีข่าวว่าจะสร้างต่ออีกอย่างน้อยๆ 3 ภาค)
แต่เมื่อ Paul Walker เสียชีวิต การเปลี่ยนแปลงฉากจบให้เป็นแบบปัจจุบัน จึงเป็นทางเลือกที่ทีมงานเต็มใจทำเพื่อ Paul อย่างเต็มที่ และแน่นอนว่าผลของมันออกมาสวยงามมากทีเดียว
[divider]
หนังภาค 8
Vin Diesel ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า ในภาค 8 นั้น ตัวละครของ Kurt Russel (Mr. Nobody) ที่มีบทบาทเป็นครั้งแรกในภาค 7 จะชักนำทีมของ Dominic Toretto ไปสู่เรื่องราวที่ใหญ่กว่าเดิม และความจริงเรื่องราวนี้จะต้องถูกถ่ายทอดในตอนท้ายของภาค 7 ก่อนที่จะมีการปรับบทใหม่
ตอนนี้ทีมงานยังไม่พร้อมที่จะคิดเรื่องของภาคต่อ แต่ว่าแผนงานได้ถูกเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนเสีย Paul ไป เพราะฉะนั้นหลังจากที่ทีมงานฉลองกับความสำเร็จของภาคนี้และระลึกถึง Paul แล้ว น่าจะมีความคืบหน้าออกมาแน่นอน
[divider]
ตัวละครเดิมๆกับหนังภาคใหม่
จนถึงตอนนี้ ข่าวที่มีออกมาสำหรับหนังภาคต่อคือ ตัวละครในภาค 7 หลายๆตัวจะกลับมา ไม่ว่าจะเป็น Nathalie Emmanuel ในบทแฮคเกอร์สาว Ramsey ที่แน่นอนว่าจะมา หรือ Eva Mendes ที่จะกลับมารับบทเดิมจากภาค 2 และจะเป็นผู้ช่วยของ Mr. Nobody ที่รับบทโดย Kurt Russel ที่ยืนยันว่ากลับมาแน่นอน
หรือแม้แต่บทบาท Mia ภรรยาของ Brian O Corner ในเรื่องที่รับบทโดย Jordana Brewster ก็มีข่าวว่าเธอยังแสดงเจตจำนงค์ในการรับเล่นหนังภาคต่อด้วย…ว่าแต่ จะกลับมายังไงเนี่ย
[divider]
อย่าคิดว่าพี่จาจะได้แสดงแค่ภาคเดียว
แน่นอนว่าในหนังภาค 7 คนที่ดูแล้วก็จะเห็นว่าบทบาทของคุณ จา พนมเองก็เด่นไม่แพ้ใคร
และหลายๆคนอาจจะคิดว่า จาเองจะมีบทบาทแค่ภาคนี้ภาคเดียวเท่านั้น แต่คุณอาจจะต้องคิดใหม่ครับ เพราะเจ้าตัวบอกใบ้ (โต้งๆ) แบบนี้เลย
[divider]
การนำ Paul Walker กลับมาสู่หนัง ไม่ใช่แค่ CGI แต่เป็นจิตวิญญาณเดิมของ Paul Walker
แน่นอนว่าหลังจากการสูญเสีย Paul Walker ทีมงานตัดสินใจที่จะหาทางลงให้กับตัวละคร Brian O Corner ของ Paul โดยแนวทางที่ชัดเจนแต่แรกคือ ต้องไม่ฆ่าตัวละครตัวนี้
เพราะฉะนั้น การถ่ายทำต่อหลังจากที่สูญเสีย Paul ไป ทีมงานจึงใช้เทคนิคมากมายหลายอย่างมาผสมเข้าด้วยกัน ไม่ใช่แค่การพึ่งพา CGI เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้เทคนิค Body doubles หรือการใช้ตัวแสดงแทน ที่ได้ทั้งน้องชาย 2 คนของ Paul Walker และนักแสดงแทนหลายๆคนเข้ามาถ่ายทำในฉากที่เหลือ (และฉากที่เขียนเพิ่มมาเพื่อหาทางจบให้กับตัวละครของ Paul) จากนั้นบริษัท Weta ของพ่อมดแห่งฮอลีวูดอีกคนอย่าง Peter Jackson ผู้กำกับหนังตระกูล Lord of The Rings จะใช้เทคโนโลยี CGI ซ้อนภาพของ Paul บนนักแสดงแทนเหล่านั้นภายหลัง
และอีกเทคนิคที่นำมาใช้คือ การนำฉากของ Paul ที่ถ่ายทำเอาไว้แต่ไม่ได้ใช้ในภาคก่อนๆ มาใช้ในภาคนี้ และอาศัย CGI ของบริษัท WeTa ช่วยอีกแรง ซึ่งผู้กำกับอย่าง James Wan ระบุว่าที่ใช้ฉากจากภาคก่อนๆ เพราะว่าอยากให้ในหนังนั้น เป็นตัวตนของ Paul Walker จริงๆมากที่สุด (ไม่ใช่ใช้แค่ CGI แบบข่าวก่อนหน้า)
[divider]
ชื่อภาคจริงๆของหนังภาคนี้
ถึงแม้การทำตลาดจะยังคงใช้ชื่อ Fast & Furious แต่ว่าชื่อจริงๆของภาคนี้ตามที่ James Wan ผู้กำกับของหนังตั้งเอาไว้คือ Furious 7 ซึ่งสื่อถึง 7 เซียนซามูไร
[divider]
ฉากแอ๊กชั่นส่วนมาก..เล่นจริงนะ
ฉากซิ่งรถแบบไร้กฏฟิสิกส์ รวมถึงฉากทิ้งรถจากเครื่องบิน และการใช้รถเหินฟ้าชนเฮลิคอปเตอร์ ฉากเหล่านั้นเป็นคิวบู้ที่เล่นจริง ถ่ายทำด้วยของจริงและพึ่ง CGI น้อยมากทีเดียวครับ
ผมเอาเบื้องหลังสนุกๆมาฝากกันด้วยครับ
ฉากทิ้งรถจากเครื่องบินอันลือลั่นและการถ่ายทำด้วยกล้อง GoPro
https://www.youtube.com/watch?v=dmzLPe0fZn0
[divider]
ฉากสุดท้ายของ Furious 7 รถเดิมจากภาคแรก
ฉากสั่งลาของ Furious 7 ที่ทำออกมาเพื่อบอกลา Brain O Corner และ Paul Walker โดยเฉพาะนั้น ทีมงานใส่ใจในรายละเอียด ด้วยการใช้รถรุ่นเดิม (แต่รถสีขาวของ Paul จะเป็นรุ่นเวอร์ชั่นใหม่กว่าในภาคแรก) มาเพื่อให้แฟนๆรำลึกความหลังกันด้วย
เหล่านี้ก็เป็นเกร็ดเล็กน้อย ที่ผมเอามาฝากกันสำหรับหนังเรื่องนี้
และขอส่งท้ายด้วยเพลงที่แต่งมาเพื่อ Paul Walker อย่าง See You Again ที่ใครที่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว น่าจะจำบรรยากาศของฉากจบได้เป็นอย่างดีครับ