Gemini Plus+ เป็นรุ่นที่ได้รับการอัพเกรด CPU ประมวลผลจาก Single core 1 Ghz ของรุ่น Gemini เดิม มาเป็น CPU A9 Dual core 1GHZ ตามเสปคก็ต้องเรียกว่าแรงกว่าเดิมสองเท่าในเรื่องความเร็วของการประมวลผล ในส่วนอื่นๆ นั้นคงเดิมแทบทุกประการ ตัวเครื่องภายนอกก็ยังคงใช้รูปทรงเดิม หน้าตาเดิม มองภายนอกแยกไม่ออกแน่นอนครับ
การที่ OPPO ออกรุ่นต่อยอดจากตัว Gemini เดิม ก็เพราะ Gemini ตัวเดิม ประสบความสำเร็จไปพอสมควรจากเป็นเครื่องสองซิมที่มีการใช้งานทุกอย่างมาให้แบบพอใช้ ในราคาพอประมาณ จุดเด่นก็คือความเป็นกลางๆ ที่ใช้งานได้ดี ตัวเครื่องค่อนข้างสวยและการออกแบบ UI ภายในมาได้อย่างน่ารัก
ที่จะแตกต่างอีกอย่างระหว่างเครื่องสองรุ่นนี้ก็คือเรื่องของระบบภายในกับหน้าตาการใช้งาน Gemini Plus+ จะมาพร้อมกับ OS Android 4.0 Ice Cream Sandwich มาตั้งแต่เปิดกล่อง และมีการใช้งานบางอย่างเพิ่มเติมขึ้นมาจากตัวเก่า ส่วนราคาก็ขอเขยิบขึ้นมาเบาๆ อีกหนึ่งพันบาทโดยประมาณครับ
คุณสมบัติตัวเครื่องภายนอก
ตัวเครื่องออกแบบมาดูดีครับ ปุ่มต่างๆ บนตัวเครื่องเป็นโลหะ ประกอบแน่นหนาดีจับใช้งานดูมั่นใจ ตัวเครื่องสีขาวตัดกับขอบเงิน แสงจากสามปุ่มมาตรฐานด้านล่างสว่างมากครับ ปุ่มเพาเวอร์เล็กไปหน่อยแต่อยู่ตำแหน่งที่กดได้ง่าย เสียงสนทนาชัดเจนดี เสียงลำโพงไม่ดังไม่ค่อยเสียงออกก้องๆ เล็กน้อย อุปกรณ์เสริมที่แถมมาเป็นสีขาวเข้ากับตัวเครื่องทั้งหมด ที่น่าสังเกตคือตัว Adaptor ชาร์จไฟ ทำมาได้ดีมากครับพับเก็บขาเสียบได้และชาร์จไฟได้เร็วพอสมควร
หน้าจอ 4 นิ้วให้สีที่สดใสเข้ากับตัวเครื่องขาวๆ ความละเอียดจอ 480p เพียงต่อการใช้งานบนหน้าจอ 4 นิ้ว แม้จะไม่ชัดคมกริบแต่ก็ไม่แตกหยาบจนเห็นเม็ดพิกเซลชัดเจน ด้วยการออกแบบ UI ภายในเน้นโทนสีสดใสแบบปนหวาน ไม่ต้องแปลกใจทำไมสาวๆ ถึงถูกใจกันหนักหนา ^^ ขนาดเครื่องถือว่าเป็นระดับกลางๆ ทั่วไปในปัจจุปัน และเบาเพียง 133 กรัม พกพาสะดวกแน่นอนครับ
– CPU A9 Dual core 1GHZ
– High performance graphics cards SGX531
– จอ 4 นิ้ว IPS LCD 800×480
– หน่วยความจำภายใน 4GB รองรับ Micro Sd card 32 GB
– Ram 512MB
– Android 4.0
– กล้อง 5 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 2 ล้านพิกเซล
– แบตเตอรี่ 1710 mAh
– Size 123 x 63.8 x 9.7 mm 133 Gram
ด้านล่างสามปุ่มมาตรฐานของแอนดรอยด์ ทัชปุ่มโฮมค้างเพื่อเข้า Recent App มีไมค์รับเสียงและพอร์ต Micro USB อยู่ขอบใต้เครื่อง ออกแบบมาให้อยู่เยื้องขวา เวลาใช้งานแนวนอนขณะเสียบสายชาร์จจะไม่เกะกะครับ
ด้านซ้ายของเครื่องเป็นปุ่มปรับระดับเสียง + และ – สีเข้ากับขอบเครื่อง วัสดุดูดีนะครับปุ่มต่างๆ
ด้านบนหน้าจอเป็นลำโพงสนทนาเซ็นเซอร์รับแสง และกล้องหน้าขอบเครื่องด้านบนเป็น Audio OUT Jack 3.5 mm
ด้านขวามีเพียงปุ่ม Power ใช้เปิดปิดเครื่องและ Lock หน้าจอ กดร่วมกับปุ่มลดเสียงจะเป็นการเซฟภาพหน้าจอ
ด้านหลังเครื่องสกรีนโลโก้ OPPO สีเทา และลำโพงที่ประดับด้วยเม็ดคล้ายโลหะที่เอาไว้รองรับตัวเครื่องเวลาวางนอน
พร้อมกล้องหลักความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
เมื่อแกะฝาหลังออก จะพอช่องใส่ซิมสองช่อง เพราะ Gemini เป็น Dual Sim ใช้ 3G ได้ทุกค่ายในเมืองไทยครับ พร้อม แบตเตอรี่ขนาด 1710 mAh ต้องบอกว่า Gemini เป็นเครื่องรุ่นนึงที่ทำระยะเวลาในการแสตนบายด์ในการใช้งานได้ดีมากๆ ครับ
การใช้งานภายใน
เริ่มที่เราเห็นได้ชัดๆก่อนเลยก็คือ UI หรือหน้าโฮมที่ทำมาใหม่ครับ ติดตั้งมาให้ภายในเครื่องถึง 12 รูปแบบพร้อมใช้ และยังสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานเพิ่มเติมได้อีกเป็นร้อยๆ จากแอปพลิเคชั่น Go launcher ที่ติดตั้งมาให้ภายในเครื่องแต่แรกเริ่ม หน้าจอล็อคสกรีนอีก 5 รูปแบบ ไม่มีเครื่องไหนที่ติดมาให้ตกแต่งกันได้เยอะขนาดนี้หรอกครับ แต่ละรูปแบบก็ออกแบบมาได้น่ารักมากๆ ส่วนนี้เป็นจุดขายจุดหนึ่งที่ทำให้ Gemini ตัวแรกค่อนข้างขายดีสำหรับสาวๆ และเพิ่ม Widget ใช้งานที่จำเป็นเข้ามาใหม่อีกสามตัว
-Widget แสดงการใช้งาน Data อินเตอร์เน็ตจากแอป SafeManager
-Widget แสดงข้อมูลการใช้พลังงาน อุณหภูมิเครื่องและระยะเวลาใช้งานคงเหลือโดยประมาณ สามารถทัชเพื่อเคลียแรมจากการปิดแอปที่ทำงานค้างอยู่ได้
-Widget Toggle เปิดปิดฟังชั่นต่างๆภายในเครื่อง ออกแบบมาได้น่ารักดีครับ รูดขึ้นหรือลงเพื่อสลับหน้าไปเปิดปิดฟังชั่นอื่นๆได้อีกด้วย
หน้าจอล็อคที่มีให้เลือกมากถึง 5 แบบ
หน้าจอล็อคสกรีนที่เพิ่มเติมลูกเล่นเข้ามาใหม่ และมีให้เลือกใช้งานได้ถึง 5 แบบ เช่นการ์ดฟังชั่น เป็นหน้าจอล็อคที่น่ารักมากครับและสามารถเข้าถึงการทำงานได้หลายด้านมากที่สุด (อลังการที่สุดด้วย) หรือแบบฟองอากาศ ที่เป็นลูกบอลฟองน้ำที่ลอยไปมาที่หน้าล็อค เมื่อต้องการจะเข้าใช้งานฟังชั่นใดก็ให้ทัชที่ลูกโป่งแล้วสไลด์ให้แตก (พบปัญหาบางทีสไลด์ยาก ลูกโป่งเหนียวมากไม่ยอมแตก -*-) ยังมีอื่นให้เลือกมาใช้งานได้อีก เช่นแบบวงกลม ที่เป็นหน้าล็อคสกรีนแบบเรียบๆ บอกแค่วันและเวลา และแบบที่ผมชอบมาที่สุดคือแบบแจ้งสภาพอากาศ เป็นหน้าล็อคที่มีอนิเมชั่นจำลองสภาพอากาศในพื้นที่โดยรอบ ณ ขณะนั้น สวยงาม ไม่เยอะแยะวุ่นวาย แค่มีอะไรขยับให้พอน่ารักครับ ^^
หน้าเมนูและการตั้งค่าต่างๆ ในเครื่องเป็นไปตามสไตล์ของแบรนด์ OPPO ครับ ต่อให้เปลี่ยนระบบเป็น Android ICS 4.0 ก็ยังคงสไตล์ของตัวเองต่อไปครับ ออกแบบมาให้ดูง่ายๆ เหมาะสำหรับคนเริ่มต้นใช้ เพราะทำมาคล้ายๆกับพวกฟีเจอร์โฟน ที่แยกการตั้งค่าออกเป็นหมวดๆ แต่สำหรับคนใช้ระบบแอนดรอยด์มาจนชินตาอาจจะกลายเป็นไม่คุ้น เพราะหน้าเมนูจัดเรียงมาไม่เหมือนแอนดรอยด์จากแบรนด์อื่นๆ ครับ
ฟังชั่นเฉพาะของ ICS คือหน้า Recent App ที่เราคุ้นตากันดี แต่อันนี้ OPPO เขาจะใส่ตัวล็อคแอปเข้ามาให้ สำหรับล็อคแอปที่เราไม่ต้องการให้มันปิดเมื่อเรากดปุ่มเคลียการทำงาน เช่นเมื่อเราจะใช้งานเบราว์เซอร์ แต่ต้องการปิดแอปที่เหลือเพื่อเคลียแรมทั้งหมด Gemini Plus+ สามารถทำได้โดยการกดไอคอนรูปแม่กุญแจเพื่อล็อคแอปที่ต้องการไว้ก่อน แล้วค่อยกดเคลียแรมที่ไอคอนรูปไม้กวาดมุมซ้ายล่าง ก็จะเป็นการดึงแรมมาใช้งานตามที่ต้องการได้เต็มที่
การทำงานด้านการแสดงผล
ทดสอบเล่นไฟล์วีดีโอจาก Youtube เล่นได้เต็มที่อยู่ในระดับความชัด 720p ถ้าชัดกว่านี้อย่างเช่นไฟล์ 1080p จะพอเล่นได้แค่บางคลิปแต่บางคลิปจะกระตุก แค่ 720p บางทีก็หน่วงๆ แล้วครับ ความจำเป็นที่จะเล่นวีดีโอความละเอียดสูงๆ ถ้าไม่ได้เชื่อมต่อส่งภาพเข้าทีวีจอใหญ่ๆ แนะนำให้ใช้แค่ 480p จะสมบูรณ์ที่สุดครับผม
แอปพลิเคชั่นเบราว์เซอร์ที่ติดเครื่องมา ต้องชมเลยครับ ทำมาได้ดีมาก ใช้งานได้ลื่นไหลกว่าแอปตัวเก่งที่ผมใช้ประจำซะอีก มีโหมด Full Screen แสดงหน้าเว็บเต็มหน้าจอและสามารถรัน Flash Player ได้อีกด้วย
การทำงานด้านเสียง
ลำโพงของ Gemini Plus+ ไม่ดังไม่ค่อยเสียงออกจะก้องๆ นิดๆ เรื่องเสียงจากลำโพงไม่ใช่จุดเด่นของรุ่น ส่วนชุดหูฟังที่แถมมาให้พอใช้งานได้ครับ แอปพลิเคชั่นใช้งานด้สนเพลงที่มีมาให้ในตัวเครื่องออกแบบมาสวยงามดีครับ สามารถเลือกธีมสวยๆ ได้ 3 รูปแบบ มีฟังชั่นเขย่าเครื่องเพื่อเปลี่ยนเพลง และมี Widget ไว้สั่งงานบนหน้าโฮม
ทดสอบเล่นกับเกมระดับ HD อย่าง “Death DomeW ก็ยังถือว่าพอไหว ส่วนเกมทั่วไปก็เกินจะพอครับ คิดว่าระดับนี้แล้วน่าจะเล่นได้หมด แต่สมบูรณ์แค่ไหนก็แล้วแต่ความอลังการของตัวเกมที่เอามาเล่น ถ้าไม่จัดหนักจริงๆ ผมว่าผ่านหมดครับ
ด้านการถ่ายภาพ
Gemini Plus เป็นเครื่องที่แอปพลิเคชั่นถ่ายภาพมีลูกเล่นแพรวพราวมากครับ ^^ ก็มีแอปกล้องมาให้ใช้งานถึงสองตัวด้วยกัน แอปถ่ายภาพหลักมาครอบทั้ง HDR, Panorama, Burst shot, และโหมดสุดโปรดของหนุ่มๆ สาวๆ ที่อยากหน้าเด้งด้วย Beauty Shot และแอปกล้องอีกตัวคือกล้อง LOMO เป็นลักษณะการถ่ายภาพแบบผ่านฟิลเตอร์และเลนซ์ 4 ชนิด โดยรวมภาพที่ออกมาจะให้ความอิ่มของสีที่น้อยไปหน่อยครับดูจืดๆ เมื่อเปิดถ่ายแบบ Auto และเมื่อถ่ายภาพพื้นขาวจะมีอาการอมแดงเล็กน้อยในภาพ
ต้องบอกว่า การอัพ CPU ประมวลผลใหม่มาเป็นสองหัวของ Gemini Plus+ ในการใช้งานจริงแทบจะไม่ต่างกับตัวเดิมเท่าไหร่ แค่พอรู้สึกได้ สำหรับผมเองมองว่าสิ่งที่ Gemini ตัวเดิมขาดไป คือเรื่องของแรมมากกว่า CPU เพราะขนาดแรมของทั้ง Gemini และ Gemini Plus+ อยู่ที่ขนาด 512 MB ทั้งสองตัว เวลาใช้งานจะพบเจอจังหวะที่แรมไม่พอ ต้องรีโหลดหน้าโฮม รวมทั้งเข้าออกแอปพลิเคชั่นจะมีอาการติดขัดให้เห็นอยู่เป็นประจำ แต่ยังไงด้วยความเป็น ICS 4.0 ของ Gemini Plus+ ก็ทำให้เราเข้าไปปรับแต่งระบบในส่วนของการรันแอปพลิเคชั่นเบื้องหลังได้ภายในการตั้งค่าตัวเครื่อง จะพอช่วยให้เห็นความความต่างชัดเจนขึ้นมาบ้าง
[gradeC]