เมื่อวานนี้ Apple ได้เปิดตัว iPad Mini ไปตามที่หลายๆ สื่อคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ โดยกำหนดโพซิชั่นการขายไว้ให้อยู่ตรงกลางระหว่าง iPod Touch และ iPad ปกติ เพื่อเป็นการแบ่งตลาดของตัวเองออกอย่างชัดเจน ซึ่งคุณสามารถดูรายละเอียดต่างๆ ทั้งทางด้านราคาและสเป็กเปรียบเทียบกับ Nexus 7 ได้จากข่าวก่อนหน้านี้ที่มีรายงานกันไปใน APPDISQUS
แต่ความน่าตื่นตาตื่นใจของ Live Event เมื่อคืนนี้ยังไม่หมด เพราะ Apple ยังถือโอกาสเปิดตัว iPad ตัวใหม่อีกหนึ่งตัวที่มาในชื่อ iPad 4th Generation หรือเรียกง่ายๆ ว่า iPad 4 นั่นเอง โดยเจ้า iPad 4 นี้มาพร้อมกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในแง่บวกและในแง่ลบ หนักสุดเห็นจะเป็นในแง่ลบที่หลายๆ ท่านต่างก็ผิดหวังไปตามๆ กันกับการมาของมันที่เขี่ยให้ The New iPad (ซึ่งเปิดตัวไปได้แค่ประมาณครึ่งปี) หลุดจากผังการขายของ Apple ไปอย่างหน้าตาเฉย หลงเหลือไว้เพียงราคาของ iPad 2 / iPad Mini / iPad 4th Generation ให้ได้ซื้อหากันมาใช้เท่านั้นเอง
เพื่อนๆ หลายๆ ท่านอาจกำลังสงสัยว่า เจ้า iPad Mini และ iPad 4 ที่ว่านี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง วันนี้ APPDISQUS จะพามาเจาะลึกรายละเอียดกัน
[box_info]iPad Mini[/box_info]
Apple เริ่มต้นการเปิดตัว iPad Mini ด้วยการกล่าวนำว่า เจ้า iPad Mini ตัวนี้หาใช่เพียงแค่ขนาดตัวเท่านั้นที่แตกต่าง หากแต่ยังเป็นการดีไซน์ใหม่แบบยกชุดอีกด้วย โดย iPad Mini มาพร้อมความบางเพียงแค่ 7.2 มม. ซึ่งเทียบเป็น 23% บางลงกว่าเจ้า iPad 4th Generation เสียอีก ส่วนน้ำหนักของมันนั้นก็เพียงแค่สามขีดนิดๆ เท่านั้น คร่าวๆ แล้วก็หนักประมาณสมุดรายงานบางๆ หนึ่งเล่มนั่นเอง!
สิ่งที่น่าสนใจและแตกต่างจากข้อมูลก่อนหน้านี้ที่มีหลุดกันมาคือขนาดของหน้าจอ ซึ่ง Apple เลือกที่จะใส่หน้าจอขนาด 7.9″ มาให้แทนหน้าจอ 7″ มาตรฐานแท็บเล็ตขนาดเล็กทั่วไปในปัจจุบัน นั่นทำให้ iPad Mini มาพร้อมกับขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า Galaxy 7.7 ของซัมซุงเล็กน้อย และขยับโพซิชั่นการขายของมันมาอยู่ในตลาดแท็บเล็ตขนาดกลางแทนขนาดเล็ก
หน้าจอเป็นหน้าต่างสะท้อนความคมชัด!
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ Apple เลือกใช้หน้าจอขนาด 7.9″ นั้นก็เพราะ iPad Mini จะได้ยังสามารถคงความละเอียดหน้าจอไว้ได้ที่ 1024*768 อย่างที่ iPad 2 มี นั่นหมายความว่าทุกๆ เกมที่รันบน iPad 2 ได้ จะสามารถรันบน iPad Mini ได้อย่างสวยงามไม่มีเหลื่อมล้ำในด้านภาพให้ขัดใจเล่น
หากมองกันที่ตัวเลข 0.9″ ที่มีมากกว่าแท็บเล็ตตลาด 7″ ทั่วไปนั้นอาจเผลอสรุปไปได้ว่าการอัพเกรดในครั้งนี้ไม่ได้น่าหลงไหลสักเท่าไหร่นัก แต่พอมามองกันในแง่ของความเป็นจริง iPad Mini บนหน้าจอ 7.9″ นั้นมีพื้นที่หน้าสัมผัสถึง 29.6 ตารางนิ้ว ในขณะที่แท็บเล็ตทั่วไปที่ 7″ มีพื้นที่หน้าสัมผัสเพียง 21.9 ตารางนิ้วเท่านั้น หรือหากว่ากันโดยสรุปแล้ว iPad Mini จะมีเนื้อที่หน้าจอมากกว่าแท็บเล็ต 7″ เช่น Nexus 7 ถึง 26% เลยทีเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลถึงภาพที่คมชัดเต็มจอมากขึ้นในการเล่นเกมและการท่องเว็บนั่นเอง
พอพูดถึงเรื่องของการท่องเว็บแล้ว เจ้า iPad Mini พร้อมด้วยตัวช่วยอย่างเว็บบราวเซอร์ซาฟารีเวอร์ชั่นของ iPad Mini นั้นจะทำให้คุณสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้กว้างกว่าแท็บเล็ต 7″ ทั่วไปในแนวตั้งถึง 49% และในแนวนอนถึง 67% เลยทีเดียว
เมื่อมองลึกลงไปในจอแก้วบางนั้นล่ะ
iPad Mini มาพร้อมชิปเซ็ทดูโอคอร์ A5 เหมือนอย่างที่ iPad 2 มี แต่ที่มีมากกว่าคือกล้องหน้าระดับ HD ที่ทำให้สามารถเล่น FaceTime HD (720p) ได้แบบไม่แตกลายงาเหมือนใน iPad 2 นอกจากนี้ยังมีกล้อง iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซลเพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอที่ความละเอียด Full HD 1080p เหมือนอย่าง iPhone 5 และ iPod Touch Gen 5 ที่เพิ่งเปิดตัว รวมไปจนถึง iPad 4 ที่เปิดตัวในวันเดียวกันนี้อีกด้วย
เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ iPhone 5 เป็นต้นมา เจ้า iPad Mini มาพร้อมพอร์ตเล็กๆ ที่ชื่อ Lightning Connector และมีการเพิ่มประสิทธิภาพความไวในการใช้งาน Wifi ขึ้นมาให้มากกว่าเดิม
เจ้า iPad Mini มีสองสีให้เลือกเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ อีกหลายๆ ตัวของ Apple (หากไม่นับ iPod Touch ตัวล่าสุด) โดยสีที่ให้เลือกก็มีสีดำและสีขาว แต่หากคุณต้องการเพิ่มสีสันให้กับมัน คุณสามารถเลือกสมาร์ทโคฟเวอร์ที่มีทั้งสีแดง สีชมพู สีน้ำเงิน สีเขียว และสีโทนเทาได้ตามแต่ใจต้องการ
ค่าตัวของนวัตกรรมใหม่นี้
แน่นอนว่าความน่าใช้ น่าสนใจของเจ้า iPad Mini ที่ว่านี้มาพร้อมต้นทุนของมัน เพราะเหตุนี้ Apple จึงเลือกเปิดราคามาที่ $329 (ประมาณ 10,500 บาท) สำหรับตัว 16กิ๊กไวไฟ ส่วนตัว 32กิ๊กไวไฟนั้นมาพร้อมราคา $429 (ประมาณ 13,700 บาท) และในตัว 64 กิ๊กไวไฟนั้นเปิดตัวมาที่ราคา $529 (ประมาณ 17,000 บาท และหากคุณต้องการเทียบราคากับรุ่นเด่นเจนดังอีกตัวอย่าง Kindle Fire HD ที่มาพร้อมหน้าจอ 7″ นั้น ตัวหลังนี้เปิดตัวมาที่ราคา $199 (ประมาณ 6,500 บาท) เท่านั้นเอง
หากคุณสนใจตัว 3G (หรือ LTE สำหรับต่างประเทศ เพราะเขาไปถึงโน่นกันแล้ว) เจ้า iPad Mini เปิดตัวมาที่ราคา $459 สำหรับ 16 กิ๊ก $559 สำหรับ 32 กิ๊ก และ $659 สำหรับ 64 กิ๊ก (ประมาณ 14,700 บาท – 17,900 บาท – 21,000 บาท) ตามลำดับ
Apple จะเริ่มเปิดพรีออร์เดอร์สำหรับประเทศในกลุ่มที่หนึ่งในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ และจะส่งออกตัวไวไฟไปถึงมือผู้จองในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 ส่วนตัว LTE ต้องรอถัดจากนั้นไปอีก 2 สัปดาห์โดยเริ่มจากในอเมริกาเป็นที่แรก
[box_info]iPad 4th Generation[/box_info]
และเพื่อเป็นการตีกรอบตลาด iPad Mini ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น Apple จึงเปิดตัว iPad 4th Generation ออกมาตามกันภายใน Live Event เมื่อวานนี้ โดย iPad ตัวใหม่นี้จะมาเพื่อแทนที่ iPad ตัวเก่าที่ยังใช้พอร์ตเชื่อมต่อแบบ 30 พินอยู่ โดยการเปลี่ยนเป็นพอร์ตแบบใหม่เช่นเดียวกับ iPad Mini และ iPhone 5
นอกจากนี้ iPad 4th Generation ยังมาพร้อมชิปประมวลผลที่แรงยิ่งกว่าอย่าง A6X ซึ่งจะช่วยให้ประสิทธิภาพด้านกราฟิกโดดเด่นขึ้นจาก A5X ของ The New iPad (เจนก่อนหน้า) ได้อย่างชัดเจน โชคร้ายหน่อยนะครับสำหรับขา The New iPad ทั้งหลาย (แน่นอนว่าคุณอเล็กซ์ หนึ่งในรีวิวเวอร์ของเราก็ยังคงบ่นอยู่อย่างกะหมีกินผึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้)
และแม้ว่าเจ้า iPad 4th Generation จะมาพร้อมชิปเซ็ตที่แรงถึงขนาดนั้น แต่ในด้านของระยะเวลาการใช้งาน iPad ตัวใหม่ล่าสุดนี่ยังคงทำสถิติเดิมไว้ที่ 10 ชั่วโมงไม่เปลี่ยนแปลง
iPad 4th Generation ยังคงมาพร้อมหน้าจอแบบ Retina พร้อมกับกล้อง iSight ที่ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และโปรแกรม FaceTime HD ที่จะทำให้คุณสามารถเล่น FaceTime ในระดับความละเอียดที่ 720p ได้ (เพราะกล้อง FaceTime HD) นั่นเอง
เพราะเครื่องมันใหม่ แทบทุกสิ่งย่อมต้องใหม่ตามด้วย
เหตุเพราะใน iPad 4th Generation นั้นมีการใช้งานพอร์ตใหม่ที่ชื่อว่า Lightning Connector ดังนั้นอุปกรณ์เสริมทุกอย่างที่คุณเคยมีครอบครองจาก iPad ตัวเก่าจะเป็นอันใช้ไม่ได้ไปโดยปริยาย เตรียมหาซื้อของใหม่ได้เลย
แต่บนความใหม่ก็ยังมีความเก่าหลงเหลืออยู่บ้าง
แม้ทุกสิ่งทุกอย่างจะปรับเปลี่ยนใหม่กันไปหมด แต่อย่างหนึ่งที่ยังคงเดิมและถือเป็นเรื่องดีก็คือส่วนของราคา การกลับมาของ iPad ในครั้งนี้ยังคงยึดราคาเดิมของ The New iPad เอาไว้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง โดย 16 กิ๊กไวไฟนั้นเริ่มต้นที่ $499 (16,500 บาท) และ 16 กิ๊กไวไฟสามจี (LTE) เริ่มต้นที่ $629 (20,500 บาท)
เช่นเดียวกันกับ iPad Mini คุณสามารถพรีออร์เดอร์เจ้า iPad 4th Generation ได้จากออนไลน์สตอร์ของ Apple โดยจะเริ่มเปิดให้พรีออร์เดอร์ในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ (ส่วนในไทย รอไปก่อนนะครับ)
ตัวไวไฟจะเริ่มส่งให้กับคนที่ทำการพรีออร์เดอร์ทั่วโลกในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 ส่วนตัว LTE นั้นจะเริ่มจำหน่ายสองสัปดาห์หลังจากนั้นโดยเริ่มจากในอเมริกาเป็นที่แรก
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ทราบข้อมูลโดยละเอียดของทั้ง iPad Mini และ iPad 4th Generation กันไปเป็นที่เรียบร้อย เพื่อนๆ คนไหนสนใจหาไว้ในครอบครองก็อาจจะต้องรอกันสักหน่อยกว่าจะมาถึงไทย แต่เราคาดว่าไม่น่าจะเกินปลายปีนี้อย่างแน่นอน ยังไงก็เอาใจช่วยให้ใครที่อยากได้ไว้ครอบครองได้มาในเร็ววันนะครับ
ส่วนเจ้าของ The New iPad (iPad 3) ทั้งหลาย รวมถึงนายอเล็กซ์หนึ่งเดียวของ APPDISQUS เรานี้ก็อย่าเพิ่งเสียใจไปนะครับ ถือซะว่าคุณมีของดีอยู่ในมือ ของที่ต่อไปนี้จะไม่มีใครได้จับถืออีกต่อไปเพราะจะไม่มีการขายหรือผลิตเพิ่มเติมอีกแล้ว นึกแบบนี้แล้วจงภูมิใจเอาไว้นะครับ
แต่หากใครอยากได้ iPad 4th Generation มาแบบไม่ลงทุนใหม่จริงๆ APPDISQUS ขออวยพร (?) ให้เจ้า The New iPad ของคุณเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้มันจบชีวิตลงแบบไม่ผิดกฏ Apple ก่อนมีนาคมปีหน้า เพื่อที่เพื่อนๆ จะได้เอาไปเปลี่ยนเป็น iPad 4th Generation กันได้แบบฟรีๆ สมใจอยากไงล่ะครับ (ถ้าเครื่องเปลี่ยน The New iPad มันหมดแล้วจริงๆ น่ะนะ) หรือใครก็ตามที่กลัวว่ามันจะเสียไม่ทัน APPDISQUS แนะนำให้ท่านซื้อ Apple Care มาต่อรอไว้อีกปีกำลังดี เผื่อโอกาสดีเจอแจ๊คพอร์ตเข้า…ใครจะไปรู้ล่ะจริงไหม?