สืบเนื่องจากช่วงนี้ กระแสของมือถือหน้าจอโค้งงอได้ (Bendable / Flexible display) กำลังมาแรงครับ โดยค่ายมือถือที่กำลังแข่งกันเป็นที่หนึ่งของโลกในการเปิดตัวมือถือที่มาพร้อมหน้าจอโค้งได้นี้ คือค่ายมือถือร่วมชาติอย่าง LG ที่จะมาพร้อมกับมือถือที่คาดว่าจะมาในชื่อ LG G Flex และ Samsung ที่คาดว่าจะเปิดตัวในชื่อ Samsung Galaxy Round โดยคาดว่าทั้ง 2 บริษัทจะเปิดตัวมือถือที่มาพร้อมหน้าจอแบบใหม่นี้ในช่วง 1-2 เดือนต่อจากนี้ครับ
โดยคำถามที่ตามมาสำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆคือ แล้วเจ้ามือถือที่มีจอแบบโค้งได้นี่มันให้อะไรกับเรา? มันทำอะไรได้บ้างนอกจากโค้งได้? หรือส่วนที่โค้งขึ้นมาเอาไว้แค่โชว์การแจ้งเตือนต่างๆ (Notification) เท่านั้นหรือ?
วันนี้เรามาดูอะไรดีๆเกี่ยวกับเจ้าเทคโนโลยีนี้กันครับ
ในเนื้อหาบทความนี้คงจะไม่พูดถึงเรื่องเทคนิคเชิงลึกเกี่ยวกับว่าเจ้าจอโค้งได้นี้ทำมาจากอะไร และเพราะอะไรมันถึงโค้งได้ เพราะมันเป็นเรื่องเชิงเทคนิคพอสมควร แต่ถ้าท่านใดต้องการอ่านเพิ่มเติม สามารถอ่านได้จากที่นี่เป็นต้นครับ: Source 1 http://www.phonearena.com/news/Flexible-mobile-displays-Interview-from-the-research-lab-with-Michael-G.-Helander_id24436)
สิ่งที่เราจะเน้นถึงคือ ในฐานะผู้บริโภคเราจะได้อะไรจากหน้าจอแบบใหม่นี้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราสามารถคาดหวังกับมันได้ในอนาคตอันใกล้ครับ
[divider]
หน้าจอที่โค้งงอได้ (Bendable) ทำให้มันไม่มีวันนแตก (Unbreakable)
สิ่งแรกที่ต้องอ้างถึงคือ ด้วยโครงสร้างของเจ้าหน้าจอแบบโค้งได้นี้ เป็นหน้าจอที่มีพื้นฐานอิงบนหน้าจอแบบ OLED ซึ่งไม่ต้องการแผง backlight ด้านหลังแบบจอ LCD เดิม และเจ้าจอโค้งได้นี้สามารถแสดงผลบนวัสดุที่ทำมาจาก “พลาสติก” ได้ แทนที่จะเป็นกระจกแบบหน้าจอแบบเดิมๆ ซึ่งนี่เป็น
สิ่งที่ทำให้หน้าจอแบบแบบใหม่นี้มาพร้อมกับคำจำกัดความใหม่ 2 คำ คือ โค้งงอได้ (Bendable) และ ไม่มีวันแตก (Unbreakable)
ในส่วนของการโค้งงอได้นั้น เนื่องจากหน้าจอแบบใหม่นี้ มีลักษณะเป็นแผ่นฟิล์มคล้ายกับถุงแบบ zip lock จึงทำให้มันสามารถดัดแปลงรูปร่างของมันได้ค่อนข้างหลากหลาย
และด้วยความที่วัสดุของมันทำมาจากพลาสติก ทำให้ถึงแม้เราจะทำมือถือตกหน้าจอกระแทกเข้ากับพื้นผิวแข็งๆ ตัวหน้าจอของมือถือเราก็จะไม่แตก (นี่คือสิ่งที่บทความเกี่ยวกับหน้าจอ bendable / flexible display จะกล่าวไว้ นั่นคือไม่มีวันแตก แต่ของจริงจะเป็นอย่างไร เราต้องรอพิสูจน์กันตอนมือถือที่ใช้จอแบบนี้ออกวางจำหน่ายจริงๆอีกทีครับ)
อย่างไรก็ดี สำหรับมือถือนั้น ถึงแม้หน้าจอจะใช้งานจอแบบ bendable / flexible display แต่ว่าองค์ประกอบอื่นๆในตัวเครื่องเช่น เมนบอร์ด แรมหรือแบตเตอร์รี่นั้นไม่ได้ผลิตมาให้สามารถโค้งตามจอได้ด้วย (ถึงแม้จะมีข่าวว่าองค์ประกอบเหล่านี้ก็เริ่มเข้าสู่การผลิตแบบให้สามารถโค้งงอได้แล้ว แต่ว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกซักพักครับ) นั่นไม่ได้หมายความว่ามือถือของคุณจะไม่มีวันพังนะครับ เพราะถ้าชิ้นส่วนที่เสียหายเป็นส่วนอื่นๆในเครื่อง ก็ทำให้มันพังได้เช่นกัน
ลองดูตัวอย่างความทนทานของหน้าจอ bendable / flexible display จากวิดีโอนี้ครับ
[divider]
ลดค่าใช้จ่ายสำหรับการซ่อมหน้าจอมือถือของคุณ
ปัจจุบันหน้าจอ AMOLED ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายนั้น มีต้นทุนที่สูงกว่าหน้าจอแบบ LCD เดิมถึง 2 เท่า ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนหน้าจอแต่ละครั้งนั้นสูงมาก (คนที่ทำจอแตกมาแล้วน่าจะซึ้งถึงข้อนี้เป็นอย่างดีครับ)
อย่างที่เราได้บอกไปว่า หน้าจอโค้งงอได้นั้นทำมาจากพลาสติกซึ่งทำให้มันไม่มีวันแตก แต่ในกรณีที่มันเกิดความเสียหายขึ้นมา ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนหน้าจอที่ทำมาจากพลาสติก ย่อมถูกกว่าหน้าจอที่ทำจากกระจกแน่นอน แต่นั่นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า จอแบบโค้งได้หรือ bendable display นั้นเข้าสู่ช่วงของการผลิตเพื่อการพาณิชย์หรือ Mass production stage แล้ว ซึ่งน่าจะเป็นช่วงหลังจากที่มือถือหน้าจอแบบ Bendable display เริ่มแพร่หลายไปซักระยะ (เพราะฉะนั้นท่านที่ซื้อมือถือที่มาพร้อมหน้าจอแบบนี้ในระยะแรก…อย่าเพิ่งรีบทำให้มันเสียหายนะครับ ^^)
[divider]
มือถือที่จะบางลง และขนาดของแบตเตอร์รี่ที่ใหญ่ขึ้น
ด้วยหน้าจอแบบ Bendable/Flexible display นั้นมีความบางกว่าหน้าจอแบบ AMOLED อยู่มาก ซึ่งจากข้อมูลที่ทั้ง 2 ค่ายเปิดเผยออกมา
- หน้าจอแบบ Flexible AMOLED ของ Samsung นั้นจะมีความหนาเพียง 0.12 (หน้าจอขนาด 5.7 นิ้ว) ถึง 0.3 มม
- หน้าจอ Flexible AMOLED ของ LG นั้นจะมีความหนาที่ 0.44 มม. (หน้าจอขนาด 6 นิ้ว)
ซึ่งถือว่าบางมากถ้าเทียบกับหน้าจอ AMOLED แบบกระจกที่บางที่สุดในโลกตอนนี้ของ LG ที่มีความหนาอยู่ที่ 1.5 มม. สำหรับหน้าจอขนาด 6 นิ้ว และไม่ต้องพูดถึงหน้าจอแบบ LCD ที่ถึงแม้รุ่นที่บางที่สุดในโลกก็ยังมีความหนาถึง 2.2 มม.
พื้นที่ที่หายไปของความหน้าจอนั้น แน่นอนว่าสามารถทำให้ในอนาคต ผู้ผลิตมือถือสามารถทำให้มือถือของตัวเองบางลงได้อีกเมื่อเทียบกับการใช้ชิ้นส่วนอื่นๆแบบเดียวกับที่ใช้ในมือถือรุ่นปัจจุบัน หรือหากต้องการคงขนาดความหนาของมือถือให้เท่าเดิม ผู้ผลิตก็สามารถเลือกที่จะเพิ่มความจุของแบตเตอร์รี่ให้มากขึ้นได้โดยที่ไม่ทำให้ขนาดของตัวเครื่องหนาขึ้นกว่าเดิม เพราะแบตเตอร์รี่ที่ความจุมากขึ้น โดยทั่วไปก็จะมาพร้อมกับขนาดและความหนาที่มากขึ้นด้วยนั่นเอง
และลองนึกถึงหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ระดับ 10 นิ้วที่จะบางและเบาลงกว่าเดิมถึงอย่างน้อย 50% ครับ…
[divider]
น้ำหนักของมือถือที่จะเบาลงอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยประโยชน์ของจอที่ทำจากพลาสติก ทำให้น้ำหนักของตัวจอลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยหน้าจอ Bendable/Flexible display ของ LG ที่มีขนาด 6 นิ้ว จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 7.6 กรัม และหน้าจอฝั่ง Samsung ที่มีขนาด 5.7 นิ้วซึ่งมีน้ำหนัก 5.2 กรัม (ไม่ถึงขีด!!) ทำให้มันเป็นหน้าจอสำหรับมือถือที่ทั้งบางและเบาที่สุดในโลกในเวลานี้
ด้วยหน้าจอที่เบาลง อย่างมาก สิ่งนี้จะส่งผลโดยตรงถึงน้ำหนักของตัวมือถือครับ เพราะฉะนั้นเราสามารถคาดหวังถึงน้ำหนักของมือถือที่ลดลง ในระดับขนาดหน้าจอ 5.7 นิ้วถึง 6.0 นิ้วได้เลย
[divider]
การปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลตามความต้องการของผู้ผลิต
ด้วยประโยชน์ของหน้าจอที่สามารถปรับให้โค้งงอได้ตามความต้องการ (Bendable) สิ่งนี้ช่วยเปิดความเป็นไปได้ใหม่ๆของการขึ้นรูปหน้าจอสำหรับโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ต่างๆได้ (Innovative form factor) ในอนาคต
ถึงแม้ตอนนี้ เราจะยังไม่สามารถบอกได้ว่า สิ่งที่ผู้ผลิตมือถือค่ายต่างๆจะนำมาใช้กับหน้าจอรูปแบบใหม่นี้จะออกมาในรูปแบบใด แต่อย่างน้อย Samsung เองก็ได้เสนอหนึ่งในแนวทางที่บริษัทมองเห็น อย่างการใช้ประโยชน์จากการดัดแปลงหน้าจอส่วนหนึ่งให้โค้งขึ้น เพื่อใช้สำหรับการแสดงผลข้อความแจ้งเตือนต่างๆ (Notification) เช่นเมื่อมีข้อความใหม่เข้า หรือมีคนมาไลค์รูปของเราใน Facebook ซึ่งเราสามารถดูส่วนการแจ้งเตือนเหล่านี้ได้แม้หน้าจอของโทรศัพท์จะถูกปิดด้วย cover อยู่ เพราะหน้าจอที่โค้งออกมาในส่วนด้านข้างนั่นเอง ดูวิดีโอสาธิตการใช้งานคุณสมบัตินี้จากวิดีโอด้านล่างครับ
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=N3E7fUynrZU
อย่างไรก็ดี นี่เป็นแค่หนึ่งในความเป็นไปได้ของหน้าจอรูปแบบใหม่นี้เท่านั้น เรายังต้องจับตาดูต่อไปครับว่าค่ายมือถือต่างๆ หรือแม้แต่ผู้ผลิตอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ จะนำเสนอความเป็นไปได้ในรูปแบบอื่นๆออกมาแบบไหน เพราะหน้าจอแบบ Bendable/Flexible display นั้น ไม่ได้จำกัดแค่การใช้กับโทรศัพท์มือถือเท่านั้น อย่างน้อยอุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) ต่างๆ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากหน้าจอแบบนี้ได้เช่นกัน เช่นนาฬิกาข้อมือที่หน้าจอโค้งเข้ากับข้อมือของเรา หรือ Ebook reader ที่สามารถม้วนเก็บในกระเป๋ากางเกงได้ เป็นต้น
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นบทความครับ หน้าจอแบบใหม่นี้ เป็นมากกว่าการทำให้โค้งทั่วไป ไม่ใช่แค่การเอาไว้แสดงผลข้อความแจ้งเตือนหรือ Notification แบบที่เราเห็นในตัวอย่างเท่านั้น แต่มันคือความเป็นไปได้ใหม่ๆ ซึ่งน่าจะมีผลกับอุตสาหกรรมต่างๆ มากกว่าแค่อุตสาหกรรมด้านโทรศัพท์มือถือเท่านั้นครับ
ที่มาบางส่วนของบทความ: PhoneArena