เมื่อวานนี้ Samsung เปิดตัว Samsung Galaxy S5 สมาร์ทโฟนที่ถือเป็นความหวังของคนรัก Samsung และคนรัก Android ทั่วทั้งโลก (โดยเฉพาะคนรัก Android ที่รอส่งจดหมายรักถึง Apple เป็นประจำที่ Apple มีการเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่) และสำหรับหลายๆ คนที่ยังไม่ทราบ APPDISQUS เองก็ได้มีการ สรุปรายละเอียดทั้งหมดของ Samsung Galaxy S5 เอาไว้ในบทความก่อนหน้านี้เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นผมขอข้ามเรื่องนั้นไปเลยก็แล้วกันนะครับ
และเนื่องจาก APPDISQUS เองเป็นเว็บไซต์มือถือหลากระบบที่มีผู้ร่วมเขียนด้วยกันเป็นทีมงาน ในทีมงานของเราเองก็มีประเด็นแง่งกันเรื่องระบบโอเอสที่รักมักที่ชังของตัวเองบ้างเป็นประปรายในบางครั้งเพื่อให้ชีวิตการทำงานมีสีสันบ้าง ดังนั้นต้องบอกเตือนเพื่อนๆ ไว้ก่อนที่จะอ่านต่อว่าในบทความนี้อาจจะขัดใจใครหลายๆ คน แต่หากคุณกำลังมองหาคนที่จะโอ๋ Samsung Galaxy S5 อยู่แล้วล่ะก็ ไม่ต้องมองที่ไหนครับ มองที่ APPDISQUS นี่แหละ เชื่อผมได้เลยว่าเดี๋ยวก็มีมา ฮ่าๆๆๆ
และเพราะความคาดหวัง ตั้งใจ มุ่งมั่น และความรักที่ “อยาก” จะเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่ Samsung ทำให้กับมือถือเรือธงอย่าง Samsung Galaxy S5 ของตัวเอง จนกระทั้งเมื่องานเปิดตัวสิ้นสุดลงไป ความหวัง ความตั้งใจ มุ่งมั่น และความรักที่ “อยาก” จะเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่ Samsung ทำให้กับ S5 จึงแปรเปลี่ยนเป็นคำถาม…ที่อยากจะถามกลับไปยัง “Samsung ผู้แสนดี” และเหล่าสาวกทั้งหลาย จากใจของติ่งเล็กๆ ของ Apple ในดินแดนห่างไกล (ที่ปัญหาการเมืองก็ยังไม่จบไม่สิ้น) นี้สักหน่อย รับรองว่ามีไม่มาก แค่ 3 ข้อเท่านั้นเองครับ ซึ่งคำถามเหล่านี้ก็ไม่ใช่คำถามอะไรที่ไหน แต่มันคือ “คำถามเดิมๆ ที่เคยใช้ถาม Apple” ในวันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPhone 5S (และ iPhone รุ่นก่อนหน้าในช่วงหลังๆ นี้) นั่นเอง
[divider]
1. จะเปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการไปทำไมถ้าแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง?
อะแห่ม…(กระแอมเคลียร์คอแป๊ป) คำถามนี้คุ้นๆ เหมือนตอนที่เปิดตัว iPhone 5S ยังไงก็ไม่รู้เน๊อะครับ ไม่ต้องว่ากันที่ภาคฮาร์ดแวร์เลยนะครับ (เพราะหากมองย้อนกลับไปในตอนนั้น เครื่องจาก Apple ก็มีการพัฒนาฮาร์ดแวร์แต่ก็ไม่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็น) เอากันแค่งานที่เห็นได้ด้วยตา่เปล่านี่แหละ กับคำถามที่ว่าหากจะเปิดตัว S5 ให้แทบไม่มีความแตกต่างกับ S4 เลย (หนักกว่าคือจะโดนจับไปเปรียบกับ Grand 2 ซึ่งเป็นรุ่นระดับกลางอีก) โดยเฉพาะหากมองด้านหน้าแล้ว…Samsung ผู้แสนดีจ๋า…คุณจะเปิดตัวให้อลังการเพื่อหักอกคนรอคอยไปเพื่อเหตุใด?
บางคนเถียงว่าอย่ามองแต่ด้านหน้าสิ ดูด้านหลังด้วย Samsung Galaxy S5 เปิดตัวมาเปลี่ยนแปลง “ด้านหลัง” ไปเยอะมากเลยนะเออ อะเคร้…ไม่เถียงก็ได้ ด้านหลังคุณงามขึ้นจริง ในที่สุดคุณก็สลัดภาพพลาสติกแววๆ กะหร่องกะแหร่งมาสวมมาดวัสดุอะไรก็ไม่รู้ที่ “ดูเหมือน” อลูมิเนียมกับเขาสักที ทำให้ Samsung Galaxy S5 นี้ดูเป็นผู้รากมากดีเหมาะกับการเป็นมือถือระดับบนไว้ให้เหล่าสาวกภาคภูมิใจกันมากขึ้น แต่!…
จำกันได้ไหมว่าตอนที่เปิดตัว iPhone 5S สถานการณ์มันก็เป็นเหมือนกันกับตอนนี้ คือในตอนนั้นความแตกต่างด้านหน้าของ iPhone 5 และ iPhone 5S อาจจะยังไม่ชัดเจนนัก ส่งผลให้โดนเหล่าแฟนบอยถล่มกันไปเพียบจนเรือแทบจม โดยไม่ได้คิดแม้แต่จะหันหลังเครื่องไปดูความแตกต่างที่แผ่นหลังทูโทนของน้อง iPhone 5S เลย ดังนั้นจดหมายรักในข้อนี้จึงขอถามด้วยการตัดสินจากมุมมองเดียวกัน คือมุมมองของการมองโดยรวม “และเฉพาะด้านหน้า (ดีไหม?)” ว่าหากคุณจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เดินตามท้องตลาด (หลังใส่เคส) แล้วดูแทบไม่ออกว่าเป็นรุ่นใหม่แบบนี้ คุณจะเปิดตัวไปเพื่ออะไร? คำถามนี้มันก็คือคำถามเดิมที่คุณเคยถามเมื่อปีที่แล้วนั่นเอง
2. จะใส่มาทำไม Touch ID น่ะ ประโยชน์การใช้สอยมีไหม?
ตอนแร๊กแรกเลยที่ผมได้ยินคนถามคำถามนี้ ผมนึกย้อนกลับไปถึง Samsung Galaxy S4 ทันที มือถือที่คนที่ถามคำถามนี้กับผมชื่นชมมากในวันเปิดตัว บอกว่ามันทำได้ทุกอย่าง สากเบือยันเรือรบ ฟังก์ชั่นเยอะแยะระยิบระยับเป็นประกายคิระคิระอุมามิเต็มไปหมด มันเจ๋งสุดๆ อ่ะจอร์จ อืมมมม….โอเค สงสัยฟังก์ชั่นพวกนั้นอาจจะมีประโยชน์ในการใช้งานของเขาจริงๆ ไม่ว่ากัน…
แต่มาในวันนี้ วันที่ Samsung Galaxy S5 เอา Fingerprint Scan (หรือก็คือ Touch ID) มาใส่ไว้เป็นหนึ่งในฟังก์ชั่นจุดขายของ Samsung Galaxy S5 ด้วยนั้น คำถามเดิมที่เคยได้ยินมันจึงอดโผล่แว๊บขึ้นมาในสมองไม่ได้ จริงอยู่ว่าฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่ผมเคยคิดว่ามันอุมามิมากในตอน S4 นั้นมันอาจจะเป็นประโยชน์จริงๆ ในมุมมองของผู้ใช้งาน Samsung แต่แล้วไอ้ฟังก์ชั่น Touch ID ที่คุณเคยด่า Apple ไว้ว่าจะใส่มาทำอะไรนี่ล่ะ ทำไมวันนี้มันถึงมีมาโผล่ใน Samsung Galaxy S5 ซะอย่างนั้น ซ้ำร้ายยังเอามาทำงานรูปแบบเดียวกับบน iPhone 5S เด๊ะๆ เลยอีก ไม่ว่าจะเป็นการปลดล็อกหน้าจอมือถือหรือการใช้เพื่อจ่ายเงินชำระค่าสินค้า (ที่ต้องทำรายการผ่าน PayPal เท่านั้นในตอนนี้ และ PlayStore ยัง ไม่มีกำหนดจะรองรับ – อุ้ย ตรงนี้ลืมบอกไปว่าวันที่ Touch ID ของ Apple เปิดตัว AppStore เขาก็รองรับ Touch to Purchase เลยนะ) สงสัยว่าอันนี้ Samsung Galaxy S5 คงใส่มาเกินความจำเป็นแหงๆ ทำแบบนี้เดี๋ยวก็โดนคนที่เคยว่า Apple ไว้เขาด่าเอาอีกหรอก ไม่รู้จักเอาความผิดพลาดของ Apple ไปประยุกต์ใช้เลยนะเนี่ย…อิอิ
ฟังก์ชั่น Fingerprint Scan (Touch ID) ของ Samsung Galaxy S5 นั้นสื่อต่างประเทศที่ได้ลองเล่นแล้วก็เริ่มมีวิจารณ์กันออกมาเรียบร้อย และหนึ่งในสื่อที่เป็นสื่อเมนสตรีมและเลือกที่จะวิจารณ์ออกมาอย่างตรงๆ ก็คือ Theverge โดยนาย Dan Seifert ที่บอกเอาไว้ว่า
“Samsung’s version requires a vertical swipe over the home button to activate the scanner, and we found it to be quite unreliable and virtually impossible to activate when holding the phone in one hand…if we weren’t doing a perfectly straight swipe down, it would refuse to unlock the phone.”
“ในเวอร์ชั่นของ Samsung นั้นเราต้องลากนิ้วเป็นแนวตั้งเหนือปุ่มโฮมเพื่อเปิดการใช้งานตัวสแกนเนอร์ ซึ่งเราพบว่ามันไม่สเถียรและเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้งานเวลาที่จับมือถือไว้ในมือเดียว (ก็จอมันใหญ่อ่ะ – เสริมเอง)…ถ้าเราไม่ได้ลากนิ้วลงแบบตรงเป๊ะๆ ตัวเครื่องก็จะปฏิเสธการปลดล็อกหน้าจอของเราไปเลย”
อืม นอกจาก Fingerprint Scan ตัวนี้จะเป็นอีกเวอร์ชั่นของ Touch ID ที่ผู้ใช้งาน Samsung “บางท่าน” เคยพูดไว้เมื่อปีที่แล้วว่าไม่มีประโยชน์แล้ว มันยังเหมือนจะ “ไร้ประโยชน์” เมื่อต้องใช้งานจริง จากปากคนที่ได้ทดลองใช้งานแล้วอีกด้วยนะเนี่ย
3. สีทองดูสะเหร๊อสะเหร่อ ใส่มาทำไม มีแต่สาวก Apple เท่านั้นล่ะที่จะค้นพบสุนทรีย์จากสีแบบนี้
ใส่มาทำไม…คำถามที่ตอบด้วยตัวของมันเองอยู่แล้วหลังจากที่ iPhone 5S ออกขายและพบว่าสีทองคือสีที่ขายดีที่สุดนั่นเอง นั่นแสดงว่าคนที่เข้าสโลแกนสะเหร่อที่ว่านี้มีเยอะทีเดียว เยอะจนผมว่าเขาคงไม่ได้สะเหร่อแล้วล่ะ
และแน่นอนตามธรรมเนียม Samsung Galaxy S5 ก็เปิดตัวมาพร้อมกับเฉดสีต่างๆ ที่เรียงแถวกันมาให้เลือกสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นสีเก่าสุดคลาสิกอย่างสีดำและสีขาว ข้ามมาสีวัยรุ่นดูสวย (มาก – อันนี้ยอมรับ) อย่างสีฟ้า และสุดท้ายคือสีที่เป็นประเด็น “สีทอง” ใช่ครับ คุณฟังไม่ผิด Samsung Galaxy S5 มาพร้อม “สีทอง” สีที่เคยถูกว่าโดยกลุ่มคนที่คุณก็รู้ว่าใครในสมัยที่ iPhone 5S เปิดตัวว่าสะเหร๊อสะเหร่อนี่ล่ะครับ มีมาให้เลือกร่วมขบวนไปด้วยเลย…
ก็ไม่รู้สินะว่า “สีทอง” ที่ออกขายมาพร้อมกับสีอื่นๆ ในไลน์ของ Samsung Galaxy S5 นี้จะขายดีเป็นเทน้ำทิ้งเหมือนอย่างที่เห็นขายดีเป็นเทน้ำเทท่าบน iPhone 5S ไหม เดี๋ยวเราคงต้องให้ตลาดเป็นตัวแปรสำคัญกันต่อไป ซึ่งอีกไม่นานคงจะทราบคำตอบล่ะครับ
[divider]
แต่สิ่งที่ประทับใจใน Samsung Galaxy S5 ก็ยังมีนะ
จบ 3 ข้อที่สงสัยจนเกิดเป็นคำถามแล้ว ไอ้จะไม่ชื่นชมสรรเสริญเลยมันก็กะไรอยู่ ในเจ้า Samsung Galaxy S5 เองก็มีฟังก์ชั่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาที่ผมเองก็ต้องยอมรับว่าแอบปลื้มอยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกันนะครับ โดยหลักๆ แล้วก็เป็นฟังก์ชั่นในเรื่องของกล้องถ่ายรูปและวิดีโอที่มีการเพิ่มการถ่ายวิดีโอ 4K เข้ามา พร้อมด้วยจำนวนพิกเซลที่อัพเกรดขึ้นเป็น 16 ล้านพิกเซล (แต่ถ่ายจริงจะดีสมราคาตัวเลขไหมคงต้องรอดูกันอีกที) นอกจากนี้ผมยังแอบหลงรักเจ้าฟังก์ชั่น Heart Rate Monitor ที่มีใส่มาเป็นฮาร์ดแวร์เลยในเจ้า Samsung Galaxy S5 ด้วย โดยตำแหน่งของเซนเซอร์ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจนั้นจะอยู่ด้านหลังเครื่องล่างจากตัวกล้องลงมา เมื่อเรานำนิ้วไปแตะ มันจะแสดงผลอัตราการเต้นของหัวใจเราได้ภายในเวลา 5 – 7 วินาที เอาไว้เช็คชั่วคราวยามจำเป็นได้ดีทีเดียวเลยนะ โดยนาย Dan Seifert เองก็บอกเอาไว้ว่าเซนเซอร์จับการเต้นของหัวใจตัวนี้ทำงานได้ค่อนข้างที่จะแม่นยำมากทีเดียวครับ
อีกหนึ่งอัพเดตสำคัญที่ผมให้ใจไปทั้งดวงเลยคือเรื่องของตัวเครื่องกันน้ำด้วยมาตรฐาน IP67 ที่ช่วยให้เจ้าตัวนี้สามารถกันน้ำได้ลึกถึง 3 ฟุต (ประมาณ 90 เซนติเมตร ระดับเอว) ได้ยาวนาน 30 นาที แม้จะไม่ได้ดูว้าวอะไร แต่หากว่ากันตามความเป็นจริงแล้วคงไม่มีใครอยากเอามือถือของตัวเองลงไปว่ายน้ำด้วยจริงๆ จังๆ จนถึงขั้นต้องให้มันกันน้ำได้ระดับเทพเหมือนนาฬิกาอย่างที่อีกค่ายเคยพยายามทำ (แต่ไม่ค่อยจะสำเร็จ) นั่นหรอกครับ เอาแค่มั่นใจว่าหากเผลอทำตกน้ำไปแล้วรีบหยิบขึ้นมาเหนือน้ำได้ทันแล้วเครื่องไม่เป็นอะไรอย่างที่ Samsung Galaxy S5 ทำนี้ผมก็เห็นว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว ยกนิ้วให้กับความสามารถนี้ของเขาจริงๆ (แหงนมองไปที่ศาสดา ทั้งคนบนฟ้าและคนบนพื้น เมื่อไหร่จะทำให้ iPhone / iPad / iPod Touch กันน้ำได้แบบนี้บ้างหนอ ^^)
อีกอย่างที่อดชื่นชมไม่ได้คือการสลัดลุคพลาสิกแววดูไม่สมราคาของตระกูล Galaxy S ลงได้เสียที ผมชอบวัสดุใหม่ที่นำมาทำฝาหลังของเจ้า Samsung Galaxy S5 นี้ที่ทำให้ทั้งตัวแบรนด์และตัวรุ่นซีรีส์เองดูยกระดับขึ้นกว่าเดิมเยอะมากจริงๆ ในความรู้สึกผม ซึ่งจุดๆ นี้ถือว่า Samsung สอบผ่านนะครับ
และอีกอย่าง (หลายแล้วนะ) ที่อยากจะชื่นชมคือวิสัยทัศน์และความตั้งใจในการทำเครื่อง Samsung Galaxy S5 นี้ขึ้นมา ที่ในที่สุด Samsung ก็เลือกที่จะยอมรับได้เสียทีว่า “การมีทุกอย่างเต็มไปหมดแต่ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อการใช้งานจริงนั้นมันอาจไม่ได้เป็นคำตอบสำหรับเครื่องไฮเอ็นด์เท่าการมีอย่างครอบคลุมเท่าที่จำเป็นแต่ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพของมัน” นะคร้าบบบบบบ
ท้ายที่สุดก่อนจบบทความ บอกก่อนเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นของผมเองล้วนๆ นะครับ เพื่อนๆ สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้เต็มที่ตามที่ต้องการ แต่รบกวนอยู่ในขีดจำกัดของการแสดงความคิดเห็นบนเว็บสาธารณะเน้อครับ จุดประสงค์ของบทความไม่ได้ต้องการให้เกิดการถกเถียงกันเป็นจริงเป็นจัง เพราะท้ายที่สุดแล้วเราก็เป็นหนูตัวหนึ่งที่วิ่งอยู่บนจั่นของวงการมือถือนี่เองครับ ^^
อย่าลืมนะครับว่า Make Love………..Don’t Fight เน้อครับ