[box_info]ติดตามบรรยากาศช่วงเวลารายงานสดของพวกเรา APPDISQUS ต่อ Live Event WWDC14[/box_info]
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งข่าวลือที่กินเวลามานานเนิ่นหลายปีดีดักนัก ในที่สุด Apple ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว iOS8 เมื่อคืนที่ผ่านมา (ชั่วโมงแรกของวันนี้ในเวลาบ้านเรา) ในงาน WWDC Keynote 2014 โดยเจ้าระบบปฏิบัติการล่าสุดสำหรับ iPhone และ iPad นี้จะทั้งยังคงความเรียบง่าย และเพิ่มรายละเอียดหลายต่อหลายอย่างลงบนความเรียบง่ายนั้นให้ง่ายแต่ไม่เรียบชนิดที่ในระหว่างการฟัง Keynote เมื่อวานนี้ผมและทีมงาน Appdisqus ถึงขั้นทึ่งกันกับหลายๆ ความสามารถที่เพิ่มเข้ามาเลยทีเดียว โดยนอกจากความสามารถในฝั่งผู้ใช้งานแล้ว iOS8 ยังมาพร้อม API ใหม่ๆ สำหรับเหล่านักพัฒนาที่น่าประทับใจไม่แพ้กัน
Apple ปรับปรุงระบบศูนย์รวมการแจ้งเตือนหรือ Notifications Center บน iOS8 ของตัวเองใหม่โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบข้อความที่แสดงเป็น Notification Bar ระหว่างที่เราใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ อยู่ได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องออกจากแอพพลิเคชั่นที่กำลังใช้งานอยู่เลย โดยฟังก์ชั่นนี้ใช้งานได้กับแอพพลิเคชั่นอาธิ Messages และ Calendar และข้อความแจ้งเตือนต่างๆ เหล่านี้ยังสามารถตอบได้โดยตรงผ่านหน้าจอล็อกสกรีนอีกด้วย
iOS8 ยังมาพร้อม QuickType ซึ่งเป็นระบบการทำนายคำและสถานการณ์ของข้อความที่เราได้รับและกำลังจะตอบกลับไปล่วงหน้า โดยเจ้าระบบทำนายคำและสถานการณ์นี้ถือว่าทำได้อย่างมีเสน่ห์และมีสไตล์มาก โดยเจ้า QuickType จะจดจำลักษณะคำถามและรูปแบบคำตอบของเราเอาไว้ในตัว iDevices โดยตรงและพร้อมทันทีที่จะเดาคำตอบของเราจากคำถามที่ได้รับผ่านทางแอพพลิเคชั่นข้อความโดยจะมีคำตอบให้เราเลือกตอบได้โดยการกดเลือกลงไปที่คำตอบเลยโดยตรง ตัวอย่างเช่นสมมติว่าคุณได้รับข้อความคำถามว่า “คืนนี้จะไปทานมื้อค่ำด้วยกันหรือจะไปดูหนังดี” เจ้าระบบ QuickType ก็จะประมวลผลได้ทันทีว่าข้อความที่คุณได้รับนี้คือประโยคคำถาม และพร้อมแสดงชอยส์คำตอบให้คุณกดเลือกเพื่อความสะดวกในการตอบกลับว่า “ดูหนัง” หรือ “ทานอาหารค่ำ” ซึ่งนี่คือความเก๋และความแปลกใหม่ที่ทีมงาน APPDISQUS ต้องขอชื่นชมจากใจไปยังเหล่านักพัฒนาทีมงานของ Apple จากใจจริง และที่น่าชื่นชมไปกว่านั้นคือ QuickType จะไม่ได้เป็นเพียงความฝันสำหรับชาวไทยเหมือนอย่างตอน Siri เปิดตัว เพราะเจ้า QuickType นี้มาแบบรองรับภาษาไทยเป็นที่เรียบร้อยครับ
ย้ำอีกครั้งว่าระบบ QuickType นี้ทำการประมวลผลและจดจำบนเครื่อง iDevices ของเราโดยตรง ไม่ต้องทำงานผ่านเซิร์ฟเวอร์ Apple ดังนั้นฟังก์ชั่นนี้จึงคาดว่าไม่จำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ตในการใช้งานแต่อย่างใด
iOS8 ในงานเมื่อวานยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่ Apple ตั้งชื่อเก๋ๆ ว่า Continuity ซึ่งจะทำให้ประสบการณ์การใช้งาน iOS8 และ Mac OSX นั้นอัพเกรดขึ้นชนิดเรียกเสียงฮือฮากันได้จากผู้เข้าชมงาน WWDC14 อย่างล้นหลาม โดยเริ่มจากฟีเจอร์เด่นๆ อย่างเมื่อใดก็ตามที่มีการโทรเข้ามาหาเราใน iPhone เจ้าเครื่อง Mac บน Yosemite OS จะทำการแจ้งเตือนด้วยป๊อปอัพพร้อมเสียงเรียงเข้าของเราที่มุมจอว่ามีใครโทรมา และเราต้องการรับสายหรือไม่ (ซึ่งสามารถเลือกรับหรือปฏิเสธได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเราเลย) และหากเรารับสาย เสียงก็จะออกาตรีมผ่านลำโพงคอมพิวเตอร์ให้เราได้พูดคุยกันอย่างจุใจแบบไม่ต้องย้ายก้นไปจับโทรศัพท์ที่วางอยู่อีกที่มาแต่อย่างใดครับ ฟีเจอร์นี้ใช้งานได้กับข้อความที่สามารถตอบกลับโดยตรงได้จาก Mac บนระบบ Yosemite เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ฟังก์ชั่นข้อความ (Messages) ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่อย่าง ข้อความกลุ่ม (Group Messages) ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถลากเพื่อนร่วมสนทนามาไว้ที่หน้าต่างเดียวกันได้เพื่อการแชตแบบเป็นกลุ่มนั่นเอง โดยใน Messages และ Group Messages นี้ ผู้ใช้งานสามารถแชร์โลเคชั่นให้กันและกันได้ รวมไปจนถึงการส่งรูป ส่งไฟล์เสียงเพื่อแชร์ให้กับคนอื่นๆ ฟังแทนการพิมพ์ได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้ผ่าน UI ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย และไม่จำเป็นต้องเล็งปุ่มเล็กๆ เพื่อกดเหมือนอย่างโปรแกรมแชตตัวอื่นๆ เพราะแค่ปัดข้อความเสียงที่บันทึกไว้ขึ้น ข้อความนั้นก็จะส่งออกไปยังกล่องข้อความของผู้รับปลายทางในทันที แน่นอนว่าการรับและตอบข้อความที่ว่านี้สามารถทำได้ง่ายๆ ผ่าน Notifications Bar ด้านบนเหมือนอย่างเช่นข้อความแจ้งเตือนอื่นๆ สามารถทำได้นั่นล่ะครับ
อีกหนึ่งความสามารถในด้านของ Messages บน iOS8 คือฟังก์ชั่น Tap To Talk ที่เหล่า Android คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ในมาในรอบนี้ เจ้า iDevice ของพวกเราจะสามารถกดไอคอนรูปไมค์แล้วพูดเพื่อให้มันพิมพ์ข้อความให้ได้แล้วนะครับ แม้จะมาทีหลังแต่ก็เก๋ๆ สะบัดบ๊อบแล้วเดินหน้ารายงานต่อ
และขออภัยที่ต้องซอยย่อยเยอะในส่วนของ Messages และ Keyboard เพราะ iOS8 มันคือการปฏิวัติวงการ iOS ทางด้านนี้จริงๆ เพราะใน iOS8 นี้ iDevices ของเราจะมาพร้อมกับ Swype to Type Keyboard หรือคีย์บอร์ดแบบลากนิ้วเพื่อการพิมพ์ (แหะๆ หุ่นเขียวเริ่มแยกเขี้ยวละสิ ของตรูนี่หว่า…) สักที และที่เก๋กว่านั้นคือบน iOS8 นี้คีย์บอร์ดสามารถลงได้เองอย่างอิสระแล้วนะคร้าบบบ นั่นหมายความว่าเหล่านักพัฒนาทั้งหลายเตรียมพร้อมพัฒนาคีย์บอร์ดให้ iOS กันได้เลย เพราะเราจะเป็นอิสระต่อการเลือกใช้คีย์บอร์ดกันแล้วหลังจากนี้ไป (เมื่อคืนเห็นแว่บๆ ว่าผู้พัฒนาแม่นแม่นบน Android ออกมาตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงบน iOS ในครั้งนี้เรียบร้อยแล้วด้วยนะครับ)
iOS8 ยังมาพร้อม iCloud Drive ที่ผู้ใช้งานสามารถกดเข้าแอพพลิเคชั่นนี้และเข้าชมบัญชี iCloud ของตัวเองในแต่ละโฟลเดอร์ได้โดยตรงโดยไม่ต้องเข้าผ่านโปรแกรมโน้นทีนี่ทีให้วุ่นวายเหมือนแต่ก่อนแล้วอีกด้วยนะเออ
ความน่าสนใจอย่างที่สุดอีกประการหนึ่งคงหนีไม่พ้น API ใหม่ที่ Apple ประกาศเปิดให้เหล่านักพัฒนาบน iOS8 ได้ทดลองใช้กัน โดยหนึ่งใน API นั้นคือ HealthKit ซึ่งจะเปลี่ยนเจ้า iDevices ของเราให้กลายเป็นอุปกรณ์เพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง (เปลี่ยนจริงๆ ครับ ไม่ใช่แค่ใส่แอพลเพื่อสุขภาพทั่วๆ ไปมาเหมือนกับ S-Health บน Samsung Galaxy) โดยเจ้า HealthKit นี้ นอกจากจะทำหน้าที่เก็บข้อมูลด้านสุขภาพของเรา รวมไปจนถึงระดับความเข้มข้นในการออกกำลังกายและโรคประจำตัวและตารางการตรวจสุขภาพต่างๆ แล้ว HealthKit ยังสามารถทำงานร่วมกับแอพพลิเคชั่นพัฒนาอิสระจากนักพัฒนาอิสระต่างๆ เช่น Nike (และนักพัฒนาอิสระทุกราย) ได้อย่างเต็มความสามารถอีกด้วย โดยผู้ใช้งานอย่างเราสามารถเลือกควบคุมได้ว่าจะให้แอพพลิเคชั่นเหล่านั้นเข้าถึงข้อมูลสุขภาพด้านใดของเราบ้าง ซึ่ง Apple เชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้ที่เก็บได้จาก HealthKit และแอพพลิเคชั่นต่างๆ จากนักพัฒนาอิสระจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งเจ้าของข้อมูลและแพทย์เจ้าของไข้อย่างแน่นอน และเพราะ HealthKit นี่เอง เรายังเห็นอนาคตอันสดใสมากมายของเหล่า Fitness Tracker และแก๊ดเจ็ตเพื่อสุขภาพทั้งหลายบนระบบปฏิบัติการ iOS อีกด้วยนะเออ
แต่ลำพังเก็บข้อมูลด้านสุขภาพยังเก๋ไม่พอครับ สิ่งที่ทำให้ HealthKit แตกต่างจาก S-Health และอะไรเทือกนี้อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูนั่นคือความสามารถในการส่งข้อมูลเหล่านั้นไปให้แพทย์เจ้าของไข้เราโดยตรง เช่นข้อมูลของแรงดันโลหิต (ที่มีข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า iWatch จะสามารถตรวจจับได้ ท่าทางจะเป็นจริงแล้วสิ) ที่ทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลงของแรงดันโลหิตเราจนอยู่ในเกณฑ์อันตราย เจ้า HealthKit จะส่งข้อความแจ้งแพทย์เจ้าของไข้ทันทีว่าเรา (ผู้ป่วย) กำลังมีปัญหาแล้วนะ เพื่อให้แพทย์สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที ไม่มารู้ตอนเกิดเรื่องแล้วอีกต่อไป เป็นไงล่ะ แค่นี้ก็แทบอยากจะเปลี่ยนเครื่อง “อาม่า” ของคุณแม่และคุณพ่อที่บ้านมาเป็น iDevices บน iOS8 แบบเก๋ๆ แล้ว
อีกหนึ่งความใจกว้างจาก Apple ที่มาพร้อม iOS8 คือฟังก์ชั่น Family Sharing โดยจะเปิดอิสระให้ผู้ใช้งานสามารถเลือก 6 คนเป็น “คนในครอบครัว” ของคุณเพื่อการแชร์แอพพลิเคชั่น หนัง เพลง หนังสือ และอะไรต่อมิอะไรที่คุณซื้อบน iTunes ให้กับคนพวกนี้ใช้ได้อย่างฟรีๆ อีกด้วย ทีนี้คนไทยก็คงเอามาเปิดกรุ๊ปแชร์เพื่อลดต้นทุนการซื้อของพวกนี้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย (อุ๊บส์ พูดอะไรไปเนี่ย คิดดังไปหน่อยสินะเรา)แต่ระวังให้ดีนะครับ เพราะว่าคนเหล่านี้ที่คุณลากมาแชร์ก็จะกลายเป็นเพื่อนคุณใน Find My Friends ให้ได้แชร์โลเคชั่นเห็นกันอย่างสนุกสนานเช่นเดียวกัน ดังนั้น 6 คนที่เลือกขอให้มั่นใจว่าจะไม่มีความลับต่อกันนะ อิอิ
หรือหากคุณเป็นกังวลว่ามันมีแอพ หนัง เพลง หรือหนังสือที่คุณซื้อไว้แต่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ ถ้าเปิดแชร์แล้วเดี๋ยวเขามาเห็นความลับเรา ก็ไม่ต้องกังวลนะครับ Apple ได้คิดเผื่อมาแล้วโดยอนุญาตให้คุณสามารถเลือกแชร์สิ่งเหล่านั้นแบบแมนนวลได้ คือเลือกเองไปเลยว่าจะแชร์อะไรบ้าง จะได้คัดกรองก่อนการแชร์ครับ หลือจะเลือกแบบ 6 คนรวมเงินเก็บไว้เป็นกองกลางก้อนเดียวเพื่อส่งซื้อของก็ได้ แบบนั้นก็เวิร์ดนะครับ Apple เขาว่าไว้
iOS8 นี้จะมาพร้อมความเหนือด้วยการอนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถก๊อปปี้ข้อความ “พร้อมรูปภาพ” และวาง (Paste) ลงอีกที่ได้อย่างอิสระเหมือนการทำงานบนคอมพิวเตอร์จริงๆ อีกด้วยครับ โดย Apple สาธิตฟังก์ชั่นนี้กับแอพ Mail ที่สามารถก๊อปปี้เนื้อหาพร้อมรูปภาพทั้งดุ้นไปวางไว้ในเมลฉบับใหม่รอการส่งได้อย่างลื่นไหลไร้ปัญหาใดๆ และในแอพ Mail นี้เอง เรายังสามารถควบคุมและจัดการอีเมลได้ด้วยวิธีการใหม่ๆ เช่นการลากนิ้วอีกด้วย
ที่เหนือสุดๆ คือแอพ Photo บน iOS8 ครับ ที่มาในครั้งนี้นอกจากจะสามารถแบ็คอัพไปยัง iCloud ได้โดยอัตโนมัติแล้ว มันยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นการค้นหารูปภาพจากสถานที่ วันที่ อัลบัม และคอนดิชั่นอื่นๆ อีกมากมายเพื่อการเข้าถึงรูปภาพที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย แต่ยังครับ เพราะพระเอกของ Photo จริงๆ นั้นคือเครื่องมือการแต่งภาพที่เรียกว่า Smart Editing Tools ที่สามารถปรับแสง ลงสี ขนาดอัตโนมัติ รวมถึงย่อเฉพาะจุด ได้อย่างง่ายดาย และไม่ได้ง่อยค่าเหมือนใน iOS7 อีกต่อไปแล้ว (อันนี้เรียกเสียงฮือฮาได้จากทั้งในห้องส่งและจากทีมงาน APPDISQUS เลยจริงๆ ครับ ควรไปหาเดโม่วิดีโอมาดูย้อนหลังอย่างแรง เพราะว่ามันสุดยอดและง่ายมากมายจริงๆ) และนอกจากนี้การเลือกเก็บรูปภาพโปรดเอาไว้ในอุปกรณ์ใดๆ ก็ตามจะทำให้ภาพเหล่านั้นไปปรากฏในอัลบัม Favorites บนอุปกรณ์เครื่องอื่นๆ ของเราโดยอัตโนมัติอีกด้วย
นอกจากการเชื่อมโยงรูปภาพอัตโนมัติแล้ว Apple ยังมาพร้อมราคา iCloud แบบใหม่ที่ยั่วใจมากมายขึ้นกว่าเดิมเสียอีก โดย 5 กิ๊กแรกนั้นใช้ฟรีเหมือนเดิม แต่หากต้องการเพิ่มเนื้อที่เป็น 20 กิ๊กก็จ่ายแค่เพียงเดือนละ 30 บาทเท่านั้น (ถูกกว่าริงโทนรอสายบ้านเราอีก) หรือหากต้องการ 200 กิ๊กก็ได้ครับ เพียงเดือนละประมาณ 120 บาทเท่านั้นเอง โว้วววววววว ถูกมากจนต้องใช้จริงๆ
นอกจากนี้ iOS8 ยังมาพร้อม Siri เวอร์ชั่นอัพเกรดครั้งใหญ่ด้วยครับ หนึ่งในอัพเกรดที่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชาวไทยจะได้กรีดร้องเสียทีก็คือภาษาที่ Siri จะสามารถใช้งานได้ครับ โดยมีเพิ่มเข้ามาอีก 22 ภาษา เราเชื่อแน่ว่าใน 22 ภาษานั้น ไทยมันต้องโชคดีเป็นหนึ่งในนั้นบ้างล่ะฟะ และทันทีที่มีข้อมูลด้านภาษาเปิดออกมา เราจะรีบนำมารายงานให้เพื่อนๆ ได้รับทราบกันชนิดรวดเร็วปานสายฟ้าแลบเลยครับ
นอกจากนี้เรายังสามารถปลุกป้า Siri ได้จากเสียงแล้วครับ ในเมื่อ Android มี ‘Okay Google’ ฝั่ง iOS เราก็มี ‘Hey! Siri’ แล้วเหมือนกันนะครับ เถื่อนกว่า เท่ห์กว่า เป็นไหนๆ อิอิ เพราะเพียงแค่ตะโกนเรียกป้าแกแบบหาเรื่องว่า “เฮ้! สิริ” ป้าแกก็จะพร้อมรับใช้เราในทันทีโดยไม่ต้องกดหรือยกเครื่องอะไรขึ้นมาให้เสียเวลาอีกต่อไป แต่….ความชีช้ำผิดหวังครั้งยิ่งใหญ่คือการจะใช้ ‘Hey! Siri’ ได้นั้น อุปกรณ์ของคุณต้องเชื่อมต่อการสายชาร์ตและมีการชาร์ตไฟอยู่เท่านั้นนะฮ้าปปป (แวะไปเช็ดน้ำตาแป๊ป แล้วประโยชน์มันอยู่ตรงไหนเนี่ย ตอบ!)
Siri เวอร์ชั่นใหม่นี้ยังมาพร้อมซอฟต์แวร์ Shazam แบบฝังรากมากับตัว Siri เองเลยอีกด้วยครับ โดยหากเราต้องการทราบว่าเพลงที่ฟังอยู่ ไม่ว่าจะจากแหล่งไหน คือเพลงอะไร เพียงเปิดป้า Siri ขึ้นมาเท่านั้น ป้าแกจะขึ้นบอกรายละเอียดแบบยิบยี่ขึ้นมาในบัดดล แถมยังสั่งให้ป้าแกซื้อเพลงๆ นั้นบน iTunes Store ได้เลยอีกด้วยนะถ้าต้องการ…เก๋ๆ
iOS8 ยังมาพร้อมกับ Spotlight (หน้าค้นหา) แบบปรับปรุงใหม่อีกด้วย โดยผู้ใช้งานสามารถคนหาสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเครื่อง iDevice ของเราได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารต่างๆ ในโลกปัจจุบัน หรือแอพพลิเคชั่นอื่นใดที่มีขายอยู่บน App Store และยังไม่ได้ซื้อและดาวน์โหลดลงมาบนเครื่อง
ในส่วนของ Safari บน iPad ก็จะสามารถใช้ฟังก์ชั่น Bird’s Eye Tab View เหมือนอย่างพวก iPhone ได้เสียทีครับ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานไซต์บาร์ของ Safari ได้อีกด้วย
Notifications Center จะเอื้่อให้นักพัฒนาสามารถเปิดใช้งานวิดเจ็ตได้แล้วครับ แม้จะมีวิตเจ็ต แต่ Apple ก็ยังเป็นห่วงเรื่องความสวยงามและความเรียบง่ายของดีไซน์ iOS อยู่ เลยตัดสินใจใส่มันมาไว้ใน Notifications Center แทนการเปิดหน้าใหม่อีกหนึ่งหน้า ซึ่งอันนี้ต้องชื่นชมจริงๆ ว่าคิดได้ดีมากๆ ครับ โดยการเรียกใช้งาน Widget นั้นก็เพียงแค่ดึง Notification Center ลงมาเท่านั้น Widget ที่ติดตั้งจากแอพต่างๆ ก็จะปรากฏขึ้นมาในหน้านั้นด้วย ตัวอย่างเช่น Widget Ebay ตัวนี้เลยครับ
API ใหม่ที่เกิดขึ้นนอกจากจะเอื้อให้นักพัฒนาสามารถทำ Widget ของแอพของตัวเองขึ้นมาได้แล้ว ยังเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาแอพของตัวเองให้รองรับการแชร์รูปภาพและเอกสารต่างๆ โดยตรงได้เลยอีกด้วย (เหมือนที่เราสามารถเลือกอัพโหลดขึ้น DropBox หรือแชร์ไปยัง Facebook ได้ในตอนนี้ แต่ต่อไปจะอิสระขึ้นมากกว่านี้ ไม่ได้ผูกกับเจ้าที่มีการโคกับ Apple อย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว) และที่สำคัญ Touch ID จะมีประโยชน์มากยิ่งขึ้นด้วยการเปิด API ให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึงการใช้งาน Touch ID ในการยืนยันตัวเพื่อล็อกอินเข้าระบบแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้ (เข้าถึงได้ แต่จะไม่ได้ข้อมูลไปนะครับ คือข้อมูลลายนิ้วมือจะยังอยู่บน iDevice ของเราเหมือนเดิม ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครดึงไปได้ แต่เหล่านักพัฒนาเพียงแค่เข้าถึงฟังก์ชั่น Touch ID ได้เท่านั้น)
อีกหนึ่งความตื่นเต้นที่มาพร้อมกับ iOS8 ก็คือ API เกมตัวใหม่ที่ชื่อว่า Metal ครับ โดยจะเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถดึงเอาความสามารถของ GPU และ CPU ของเจ้า iDevice ออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแบบสุดๆ ไปเลย โดยมรงานได้มีเดโม่สาธิตจาก Epic Game ซึ่งเป็นการแสดงความสามารถด้านกราฟิกเกมบน API ใหม่ที่เรียกเสียงฮือฮาจากนักพัฒนาได้แบบก้องห้องเลย เพราะเดโม่ตัวนี้ เป็นเดโม่ Real Time จาก iPad Air จริงๆ ไม่ได้ไก่กาอาราเล่แอบอ้างมาแต่อย่างใด ความสวยงามสมจริงตรงนี้ต้องไปหาคลิปมาดูกันนะครับ มันยากที่จะอธิบายได้จริงๆ ด้านล่างนี้เป็นภาพจากรายงานสดของเราเมื่อวานนี้ครับ
และความน่าตื่นเต้นที่เป็น Secret Project ของ Apple นั้นเปิดเผยในช่วงท้ายงานครับ โดยเจ้านั่นก็คือ API ใหม่ที่มีชื่อว่า HomeKit โดยจะเอื้อให้เราสามารถใช้ iDevice ของเราควบคุมการทำงานของสิ่งต่างๆ ภายในบ้านได้อย่างสมบูรณ์ พูดปุ๊ปนึกภาพของเล่นของ iOS มากมายเตรียมเกิดขึ้นตามมาออกอย่างชัดเจนเลย
จริงอยู่ว่าปัจจุบันนี้คุณสามารถใช้ iDevice ของคุณในการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำมารองรับได้มากมายอยู่แล้ว เช่นควบคุมการเปิดปิดประตูโรงรถ ควบคุมเครื่องทำความร้อนและระบบไฟฟ้าภายในบ้าน แต่ทั้งหมดนั้นคุณต้องสั่งการผ่านแอพพลิเคชั่นแยกของผู้ผลิตแต่ละเจ้า ซึ่งแต่ละเจ้าเองก็ผลิตแอพกันมาแบบสะเปะสะปะไปหมดไม่ว่าจะด้านความปลอดภัยไปจนถึงระบบเน็ตเวิร์ค แต่มาครั้งนี้ Apple คิดว่าสิ่งเหล่านี้ควรได้รับการจัดการให้เป็นระเบียบและใช้งานได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้ย เพราะฉะนั้น Apple จึงคิดค้นโปรเจ็ค HomeKit นี้ขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อ iDevice เข้ากับอุปกรณ์ควบคุมการทำงานในส่วนต่างๆ ภายในบ้านไว้อย่างเบ็ดเสร็จผ่านการกรอกความปลอดภัยจากระบบโอเอสโดยตรงนั่นเอง
การสั่งงาน HomeKit นั้นนอกจากจะสั่งด้วยการสังผ่านเมนูต่างๆ บนหน้าจอ iDevice แล้ว เรายังสามารถสั่งผ่านคำพูดด้วยการพูดกับป้า Siri เพื่อให้อุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านตอบสนองความอยากเราได้อีกด้วย และหาก Siri เวอร์ชั่นใหม่จะมีไทยอยู่ใน 22 ชุดภาษาใหม่จริงๆ รับรองว่างานนี้บ้านเราได้ถือกำเนิดโครงการบ้านอัจฉริยะกันขึ้นมาอีกเพียบแน่ๆ และคงเก๋สุดๆ ตามสไตล์ Apple เขาล่ะครับ
โดย ณ ตอนนี้ Apple มีพาร์ทเนอร์ใหญ่หลายรายทั่วโลกตกลงมาร่วมทัพโครงการ HomeKit ด้วยแล้วมากมาย อาธิเช่น Phillips, Skybell และ Honeywell (เจ้าของบอร์ดควบคุมที่อุปกรณ์ภายในบ้านใช้กันแทบทั้งนั้น) เรียกได้ว่าอนาคตของบ HomeKit นี่หากดูจากจุดเริ่มต้นแล้วไปได้ไกลอย่างแน่นอน
แน่นอนว่า iOS8 ยังมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงในสิ่งละอันพันละน้อยเช่นไอคอนบางตัว รวมไปจนถึงฟังก์ชั่นสำหรับนักพัฒนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Xcode ใหม่ที่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนไอคอนและเคลมว่าไวขึ้นกว่าเก่าเยอะอย่าง Swift และฟังก์ชั่น TestFlight (ที่ Apple ไปฮุบกิจการมาก่อนหน้านี้) ที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถปล่อยแอพพลิเคชั่นในเวอร์ชั่นเบต้าออกไปแจกจ่ายให้คนทั่วไปทดลองฝช้ฟรีได้นั่นเอง
อย่างไรก็ตามเราเชื่อแน่ว่าทั้งหมดที่เรารวบรวมมาให้ในโพสนี้นั้นจะครอบคลุมทุกความสามารถสำคัญใหม่ๆ บน iOS8 ชนิดที่อ่านที่เดียวได้ครบทุกอย่างอย่างแท้จริง ทั้งนี้ iOS8 สำหรับนักพัฒนาพร้อมเปิดให้ดาวน์โหลดแล้วตั้งแต่วันนีเป็นต้นไป และสำหรับยูเซอร์ทั่วไป (ในเวอร์ชั่นเบต้า) จะมีมาให้ใช้ปลายปีนี้ครับ
ก่อนจบโพสนี้เราของทิ้งท้ายไว้ด้วยรุ่นต่างๆ ที่ยังได้สิทธิ์ไปต่อกับ iOS8 โชคดียังเป็นของทุกคนที่ใช้ iPhone 4S และ The New iPad (iPad 3) เพราะพวกคุณยังคงได้ไปต่อครับ