Google เปิดตัว Android เวอร์ชั่นใหม่ที่เราเคยเรียกกันว่า Android P อย่างเป็นทางการ โดยมาพร้อมชื่อเรียกว่า Android 9 Pie ซึ่งอัพเดตดังกล่าวนี้ได้ปล่อยออกไปให้กับมือถือ Pixel หลายๆ รุ่นที่รองรับได้อัพเดตกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ทางฝั่งผู้ผลิตแบรนด์อื่นๆ นั้นบางแบรนด์ปล่อยอัพเดตแล้วเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น Essential Phone จากบิดาแห่ง Android อย่าง Andy Rubin นั่นเอง และอีกหลายๆ เจ้าก็น่าจะทยอยตามอัพเดตกันมาในช่วงปลายปีนี้
โดย Android Pie เป็น Android เวอร์ชั่นที่ 9 จาก Google ซึ่งเป็นภาคต่อความสำเร็จของ Android 8 Oreo ในปีที่แล้ว โดยในอัพเดตใหญ่ครั้งนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์หลายๆ อย่างที่ต่างก็ใช้ความสามารถของระบบ Machine Learning ที่แทบจะกลายเป็นพื้นฐานของมือถือยุคปัจจุบันไปแล้ว เพื่อการใช้งานสมาร์ทโฟนของเพื่อนๆ ที่จะสมาร์ทมากยิ่งขึ้นสมชื่อเรียกของมันนั่นเอง
หนึ่งในฟังก์ชั่นเก๋ๆ ที่เกิดขึ้นได้เพราะ Machine Learning คือการใช้งานแบตเตอร์รี่แบบยืดหยุ่นได้ตามความต้องการของระบบและการใช้งานจริงของผู้ใช้ในช่วงเวลานั้นๆ (Adaptive Battery) ซึ่งตัวระบบเองจะทำการคำนวนและสังเกตว่าแอพพลิเคชั่นใดที่ผู้ใช้งานอาจใช้ไม่บ่อยนักแล้วจะทำการจำกัดการใช้งานแบตเตอร์รี่และรีซอสต่างๆ ของแอพพลิเคชั่นนั้นๆ เพื่อให้แบตเตอร์รี่ของมือถือโดยรวมนั้นสามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น และอีกหนึ่งฟังก์ชั่นใกล้เคียงกันคือ Adaptive Brightness ซึ่งจะปรับเปลี่ยนความสว่างของหน้าจอให้กับผู้ใช้งานเองตามสถานที่ๆ กำลังใช้งานสมาร์ทโฟนและสิ่งที่ผู้ใช้งานกำลังทำกับสมาร์ทโฟนของผู้ใช้งานอยู่นั่นเอง
นอกจากนี้ Android 9 Pie ยังใช้ความสามารถของ Machine Learning มาช่วยในการทำให้แอพพลิเคชั่นที่ผู้ใช้งานใช้อยู่เป็นประจำสามารถตอบสนองได้เร็วขึ้นกว่าเดิมด้วย โดยมาพร้อมฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Slices ซึ่งอนุญาตให้แอพพลิเคชั่นสามารถแทรกตัวเองเข้าไปในผลการค้นหาของคนได้เพื่อให้คุณสามารถทำสิ่งที่ต้องการบนสมาร์ทโฟนได้ไวยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นหากคุณต้องการค้นหาแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า Lyft บน Google App เจ้าแอพพลิเคชั่น Lyft ก็จะแสดง Slice ขึ้นมาพร้อมกับออฟชั่นให้เลือกว่าคุณต้องการเดินทางกลับบ้านหรือเดินทางไปที่ทำงาน เพราะอาจเป็นสองที่ที่คุณเดินทางไปบ่อยสุด เพื่อให้คุณสั่งงานสมาร์ทโฟนได้อย่างสมาร์ทและรวดเร็วขึ้นนั่นเอง และเมื่อคุณกดเลือกว่าจะไปที่บ้าน หรือที่ทำงาน Lyft ก็จะหาแท็กซี่และปักหมุดสถานที่ปลายทางให้คุณโดยอัตโนมัติ (ซึ่งบ้านเราไม่นาน Line และ Grab เองก็น่าจะใช้ความสามารถในส่วนนี้ได้ต่อไป)
นอกจากนี้ยังมี App Actions ซึ่งใส่เมนูลัดเข้าไปในแอพลันเชอร์ในเวลาที่เหมาะสมตามกิจกรรมที่ผู้ใช้งานกำลังทำอยู่ ยกตัวอย่างเช่นคุณอาจจะเห็นปุ่มลัดเปิดแอพนำทางไปยังที่ทำงานในตอนเช้าเวลาคุณเดินไปขึ้นรถ หรือเจอปุ่มลัดเปิดเล่นเพลงในเพลย์ลิสเมื่อคุณเสียบหูฟังเข้ากับช่องเสียบหูฟังเป็นต้น โดยทั้งหมดนี้จะค่อยๆ ทำงานได้ตอบโจทย์คุณมากขึ้นเมื่อคุณใช้งานสมาร์ทโฟนของคุณไปเรื่อยๆ เพราะตัวระบบนั้นใช้ความสามารถของ Machine Learning เข้ามาช่วยนั่นเอง
นอกจากนี้ Android 9 Pie ยังมาพร้อมการบังคับเครื่องแบบใหม่ด้วย โดยปุ่มเดิมๆ ที่คุ้นเคยทั้งสามปุ่มนั้นจะถูกแทนที่ด้วย 2 ปุ่มเท่านั้น คือปุ่มแถบบาร์แนวนอนด้านล่างตรงกลางจอภาพ และปุ่มย้อนกลับด้านล่างซ้ายของจอภาพ ความพิเศษคือการที่คุณสามารถใช้งานบางฟังก์ชั่นของแอพพลิเคชั่นมากกว่าหนึ่งแอพพลิเคชั่นไปพร้อมๆ กันได้ในหน้า App Switcher ยกตัวอย่างเช่นคุณสามารถก๊อปปี้ข้อความจากแอพหนึ่งมาใส่ลงในอีกแอพได้ในหน้า App Switcher เลยด้วยการใช้งานฟีเจอร์ Smart Text Selection ควบคู่ไปด้วยนั่นเอง
ระบบการแจ้งเตือน (Notifications) เองก็มีการปรับปรุงเช่นเดียวกัน โดยมาพร้อมไอคอนชุดวงกลมใหม่และข้อความต่างๆ สามารถขยายเพื่อดูพรีวิวเพิ่มเติมได้ และมาพร้อมฟังก์ชั่นการตอบด่วนที่เรียนรู้จากเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในข้อความนั้นๆ โดยตรง
และหลังจากเปิดตัวไปสักพัก ภายในปีนี้ Android 9 Pie จะเพิ่มฟังก์ชั่นที่ชื่อว่า Digital Wellbeing ขึ้นมา โดยจะมาพร้อมกับแดชบอร์ดที่สรุปการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ และสามารถเลือกตั้งระยะเวลาการใช้งานให้กับแอพพลิเคชั่นที่ต้องการได้เพื่อป้องกันการใช้งานแอพพลิเคชั่นยาวนานเกินไป ฟังก์ดูอาจจะเหมือน Screen Time บน iOS 12 จาก Apple แต่ความเก๋นั้นอยู่ตรงที่ฟีเจอร์ที่ว่านี้สามารถปรับค่าเครื่องเราเข้าสู่โหมดห้ามรบกวนและเปลี่ยนหน้าจอเราเป็นขาวดำเพื่อลดความอยากในการใช้งานมือถือของเราลงในช่วงที่เรากำลังจะนอนได้อีกด้วย โดยในตอนนี้ Digital Wellbeing นั้นสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้แล้วบนมือถือ Pixel แต่ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมและรับการทดสอบเวอร์ชั่นเบต้าก่อน สำหรับเครื่องรุ่นอื่นๆ นั้นต้องรอการปล่อยอย่างเป็นทางการต่อไป
นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อัพเดต Android 9 Pie นี้ยังมาพร้อมการปรังปรุงด้านอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปจนถึงการปรับปรุงด้านความปลอดภัยด้วย แต่หากจะพูดถึงทั้งหมดคงต้องรอ Google ปล่อยอัพเดตออกมาในวงกว้างที่ไม่จำกัดเฉพาะเครื่อง Pixel ก่อนถึงจะสามารถเล่นกันโดยละเอียดเพื่อนำมาแจกแจงได้ต่อไป
สำหรับตอนนี้มือถือ Pixel ทั้งหมด และ Essential Phone คือชุดแรกที่ได้อัพเดตกันไปแล้ว หากใครยังไม่ได้รับแจ้งเตือนก็ลองเข้าไปดูที่การตั้งค่าและเรียกอัพเดตกันดูนะ ขอให้สนุกกับของหวานชิ้นใหม่ Android 9 Pie นี้ และจำไว้ว่า Android เป็นของหวาน….