OnePlus ก็เป็นแบรนด์ใหญ่ที่ดังมากในเมืองนอก แต่เพิ่งมาปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการในปีนี้เป็นปีแรกนะครับ โดยการนำเข้าสินค้าตัวเรือธงรุ่นใหม่สุดของพวกเขา นั้นคือ OnePlus 6 ซึ่งในวันเปิดตัว ทาง AppDisqus เคยพาไปดตัวจริงกันมาแล้วว่ามันสวยงามแค่ไหน
แต่นอกจากความสวยงามแล้ว OnePlus 6 ยังเป็นสมาร์ทโฟนในระบบ Android ที่แรงมากครับ เรียกว่าแรงเป็นอันดับท็อปสามของโลกเลย ด้วยผลทดสอบ Benchmark ที่สูงกว่า 280,000 คะแนน แต่ราคาของมันกลับไม่แพงเท่าประสิทธิภาพของมันครับ เพราะเปิดจำหน่ายมาในราคาไม่ถึงสองหมื่นบาท
และสำหรับไฮไลค์ในช่วงนี้ก็คงไม่พ้นกับการมาของ OnePlus 6 สีแดง! ความร้อนแรงที่พร้อมจำหน่ายแล้วในบ้านเราครับ
OnePlus 6 สีแดง จะมาพร้อมกับสเปคภายในที่แรงเหมือนสีเลยครับ ด้วยหน่วยประมวลผล Snapdragon 845 GPU Adreno 630 พร้อมแรมขนาด 8GB และหน่วยความจำภายใน 128GB ในราคาเปิดตัว 19,999 บาท
จากที่ได้ลองใช้ (ซึ่งก็ลองใช้มาตั้งแต่เครื่องสีดำแล้วละ) OnePlus 6 มีความพิเศษตรงการปรับจูนระบบมาในประสิทธิภาพสูงสุดของ Android 8 เลยครับ อย่าคิดกันว่าเมื่อเจอเครื่องที่ใช้หน่วยประมวลผลตัวเดียวกันแล้วผลลัพท์มันจะเท่ากันไปซะทุกรุ่นนะครับ ถ้าคุณมีโอกาสได้ลองใช้สมาร์ทโฟนหลายๆ ตัว ที่มีสเปคเท่าๆ กันจะเข้าใจ เพราะบางครั้งมันสร้างผลลัพท์ให้กับเรายังกับเครื่องคนละระดับเลยก็มี แล้วสำหรับ OnePlus 6 คือตัวที่ทำผลลัพท์ให้กับผมได้ในระดับหัวแถวครับ
เล่นเกมกราฟิกสูงได้ไหลลื่นมากๆ การใช้งานด้านอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึงเพราะทำได้หมดสบายอยู่แล้ว อยากมองหา Android ประสิทธิภาพสูงๆ ตอนนี้ก็แนะนำ OnePlus 6 ครับ รีดเลือดจาก Snap 845 ออกมาได้ดีจริงๆ
หน้า UI ของ OnePlus 6 อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในคำตอบว่าทำไมการทำงานถึงออกมาดี เพราะว่า UI OxygenOS เป็นหน้าการใช้งานที่เรียบง่ายมากๆ มันแทบไม่มีอะไรที่เป็นฟังก์ชั่นพิเศษเลย เปลี่ยนธีมก็ได้แค่เปลี่ยนสีเมนูหรือไอคอนเท่านั้น ฟังก์ชั่นพิเศษแบบอภินิหารแทบจะไม่เจอ ก็เป็นทั้งข้อเสียและข้อดีครับ เพราะหลายคนก็ชอบความไม่เยอะของมัน
แต่แม้จะไม่มีฟังก์ชั่นอภินิหารแต่ก็มีสิ่งที่จำเป็นมาให้เราใช้ครับ เช่นการสแกนใบหน้า การสแกนลายนิ้วมือ จะรองรับทั้งคู่ โหมดเกมสำหรับการปิดกั้นการแจ้งเตือนและการรีดเอาเน็ตมาใช้สำหรับการเล่นเกมเป็นหลัก ที่เหลือก็จะเป็นฟังก์ชั่นของระบบ Android ทั่วๆ ไป
OxygenOS มีรูปแบบการซ่อนแอพพลิเคชั่นที่ผมชอบมากๆ ^^ เพราะมันแค่เอาแอพที่เราต้องการไปซ่อนไว้ที่หน้าข้างๆ เท่านั้นเอง เรียบและง่าย แต่คนไม่รู้ก็ไม่มีทางสไลด์ไปเจอหรอกครับ 555
แบตเตอรี่ของ OnePlus 6 ขนาด 3300 mAh แบตอึดประมาณหนึ่ง ใช้งานได้วันต่อวัน สำหรับการใช้งานเล่นเกมหนักๆ แบบผมจะเล่นต่อเนื่องอยู่ได้ประมาณ 6 ชั่วโมงนะครับ ในความสว่างหน้าจอระดับ 45%
และผมจะแอบบอกว่า เจ้าตัวนี้รองรับระบบชาร์จไวในเทคโนโลยีที่เราคุ้นชื่อว่า VOOC Flash Charge ด้วยนะครับ ^^ เพราะเขาเป็นญาติๆ กับทาง OPPO ในด้านการใช้เทคโนโลยีร่วมกันบางอย่าง และตัวอเดปเตอร์ชาร์จ VOOC ใช้ร่วมกันได้ แต่ตัวชาร์จของ OnePlus 6 ผมบอกเลยว่าสวยกว่า! 555 เพราะว่าทั้งสาย ทั้งกล่อง และที่ชาร์จของมัน มาในธีมสีขาว-แดง เด่นและสวยงามมาก
ภายในกล่องมีเคสสวมใส่มาให้ แต่ถ้าใครใส่เคส ผมถือว่าบาป! เพราะว่ามันปิดบังความสวยงามของเครื่องหมดครับ เป็นผมยอมใช้ให้เครื่องเป็นรอยดีกว่าการไปบดบังความสวยของมันด้วยเคสมัวๆ แต่เครื่องใครก็รับผิดชอบกันเองนะครับ แล้วแต่ความอยากเสี่ยง ^^
ตัวเครื่อง OnePlus 6 มาพร้อมกับระบบสองซิมแบบ 4G Dual รองรับ 4G ทั้งสองซิม และเชื่อมต่อ Wi-Fi AC 5.0 Ghz 2×2 MIMO ได้ เทคโนโลยีต่างๆ ของเครื่องก็ระดับสูง รองรับ NFC และ Bluetooth 5.0 ผลิตมาภายใต้มาตรฐานการกันน้ำกระเซ็นใส่ โดนละอองฝนหรือความชื้นก็ไม่พังง่ายๆ ครับ (แต่ไม่กันน้ำแบบตกลงน้ำนะครับ)
หน้าจอขนาดขนาด 6.28 เป็น AMOLED สัดส่วน 19:9 ความละเอียด FullHD+ แบบมีติ่ง ภาพชัดสีสด เสียงลำโพงดังพอประมาณแต่ไม่เด่นไม่โดด ข้อดีคือยังมาพร้อมกับรูหูฟัง 3.5 มิล
กล้องของ OnePlus 6 เป็นกล้องหลังคู่ 16 + 20 MP ถือว่าความละเอียดสูง คุณภาพก็ดีครับแต่ไม่ได้ดีระดับแซงเป็นจ่าฝูง แค่เกาะกลุ่มหัวตาราง มีโหมดการถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอ และกล้องหน้าก็ความละเอียดสูงเช่นกัน 16 ล้านพิกเซล
ถ่ายภาพไม่ยาก คุณภาพไม่แย่ ใช้งานทั่วไปได้สบาย หยิบขึ้นมากดถ่าย กดถ่าย ภาพที่ได้ไม่มีอายใคร
ตัวอย่างภาพถ่าย
ซูมภาพสองเท่าได้แบบไม่สูญเสียในการจัดเก็บความละเอียดภาพ
ก็สรุปรีวิวกระชับบทความนี้ว่า OnePlus 6 (ไม่ว่าจะสีไหน) แรงครับ ลื่นระดับขีดบนของ Snapdragon 845 การใช้งานเรียบง่ายไม่มีอะไรให้เราวุ่นวาย (แม้ว่าอยากวุ่นวายก็ไม่มีให้) ตัวเครื่องสวยมาก โดยเฉพาะสีแดง มันเข้ากันกับสายชาร์จและภาพลักษณ์ของ OnePlus ซะเหลือเกิน
ราคาไม่แพงแต่ความแรงไม่มีกังขา ตัวเครื่องสวยแบบไม่ลดต้นทุน ด้วยมาตรฐานที่สูงจนคาบเกี่ยวกับแบรนด์พรีเมี่ยม ผมเลยขอเรียกมันว่า “เรือธงของกลุ่มแบรนด์สมาร์ทโฟนราคาประหยัดละกันครับ” ^^