ในช่วงแรก ๆ ที่มีข่าวลือว่า Apple จะนำพอร์ตหูฟัง 3.5mm ออกจาก iPhone แล้วหันไปใช้พอร์ต lightning แทน หลายคนก็มองว่าบ้าไปแล้ว มันจะทำได้เหรอ? แต่ล่าสุด Lenovo ก็เปิดตัว Moto Z และ Moto Z Force ที่ไม่มีพอร์ตหูฟัง 3.5mm โดยหันไปใช้ USB Type-C เพื่อใช้เป็นพอร์ต Audio ก็ทำให้หลายคนเริ่มมองว่า หรือมันจะเป็นไปได้นะ? หรือว่ามันมาถึงยุคที่ต้องบอกลาพอร์ตหูฟังแบบ 3.5mm กันแล้ว
มันเช่นเดียวกับช่วงแรกที่พอร์ต MicroUSB เปลี่ยนมาใช้ USB Type-C แบรนด์ต่าง ๆ ก็มองว่าไม่จำเป็นและยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยน แต่เมื่อเทคโนโลยีพร้อม และมีผู้นำเทรนด์ นอกจากนี้ผู้ใช้ก็ชื่นชอบมันด้วย ทีนี้แบรนด์ต่าง ๆ ก็เปลี่ยนกันอย่างรวดเร็วกันเลยทีเดียว ไม่ต่างกันครับเมื่อเวลามาถึง มันจะสร้างระลอกคลื่นของการเปลี่ยนแปลง แบรนด์ต่าง ๆ จะหันไปใช้ USB Type-C แทนพอร์ตหูฟัง 3.5mm ตามกระแสของตลาด ซึ่งคลื่นระลอกแรกมันมาแล้ว ใครช้าคงตกขบวนเป็นแน่ โดยในคลื่นระลอกแรก มี 3 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ นั่นคือ
- LeEco ได้สร้างมาตรฐานคุณภาพ audio ใหม่ – CDLA (Continual Digital Lossless Audio) ที่ใช้พอร์ต USB Type-C และทำให้พอร์ต 3.5mm ไม่จำเป็นสำหรับมาตรฐานใหม่นี้บนสมาร์ทโฟนอีกต่อไป
- Moto โดย Lenovo ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่มา 2 ตัว ได้แก่ Moto Z และ Moto Z Force ซึ่งทั้งคู่ไม่มีพอร์ตหูฟังมาตรฐานเดิมอย่าง 3.5mm เหตุผลเกี่ยวกับการออกแบบที่ทำให้สวยขึ้น โดยหันไปใช้พอร์ต Type-C แทน
- Apple แม้จะยังไม่ยืนยัน แต่มีข่าวลือหลายกระแสและหนาหูว่า Apple จะหันมาใช้พอร์ต lightning แทน 3.5mm ซึ่งคงรออีกไม่นานครับ เราจะได้ยืนยันข่าวนี้กับ iPhone รุ่นต่อไปที่กำลังจะมาถึง
ข้อดี ข้อเสีย เกี่ยวกับมาตรฐานใหม่ CDLA ที่ยกให้ USB Type-C เป็นพระเอก?
ตามที่ LeEco กล่าวอ้าง พวกเขาระบุว่าเทคโนโลยี CDLA นี้จะให้ประสบการณ์และคุณภาพเสียงที่ดีกว่า ซึ่งพวกเขาได้พิสูจน์โดยการเปรียบเทียบกับการใช้งานพอร์ต 3.5mm มาแล้ว โดยมาตรฐานเดิมนั้นจะเป็นเทคโนโลยี DAC (Digital to Analog Converter) หรือการแปลงสัญญาณจากดิจิตอลมาเป็นอนาล็อก เพื่อทำให้เกิดเสียงผ่านลำโพงหรือหูฟัง ข้อเสียของมันก็คือ มันทำให้สมาร์ทโฟนต้องเผื่อพื้นที่ในเครื่องไว้สำหรับตัวแปลงอันนี้ และทำให้คุณภาพเสียงไม่สม่ำเสมอ แต่ละแบรนด์จะมีคุณภาพเสียงต่างกัน ตามคุณภาพชิปเซ็ตเสียงที่ใช้งาน มันทำให้เวลาเราซื้อสมาร์ทโฟนสักเครื่องต้องดูสเปคเกี่ยวกับชิปเซ็ตเสียงตัวนี้หละครับ แต่เทคโนโลยี CDLA จะทำให้เราไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นแล้ว
แล้วข้อเสียของเทคโนโลยี CDLA คืออะไร? อย่างแรกที่จะสร้างปัญหาในการใช้งานอย่างชัดเจนก็คือ เราจะไม่สามารถฟังเพลงไปด้วยและชาร์จแบตเตอรี่ไปด้วยได้ เพราะมันใช้พอร์ตเดียวกัน ข้อเสียอีกอย่างก็คือ การลงทุนเพิ่มทั้งผู้ผลิตที่ต้องแถมหูฟังแบบพิเศษนี้และผู้ใช้ที่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เสริมที่เราเคยซื้อตุนเอาไว้แล้ว อย่าว่าเถอะครับ ขนาด Le Max 2 สมาร์ทโฟนจาก LeEco เองยังไม่แถมหูฟังที่ใช้ได้กับ USB Type-C นี้มาให้เลย แถมมาแค่หูฟังธรรมดากับตัวแปลง USB Type-C to 3.5mm มาให้ในกล่อง นอกจากนี้แม้เราจะใช้ตัวแปลงเราก็จะไม่ได้สัมผัสประสบการณ์เสียงคุณภาพมาตรฐาน CDLA เราต้องลงทุนซื้อหูฟังใหม่ เพื่อให้ได้รับคุณภาพเสียงตามที่ต้องการของมาตรฐานใหม่นี้เท่านั้น
Moto Z และ Moto Z Force เป็นอย่างไรบ้าง?
ความหนาตัวเครื่องเพียง 5.2 มิลลิเมตร ของ Moto โดย Lenovo นี่หละครับคือจุดเด่นและเหตุผลหลักในการตัดสินใจตัดพอร์ต 3.5mm ออกจาก Moto Z และ Moto Z Force เพราะมันทำให้เครื่องบางลงได้มาก และบริหารเนื้อที่ภายในเครื่องได้ง่าย เอาพื้นที่ไปยัดให้แบตเตอรี่แทน ชดเชยที่เราฟังเพลงพร้อมกันการชาร์จแบตเตอรี่พร้อมกันไม่ได้
สรุปแล้วผมเองก็ยังไม่มั่นใจกับเทคโนโลยีใหม่นี้เท่าไหร่ แล้วคุณหละ??
คงเหมือนกับการเปลี่ยนจากมาตรฐาน USB เดิมมาเปลี่ยน Type-C ที่ตอนนี้เราจะยังไม่เห็นผลดีที่ชัดเจน คาดว่าจะเริ่มตระหนักก็คงอีกสักพักและถึงตอนนั้นแต่ละแบรนด์คงต้องเปลี่ยนตามเทคโนโลยี เพราะมันจะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่หากมันมาเร็วเกินคาดก็ไม่ต้องกังวลครับ ตัวแปลง USB Type-C to 3.5mm คือคำตอบของเรา หรือจะซื้อหูฟังใหม่เพื่อมารองรับระบบเสียงเทพ ๆ อันนี้ก็แล้วแต่กำลังทรัพย์ เพียงแต่ต้องเตรียมใจกับสถาวะ Low Battery กันไว้ด้วย ส่วนใครที่ใช้งานหูฟัง Bluetooth มันสามารถใช้ร่วมกับ USB Type-C ได้เลยนะครับ
เทคโนโลยี CDLA นี้จะช้าจะเร็วยังไงก็มาแน่นอนครับ เพราะมันมีเหตุผลที่เปลี่ยน อย่างที่ Liang Jun ประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ LeEco กล่าวเอาไว้ว่า พวกเขาตัด 3.5mm ออก ไม่ใช่เพื่อให้เครื่องบางลง แต่เพื่อประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้ที่จะได้สัมผัสกับระบบเสียงคุณภาพสูง แค่นี้มันก็คุ้มค่าที่จะเปลี่ยนแล้ว และไม่ใช่แค่วงการสมาร์ทโฟนที่กำลังชับเคลื่อนเรื่องนี้ ในงาน IDF2016 ที่ผ่านมา Intel ก็ได้มีการประกาศถึงแผนการที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้งานเกี่ยวกับระบบเสียง จากยุคของอนาลอก(Analog) ให้เป็นดิจิตอล(Digital) ด้วยการเลือกให้มีการเชื่อมต่อแทนด้วยมาตรฐานการเชื่อมต่อผ่าน USB Type-C เช่นกัน
เราก็ได้แต่หวังว่าระบบเสียงสุดเจ๋งที่พูดถึงกัน มันจะคุ้มค่ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้นะครับ ส่วนตัวแล้วผมยังไม่ได้ลอง ยังไม่ได้สัมผัส ก็ยังตอบไม่ได้ครับว่ามันดีจริงไหม? ได้แต่คิดว่าน่าลองนะ เพราะโดยปกติผมไม่ค่อยมีอุปกรณ์เสริม อย่างเช่น หูฟังเทพ หรือลำโพงแสนแพง อะไรพวกนี้ จึงคิดว่าคงไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก จะเปลี่ยนก็แค่เพียงประสบการณ์ในการใช้งานเท่านั้น … แล้วเพื่อน ๆ หละครับ คิดเห็นกันอย่างไรบ้าง?