ช่วงนี้กระแสเปลี่ยน iPhone ทุกปีกำลังมาแรง หลายต่อหลายคนกำลังถกกันว่า iPhone นั้นอาจจะเป็นมือถือที่คุ้มค่ากว่าหากเราใช้งานและเปลี่ยนตามปีทุกรุ่น ซึ่งแน่นอนว่า แอพดิสคัส เองคงบอกไม่ได้ว่ามันคุ้มกว่าจริงไหม เพราะสำหรับบางคนอาจมองว่าการซื้อมาแล้วเก็บไว้ใช้นานๆ เลยนั้นน่าจะตอบโจทย์ความคุ้มค่ามากกว่า เนื่องจากเครื่องไม่เสียก็ยังไม่ต้องเปลี่ยน แต่กับบางคนที่อาจมองโทรศัพท์มือถืออีกแบบอาจจะคิดต่างกันออกไป ดังนั้นประเด็นนี้คงต้องปล่อยให้เป็นนานาจิตตังแทนละกันนะ
แต่สิ่งหนึ่งที่ แอพดิสคัส ทำได้อย่างแน่นอนคือการเพิ่มพูนเทคนิกการใช้งาน iPhone ให้คุณผู้อ่านและผู้ที่ติดตามเราสามารถใช้มันได้อย่างคุ้มค่าในทุกอณู และในวันนี้เรามาพร้อมกับ 6 ฟีเจอร์ที่บรรณาธิการเราลงมติแล้วว่าดีแบบสุดๆ แต่คนมักจะมองข้ามกันไปบน iOS รับรองเลยว่า จบจากบทความนี้ไป เพื่อนๆ จะสามารถรัดเอาประสิทธิภาพของ iPhone ที่มีอยู่ในมือได้อย่างคุ้มค่าจนแทบไม่อยากจะเชื่อ
บทความนี้อาจจะยาวหน่อยนะ แต่คุณสามารถ “ฟัง” แทนการอ่านได้ เพียงแค่กดเปิดฟังจากปุ่มด้านบนเท่านั้นเอง อ้อ! และเนื้อหาแทบทั้งหมดบน แอพดิสคัส สามารถเลือกฟังแทนการอ่านได้นะถ้าต้องการ…อาจเอาไว้ฟังชิวๆ เวลาขับรถก็ได้นะ เราจ้างเสียงจากพี่ Google มาเล่าข่าวให้คุณฟังแล้ว ถ้าน้องอ่านผิด อ่านตก อ่านพลาดก็ให้อภัยน้องหน่อยนะ น้องเป็น AI กำลังหัดอ่านน่ะ
1. เก็บทุกบัตรสมาชิกสำคัญไว้บน iPhone ด้วยแอปพลิเคชั่นกระเป๋าสตางค์หรือ Wallet
แอปพลิเคชั่นกระเป๋าสตางค์นั้นอยู่คู่ iPhone มาช้านาน (อย่าสับสนกับแอปพลิเคชั่น เป๋าตัง ที่ใช้กับโครงการคนละครึ่งนะ) แต่กลับเป็นฟีเจอร์ที่ผู้ใช้ iPhone ในประเทศไทยเรามองข้ามกันมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ อาจเพราะระบบ iOS ในประเทศไทยนั้นยังไม่รองรับการใช้งาน Apple Pay จึงทำให้หลายๆ คนไม่สนใจที่จะเปิดแอปพลิเคชั่นนี้ขึ้นมาดูเลยแม้แต่น้อย แต่จริงๆ แล้วนี่คือฟีเจอร์ที่มีประโยชน์เป็นอันดับต้นๆ ของ iPhone เลยก็ว่าได้ แม้จะกับชาวไทยเราที่ไม่มี Apple Pay ให้ใช้งานก็เถอะ
แม้ว่าในตอนนี้เราจะยังไม่สามารถเพิ่มบัตรเครดิตเข้าไปในแอปพลิเคชั่นกระเป๋าสตางค์ได้ แต่เราสามารถเก็บบัตรสมาชิกต่างๆ ของเราในรูปแบบดิจิทัลและไปใช้งานกับร้านที่รองรับบัตรแบบดิจิทัลไว้ในแอปพลิเคชั่นนี้ได้ ยกตัวอย่างร้านที่รองรับฟีเจอร์เก็บบัตรในแอปพลิเคชั่นกระเป๋าสตางค์อย่างเป็นทางการในประเทศไทยก็เช่น บัตรสมาชิกจาก NESPRESSO, NIKE, การบินไทย Royal Orchid Plus , ธนพรคลินิก หรือแม้แต่โชว์รูมรถยนต์อีกหลายๆ ที่ เช่น Thanyaburi Group (Honda ธัญบุรี) เป็นต้น ซึ่งหลายๆ บัตรก็จะแสดงแต้มสะสมอัพเดตแบบเรียลไทม์ให้เราเห็นกันเลยด้วย โดยวิธีการหลักๆ นั้นก็แค่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นของร้านค้านั้นๆ มาติดตั้งลงบน iPhone ของเรา จากนั้นก็ออกบัตรผ่านทางแอพพลิเคชั่นดังกล่าว เพียงเท่านี้ก็จะได้บัตรสวยๆ มาอยู่ใน Wallet ของเราแล้วล่ะ (ยกเว้นการบินไทยที่ต้องทำการขอบัตรผ่านทางเว็บไซต์สมาชิก ROP, ธนพรคลินิกและ Honda ธัญบุรี ที่ต้องสแกนออกบัตรฟรีจากหน้าสาขาโดยตรง)
นอกจากนี้กับร้านค้าที่ยังไม่มีบัตรในรูปแบบดิจิทัลให้บริการในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เราก็สามารถใช้บริการฟรีจากเว็บไซต์อย่าง PassSource หรือแอปพลิเคชั่นฟรีบน iPhone เองอย่าง STOCARD มาเป็นตัวช่วยในการสร้างบัตรให้กับเรา ซึ่งสามารถเอาไปใช้ที่ร้านจริงๆ ได้ด้วย โดยข้อแม้มีเพียงอย่างเดียวคือบัตรสมาชิกที่เป็นบัตรแข็งของร้านนั้นๆ จะต้องสามารถใช้งานด้วยการยิงบาร์โค้ดได้ และเราต้องทราบเลขที่สมาชิก / เลขที่บาร์โค้ดบัตรสมาชิกของร้านนั้นๆ ก็จะเป็นอันทำได้แล้วล่ะครับ ยกตัวอย่างในบ้านเราก็เช่นบัตรสมาชิก IKEA Family Club และ บัตรสมาชิก Makro (แมคโคร) เป็นต้น เพียงเท่านี้ก็จะลดปัญหาจำเลขบัตรหรือหาบัตร IKEA Family Club หรือ Makro ไม่ได้เวลาไปซื้อของแล้วล่ะครับ
นอกจากนี้สำหรับวัยทำงานทั้งหลาย อย่าลืมเพิ่มบัตรประกันสังคม ของเราเข้าไปใน Apple Wallet เพื่อเก็บไว้ดูสิทธิ์โรงพยาบาลและจำนวนเงินสมทบชราภาพที่เราสะสมมาจนถึงปัจจุบันกันไว้ด้วยนะ โดยอัพเดตจำนวนเงินสมทบที่เราและบริษัทจ่ายเข้าไปตามจริงเช่นเดียวกัน ซึ่งสามารถเพิ่มได้ที่ ssoconnect.mywallet.co ได้เลย (ก่อนหน้านี้การประปาส่วนภูมิภาคเองก็มีบริการเช่นเดียวกับประกันสังคม แต่น่าจะปิดบริการไปแล้วเพราะผู้เขียนเองไม่เห็นอัพเดตมานานมากแล้วจึงขออนุญาตไม่เอามารวมในบทความนี้นะครับ)
2. ควบคุมบ้านจากที่ไหนก็ได้เพียงปลายนิ้วด้วยแอปพลิเคชั่นบ้าน หรือ Home
อีกหนึ่งแอปพลิเคชั่นที่สำคัญมากๆ บน iOS คือแอป “บ้าน” หรือ “Home” ที่ทีมบรรณาธิการอยากให้ผู้อ่านได้ลองพิจารณาใช้งานกันดูสักครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่กำลังสนใจในเรื่องของบ้านอัจฉริยะ ซึ่งแอปพลิเคชั่น “บ้าน” นี้ทำงานอยู่บน Homekit Framework จาก Apple ที่จะรวบรวมเอาอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะจากหลากหลายแบรนด์ที่รองรับ Apple Homekit ให้มาแสดงเอาไว้ในที่เดียวเพื่อการควบคุมที่สะดวกรวดเร็ว และยังสามารถใช้ Siri ในการควบคุมอุปกรณ์และการทำงานของบ้านเราแบบอัจฉริยะได้อีกด้วย
ข่าวดีกว่านั้นคือใน iOS 16.1 ที่กำลังจะปล่อยออกมาในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้ Apple จะมีการเพิ่มการรองรับ Matter Accessories หรืออุปกรณ์ Matter ให้กับแอปพลิเคชั่น “บ้าน” ด้วย นั่นหมายความว่าต่อจากนี้ไปเราจะสามารถใช้อุปกรณ์บ้านอัจฉริยะใดๆ จากผู้ผลิตที่ไหนก็ได้ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบ Matter กับระบบ Homekit ซึ่งเนื่องด้วย Matter นั้นเป็นฟรีโปรโตคอลที่ใครๆ ก็สามารถหยิบไปใช้งานกันได้อย่างอิสระ (เพราะออกแบบมาเพื่อพัฒนาวงการบ้านอัจฉริยะให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น) จึงทำให้ต่อจากนี้ไปอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะเองน่าจะมีราคาถูกลงมากๆ นะ
ใครสนใจเรื่องนี้อยู่ แอพดิสคัส เองเคยมีบทความแนะนำระบบ “บ้าน” และบ้านอัจฉริยะบน Homekit Framework เอาไว้ให้ผู้อ่านลองศึกษาและทำตามกันได้ ส่วนใครกลัวคำว่าบ้านอัจฉริยะว่าจะหมายถึงการลงทุนที่สูง รับรองว่าติดตามบทความนี้ทั้งหมด (รวมทั้งวิดีโอที่แอพดิสคัสเคยทำเอาไว้ด้วย) แล้วเพื่อนๆ จะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อบ้านอัจฉริยะไปอย่างแน่นอน เชื่อเถอะว่าอุปกรณ์บางตัวไม่ถึงร้อยบาทยังมีเลย แถมหาซื้อได้ง่ายสุดๆ อีกด้วย
- เริ่มต้นกับ Homekit และระบบ Smart Home ของ Apple ง่ายๆ กับ Smart Home Guide
- วิธีการติดตั้ง Homebridge เพื่อใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ Homekit กับ แอพพลิเคชั่น Home
- วิธีเปลี่ยน iPhone / iPad เก่าให้กลายเป็น Homebridge Server เพื่อใช้งาน Homekit กับอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ
- iOS 16.1 กับฟีเจอร์ใหม่ๆ ทั้งหมดที่คุณต้องรู้ เราสรุปมาให้ในบทความเดียว
3. Siri ใช้ให้คล่อง ใช้ให้เป็น นี่คือผู้ช่วยส่วนตัวชั้นดีที่คุณจ้างมาจากเงินซื้อ iPhone นั่นล่ะ
เคยถามตัวเองไหมว่าที่ผ่านมาเราใช้ Siri กันบ่อยแค่ไหน เคยได้พูด “หวัดดีสิริ” หรือ “Hey Siri” กับ iPhone เราบ้างไหม เพราะจริงๆ แล้ว เงินที่เราเสียไปให้กับการซื้อ iPhone นั้น มันมาพร้อมกับผู้ช่วยส่วนตัวที่จะคัสตอมการทำงานให้เหมาะสมกับการใช้งานของเราแบบสุดๆ เสมอโดย Siri ในแต่ละเครื่องจะตอบสนองการทำงานในแต่ละอย่างแตกต่างกันไป เพราะเธอจะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของเจ้าของ iPhone แต่ละคนเพื่อทำให้การช่วยเหลือเราเป็นเรื่องง่ายนั่นเอง
ยกตัวอย่างการทำงานง่ายๆ แต่จริงๆ แล้วมีประโยชน์มากๆ คือการบอก Siri ให้เตือนคุณเวลาที่คุณต้องทำอะไรสักอย่าง ยกตัวอย่างเช่นถ้าคนที่บ้านคุณโทรมาบอกให้คุณซื้อข้าวสารก่อนเข้าบ้าน และคุณเองก็ทราบว่าคุณจะถึงหน้าซอยบ้านประมาณหกโมงเย็น คุณสามารถบอก Siri ว่า
“หวัดดีสิริ อย่าลืมเตือนให้ซื้อข้าวสารก่อนเข้าบ้านตอนหกโมงเย็นนะ”
เพียงเท่านี้เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็น Siri ก็จะเตือนให้คุณซื้อข้าวสารเข้าบ้านด้วย รับประกันได้เลยว่าคุณจะไม่ลืมแน่นอน
นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ เท่านั้นนะ ในความเป็นจริง Siri สามารถช่วยเหลือคุณได้มากกว่านี้เยอะ และช่วยคุณได้แบบไม่อิดออดเลยด้วย หนึ่งในการช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์มากๆ คือการขอให้ Siri ช่วยคิดเลขให้ในกรณีที่มือของคุณไม่ว่างสำหรับการพิมพ์ตัวเลขในแอปพลิเคชั่นเครื่องคิดเลข หรือแม้แต่เวลาที่คุณใช้ iPad ที่ไม่มีแอปพลิเคชั่นเครื่องคิดเลขมาให้ หรือจะถามสภาพการจราจร สภาพดินฟ้าอากาศประจำวันก่อนออกจากบ้านก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่แปลก และช่วยให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันของคุณเป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วยนะ
ที่สำคัญคือ สำหรับใครก็ตามที่ใช้งาน Homekit หรือแอปพลิเคชั่น “บ้าน” ที่พูดถึงไปด้านบน คุณสามารถบอกให้ Siri เปิด/ปิดแอร์ ไฟ ทีวี ลำโพง หรือแม้แต่ประตูบ้านให้คุณได้ด้วยเวลาที่คุณต้องการ รวมไปจนถึงการเช็คว่าหน้าต่างบ้านคุณยังเปิดอยู่ไหม หรือคุณปิดประตูบ้านแล้วยังตอนออกมาจากบ้าน หรือให้เจ๋งไปกว่านั้นก็ตั้งให้ Siri ควบคุมไปเองเลยตามเงื่อนไขที่คุณตั้งค่าไว้ เช่นทันทีที่คุณออกจากบ้าน ให้ปิดแอร์ในห้องนอนของคุณ และทันทีที่เข้ามาในรัศมีของบ้านระยะ 100 เมตร ให้ Siri เปิดประตูบ้านให้คุณโดยอัตโนมัติเลยก็ยังทำได้ เรียกได้ว่าเธอคือผู้ช่วย No.1 ที่คุณเสียตังค์จ้างมาแล้วตั้งแต่เดย์วันที่ซื้อเครื่องอย่างแท้จริง
4. วัดระยะ ขนาด หรือระนาบ (ระดับน้ำ) ได้ง่ายๆ ด้วยแอปพลิเคชั่น เครื่องมือวัด
Apple เพิ่มฟีเจอร์นี้มาตั้งแต่สมัย iOS 12 แล้ว โดยมาในรูปแบบแอปพลิเคชั่นติดเครื่องชื่อว่า “เครื่องมือวัด” หรือ “Measure” ส่วนหนึ่งนั้นเพื่อเอามาจำลองเป็นเดโมให้กับฟีเจอร์ AR หรือ Augment Reality ที่เพิ่งจะเป็นกระแสและใส่เข้ามาใน iOS ในช่วงเวลานั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วแอปพลิเคชั่นดังกล่าวกับมีประโยชน์มากกว่าแค่การเป็นเครื่องมือเดโมมากนัก และสามารถใช้งานได้จริงด้วย
“เครื่องมือวัด” ใช้ประสิทธิภาพของ AR มาผนวกกับความฉลาดของ AI ในการคำนวนระยะหรือขนาดของสิ่งที่เราต้องการด้วยการเอากล้องของ iPhone ชี้ไปที่สิ่งที่ต้องการจะวัด ซึ่งการใช้งานนั้นก็ง่ายมากๆ สามารถวัดได้ทุกอย่างตราบใดที่มีจุดเริ่งต้นให้ AR ได้มาร์คเป็นจุดตั้งต้นได้ (วัดสิ่งที่มีพื้นผิวได้หมด แต่ต้องมีระยะตั้งต้นจากพื้นดินเป็นเกณฑ์)โดยเราสามารถกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดจบของสิ่งที่ต้องการวัดได้ เมื่อได้ผลลัพธ์ที่ต้องการแล้วก็แคปเจอร์หน้าจอเก็บไว้หรือถ่ายรูปเอาก็ได้ หรือไม่ก็จดเก็บไว้ในแอพ “บันทึก” หรือ “Note” ได้เลย
5. โฟกัสโหมด กำหนดช่วงเวลาสำคัญที่เราต้องการอยู่กับสิ่งที่ทำและไม่ต้องการให้คนหรือแอปพลิเคชั่นที่ไม่สำคัญจริงๆ มารบกวน
คุณรู้ไหมว่า iPhone สามารถช่วยคุณบริหารเวลาในการทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมเลยล่ะ หนึ่งในหลายๆ ฟีเจอร์ที่กองบรรณาธิการค่อนข้างจะมั่นใจว่าคนพลาดไม่ได้ใช้งานกันคือโหมด “โฟกัส” ที่จะช่วยให้คุณสามารถสลับความสำคัญของคนโทรเข้าและการแจ้งเตือนได้ตามความเหมาะสมของช่วงเวลาและสถานที่ ไม่ว่าจะโดยอัตโนมัติหรือจะโดยการกดเพียงปลายนิ้วสัมผัสก็ตาม
โฟกัส หรือ Focus มีเพิ่มเข้ามาให้ได้ใช้งานกันสักระยะแล้ว โดยอยู่ภายใต้การตั้งค่าของตัวเครื่อง (การตั้งค่า > โฟกัส) และเราจะสามารถสร้างโหมดโฟกัสได้อย่างอิสระ นอกเหนือไปจาก 4 โหมดตั้งต้นที่มีมา คือโหมดห้ามรบกวน โหมดนอนหลับ โหมดทำงาน และโหมดส่วนตัว ซึ่งในแต่ละโหมดเราสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้ใครบ้างที่โทรหาเราได้ในช่วงเวลานั้น รวมไปจนถึงตั้งว่าเราต้องการให้แอปพลิเคชั่นใดบ้างที่จะแจ้งเตือนเราเมื่อเราตั้งค่า iPhone ให้อยู่ในโหมดที่กำหนด แถมเมื่อเราตั้งค่าเรา เรายังสอนให้ iPhone ของเราเรียนรู้การใช้งานเราได้โดยอัตโนมัติด้วยว่าในสถานที่นี้ เวลานี้ โดยปกติแล้วเราต้องการอยู่ในโฟกัสโหมดไหน เพื่อให้มันสลับโหมดให้เราได้โดยที่เราไม่ต้องแม้แต่จะสลับเองเลย
ที่ แอพดิสคัส ทีมงานแทบทุกคนจะมีโหมด “ประชุม” เอาไว้ในโฟกัสเป็นแสตนดาร์ด นั่นหมายความว่าเวลาที่เรามีการประชุม จะมีเพียงคนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่จะโทรเข้ามาหาเราได้ (ที่บ้านและลูกค้า) รวมไปจนถึงแอปพลิเคชั่นบางตัว เช่นแอปอีเมลเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้แจ้งเตือนได้ ส่วนแอปไลน์หรือเมสเสนเจอร์อื่นๆ จะถูกบล็อคไว้ชั่วคราว ซึ่งก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประชุมในภาพรวมได้ดีมากทีเดียว อย่าลืมลองไปใช้กันดูล่ะ
6. Keyword Search ใช้ให้คล่อง เพื่อการหาข้อมูลทำรายงานด้วย iPhone ที่มีประสิทธิภาพ
ชีวิตปัจจุบันเราแทบจะเรียกได้ว่าต้องอยู่กับมือถือกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และบ่อยครั้งที่ iPhone เองก็เป็นอุปกรณ์ข้างกายเพียงชิ้นเดียวที่เราจะสามารถหยิบมาใช้คนหาสิ่งที่ต้องการได้ แต่หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าเวลาที่เราคนหาบทความหรือเรื่องบางเรื่องโดยใช้ Safari บน iPhone เรานั้น เราสามารถค้นหาเฉพาะคำบางคำในหน้าที่เรากำลังเปิดอ่านอยู่ได้อีกด้วย
วิธีการนั้นก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่เราเปิดหน้าเว็บไซต์ที่เราต้องการ จากนั้นก็กดไอคอน “แชร์” ที่ตรงกลางด้านล่างของจอแล้วเลือก “ค้นหาในหน้า” แล้วพิมพ์คำที่เราต้องการค้นหาลงไป เพียงเท่านี้ iPhone จะแจ้งให้เราทราบว่าในบทความที่เราอ่านอยู่นั้นมีคำที่เราค้นหาทั้งสิ้นกี่คำ รวมทั้งไฮไลท์เอาไว้ให้เราด้วยว่าอยู่ตรงไหนบ้าง และเราสามารถเลือกไปที่คำที่ต้องการเป็นลำดับๆ ได้จากปุ่มลูกศรขึ้น/ลงที่ปรากฏบนคีย์บอร์ดเราในทันที ทีมงานเองเชื่อว่าฟังก์ชั่นนี้ไม่ได้มีประโยชน์แต่กับเหล่าบรรณาธิการและนักเขียนเท่านั้น แต่นักเรียนและบุคคลทั่วไปที่ใช้ iPhone เพื่อหาข้อมูลเองก็จะได้ประโยชน์จากฟังก์ชั่นนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่าลืมใช้กันให้คล่องนะ