ในปีที่สองของการวางขาย Nintendo Switch แม้ว่าจะมีเกมออกน้อยกว่าปีแรก แต่ก็มีเกมฟอร์มยักษ์ที่หาเล่นไม่ได้บนเครื่องอื่นอย่าง Pokemon Let’s Go Pikachu และ Pokemon Let’s Go Eevee นอกจากนี้ปลายปียังมีการส่งเกมต่อสู้ระดับเรือธงของนินเทนโดอย่าง Super Smash Bros. Ultimate ออกวางขายอีกเกม
โดยหากมองภายนอกเกม Super Smash Bros. Ultimate คือภาคอัพเกรดของ WiiU แต่พอได้สัมผัสแล้วมันเพิ่มสิ่งต่างๆเข้ามามากมายเกินคำว่าภาคพิเศษหรืออัพเกรดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่ยัดใส่มาครบ และมีมากมาย มหาศาลถึง 74 ตัวละคร และยังขนมาทั้งตัวละครจากค่ายนินเทนโด และค่ายอื่น นอกจากนี้หลายสิ่งที่อัพเกรดมากจนเกินคุ้มเรียกว่ามันเกินความเป็นภาคใหม่ไปแล้ว
กราฟิกเดิมๆแต่เสริมด้วยความโดดเด่นและลื่นไหล
ในส่วนของกราฟิกแม้ว่ามองภายนอกจะเหมือนกับ Super Smash Bros. บน WiiU แต่หากมองดีๆภาค Ultimate ถือว่าเป็นเกมบน Nintendo Switch ที่มีกราฟิกอยู่ในระดับดี เพราะทั้งเต็มไปด้วยรายละเอียดของฉากและตัวละคร และมีความลื่นไหลไม่มีสะดุดทั้งแบบต่อทีวีเล่นและแบบพกพา แม้ว่ากราฟิกจะไม่ได้ถูกยกระดับแต่ส่วนตัวแล้วมีความสุขมากกับกราฟิกระดับนี้และความลื่นๆของเกมเพลย์ทำให้เราสนุกไปกับเกมได้อย่างไม่มีอะไรให้ติดขัดแม้แต่น้อย
ส่วนอีกความยอดเยี่ยมคือเพลงประกอบและเสียงประกอบ ที่ขนมาแบบจัดเต็มที่ไม่ได้โดดเด่นแค่นินเทนโด เพลงประกอบของค่ายอื่นยังยัดใส่มาแบบแน่นเกม แถมเราสามารถปรับเปลี่ยนเองได้ เช่นเดียวกับฉากต่อสู้ที่มีการรวมของเดิมและของใหม่มาเกิน 100 ฉากแถมยังเสริมด้วยลูกเล่นที่ฉากสามรถเปลี่ยนเองได้ระหว่างการต่อสู้ที่ช่วยเพิ่มความสนุกขึ้นหลายเท่า
เกมเพลย์อัพเกรดให้สนุกขึ้น
รูปแบบการเล่นยังคงเหมือนเดิมที่เป็นเกมต่อสู้ 2 มิติมุมมองด้านข้าง ที่เน้นการกดปุ่มที่เรียบง่ายเพราะมีการใช้งานเพียงไม่กี่ปุ่ม เช่นมีการใช้ปุ่มโจมตีและปุ่มพิเศษแบบที่รวมกันปุ่มทิศทางแบบง่ายๆ และปุ่มกระโดด , ป้องกันและจับทุ่ม แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันสามารถประสานเป็นอีกหนึ่งในเกมต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะผู้เล่นต้องตามจังหวะให้ถูกต้องมันจะเกิดเป็นท่าที่ทรงพลังจนทำให้คู่แข่งกระเด็นออกไปจากฉากได้อย่างง่ายดาย โดยเกมจะไม่มีค่าพลังแต่จะนับเป็น % ที่เมื่อโดนโจมตีเปอร์เซน์จะเพิ่มและยิ่งมากเราก็มีโอกาสโดนอัดออกจากฉากได้ ที่เป็นรูปแบบที่หลายเกมนำไปเลียนแบบ และภาค Super Smash Bros. Ultimate ยังคงทำหน้าที่ได้ดีไม่มีลดลงแม้แต่น้อย
ส่วนเกมเพลย์ในฉากที่ผู้เล่นได้เหมือนกำลังเล่นรถไฟเหาะในสวนสนุก เพราะต้องคอยระวังกับดักหรือระวังไม่ให้หลุดไปออกนอกฉาก ก็ยังเป็นอีกรูปแบบที่เป็นจุดเด่นรวมทั้งยังมีไอเทมหลากหลาย ท่าไม้ตายสุดยอดที่อลังการและกดง่ายทำให้ผู้เล่นทั้งสนุกและฮา ลูกเล่นในฉากที่ไม่ซ้ำและนำรูปแบบของหลายเกมมารวมกันไม่ว่าจะเป็นเกมของนินเทนโด หรือเกมจากค่ายอื่นก็ยัดใส่มาแบบจัดเต็มแบบไม่มีกั๊กไว้ทำภาคต่อกันเลย
เกมเพลย์คนเดียวก็สนุก หลายคนก็ยิ่งสนุก
ความโดดเด่นของเกมอาจจะคือการเล่นกับเพื่อนก็จริงแต่ภาคนี้ได้เสริมโหมดใหม่ในชื่อ world of light หรือก็คือโหมดผจญภัย ที่มาพร้อมกับเรื่องราวที่เริ่มจากเราจะได้รับบทเป็นเคอร์บี้ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว และจะค่อยๆออกไปท่องโลกที่จะแบ่งออกเป็นแผนที่คล้ายกับเกม Super Mario World แล้วจะค่อยๆปลดล็อกฉาก และเพิ่มตัวละครใหม่ๆให้กลับคืนมาในทีม และเราสามารถเล่นสนุกกับมันได้ยาวนานกว่าโหมดเล่นคนเดียวของภาคก่อนหน้านี้ และมีความสนุกลงตัวอย่างไม่มีที่ติ เพราะกว่าจะปลดล็อกตัวละครครบ 74 ตัว ก็เป็นสิบชั่วโมงแล้ว
โหมด world of light ที่ยอดเยี่ยม
นอกจากนี้ในฉากของ world of light ยังมีของซ่อนอยู่มากมาย รวมทั้งเราต้องหาทางเปิดทางใหม่ๆด้วยการใช้ตัวละครที่เรามี หรือไอเทมพิเศษ เพื่อปลดล็อกฉากใหม่ๆ และอีกสิ่งที่โดดเด่นคือ สปริต ที่มาเป็นตัวละครในตำนานของเกมซีรีส์ต่างๆทั้งของค่ายนินเทนโดและค่ายอื่น เพื่อนำมาปรับแต่งตัวละครของเราให้มีความสามารถพิเศษเพิ่ม รวมทั้งยังกำหนดธาตุต่างๆได้ด้วย เพราะในการเล่นบางครั้งเราต้องใช้สปริตให้ถูก
แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะงงเพราะเกมมีการบอกว่าควรใช้อะไรบ้าง นอกจากนี้ตัว สปริตยังสามารถปรับแต่งเพิ่มได้อีก เรียกได้ว่าหลากหลายสุดๆ ส่วนตัวละครหลักที่เราใช้งานก็สามารถอัพเกรดตัวละครได้ด้วยระบบเดินสายคล้ายกับเกมแนว RPG ยอดนิยมทั่วไปที่เข้าใจง่าย แถมมีการต่อสู้กับบอสที่อลังการงานสร้าง มันคือเกมต่อสู้ที่มีอะไรให้ทำมากมายโดยไม่ต้องซื้อ DLC เพิ่มเลยด้วยซ้ำ
ส่วนการเล่นกับเพื่อนๆ ในเกม Super Smash Bros. Ultimate ก็ทำได้สนุกเหมือนเดิมและยังเล่นได้ 8 คนพร้อมกันแบบลื่นๆ แม้ว่าจะดูวุ่นวายแต่ก็เป็นจุดเด่นของซีรีส์นี้มาตลอดตั้งแต่ภาคแรกๆ นอกจากนี้ภาคนี้ยังคงมีโหมดออนไลน์ที่ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีเพราะทั้งลื่นไหลและหาคนเล่นด้วยง่ายดาย (เพราะเกมเพิ่งจะวางขายด้วย) และเราสามารถนำไปเล่นนอกบ้านแล้วสนุกไปกับเพื่อนๆได้อย่างไม่มีติดขัด