สำหรับใครที่มีคำถามมากมายที่พรั่งพรูอยู่ในหัว วันนี้คาดว่าคงได้คำตอบกันแน่ๆครับ สำหรับ Apple Watch ไม่ว่าจะเรื่องของสเปคหรือฟีเจอร์ต่างๆภายในเครื่อง รวมทั้งราคาและชนิดของเจ้า Wearable ตัวใหม่จาก Apple ตัวนี้ เราไปดูกันดีกว่าครับว่า Apple Watch นั้นมีรายละเอียดอะไรกันบ้าง สำหรับใครที่กำลังจะตัดสินใจซื้อลองอ่านข้อมูลด้านล่างนี้ก่อนครับ น่าจะได้ประโยชน์มิใช่น้อยเลย
เรื่องพื้นๆของนาฬิกาเรือนละหมื่น
อะไรคือ Apple Watch ที่ผู้คนต่างพากันพูดถึงกันนะ?
Apple Watch นั้นเปรียบเสมือนกับคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กๆเครื่องหนึ่งที่สามารถนำมาใส่ไว้ที่ข้อมือเราได้ นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชั่นต่างๆไม่ว่าจะเป็นการบอกเวลา, ใช้ติดต่อติดต่อสื่อสาร, ใช้ในเรื่องของสุขภาพและฟิตเนส, สามารถใช้เป็นรีโมทคอนโทรลและยังสามารถชำระเงินผ่านทาง Apple Watch ได้อีกด้วย
งั้นแสดงว่า Apple Watch ก็คือ iPhone ที่เอาไว้ใส่ที่ข้อมือ?
จริงแล้วก็ประมาณนั้นครับ เพียงแต่ว่าเจ้า Apple Watch นั้นจะรัน Watch OS ซึ่งถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานเป็นนาฬิกาข้อมือมากกว่า เรียกได้ว่าเป็น OS ที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่มาโดยเฉพาะครับ
เดี๋ยวก่อนนะแล้ว Watch OS ที่ว่านี่มันคืออะไร?
อย่างที่บอกไว้ว่มันก็คล้ายๆ iOS นั่นแหละครับ เป็นระบบปฏิบัติการชนิดหนึ่ง เพียงแต่มันมีฟีเจอร์ที่ไม่เหมือน OS ตัวอื่นๆอย่างเช่น Face switching และวิธีใหม่ๆในการติดต่อกับเพื่อนๆอย่างการวาดรูปต่างๆส่งไปให้ และการแท็ปที่หน้าจอเหมือนเป็นการสะกิดเพื่อนนั่นเองครับ และยังมีฟีเจอร์อีกมากมายที่ยังไม่ได้กล่าวถึงอีกนะครับ
แล้วจำเป็นต้องใช้ iPhone ไหมหากต้องการใช้ Apple Watch?
ข้อนี้ต้องตอบว่าใช่ครับ การจะใช้ Apple Watch นั้นจำเป็นต้องมี iPhone ตั้งแต่ iPhone 5 ขึ้นไปและรัน iOS 8.2 อยู่ ซึ่งหากว่าเรามี iPhone ที่เก่ากว่านี้หรือเวอร์ชั่นเก่ากว่านี้ก็จะไม่สามารถจับคู่กับ Apple Watch ได้ ซึ่งนั่นก็จะทำให้เราไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ต่างๆใน Apple Watch ได้ครบทุกฟีเจอร์ครับ
งั้นหมายความว่า เราจะไม่สามารถใช้ iPad หรือ iPod touch กับ Apple Watch?
ใช่แล้วครับ เราไม่สามารถที่จะจับคู่ Apple Watch กับ iPad หรือ iPod touch ได้ในตอนนี้ แต่ต้องรอดูว่าอนาคต Apple จะมีการอัพเดทไปให้ iPad หรือ iPod Touch หรือไม่นะครับ
การสั่งซื้อ Apple Watch
จะสามารถซื้อ Apple Watch ได้เมื่อไร?
หากใครที่ใช้ชีวิตอยู่ในออสเตรเลีย, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ตอนนี้สามารถสั่งซื้อผ่านทาง Apple Online ได้เลยครับ และสำหรับใครที่ยังงไม่รู้ว่าจะสั่งแบบไหนดี ยังตัดสินใจไม่ได้ แนะนำว่าให้เขาไปลอที่ร้านของ Apple ได้เลย แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้มีให้ลองทุกๆร้านนะครับ เอาเป็นว่าถ้าใครสะดวกก็เชิญครับผม โดยสาขาที่มี Apple Watch อยู่ตอนนี้จะเป็น Galaries Lafayette ในปารีส, Isetan ในโตเกียว, Selfridges ในลอนดอน, Colette ในปารีส, Dover Street Market ในลอนดอนและโตเกียว Maxfield ใน Los Angeles และ Corner ในเบอร์ลินครับ
และในสาขาที่กล่าวไว้ด้านบนนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ Apple Watch ธรรมดาๆนะครับ เพราะว่าสาขาเหล่านี้เป็นสาขาที่เรียกได้ว่าเป็นร้านเรือธงของ Apple เลยครับ ฉะนั้นจึงมี Apple Watch Edition ให้เข้าไปทดสอบกันด้วย
- สั่งซื้อผ่าน Apple Online Store
- ตรวจสอบที่ตั้งของ Apple Retail Store
แล้วเจ้า Apple Watch ที่ว่านี่มันราคาเท่าไร?
สำหรับราคาของ Apple Watch นั้นต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับสไตล์ ขนาดและสายข้อมือที่เราเลือกนะครับ โดยใน Apple Watch Sport นั้นจะมีราคาเริ่มต้นที่ 349$ หรือประมาณ 12,000 บาท ส่วน Apple Watch จะเริ่มต้นที่ 549$ หรือประมาณ 18,000 บาท และใน Apple Watch Edition นั้นจะมีราคาเริ่มต้นที่สูงที่สุดถึง 10,000$ และสามารถแพงขึ้นไปได้อีกถึง 17,000$ กันเลยทีเดียวครับ ซึ่งตีเป็นเงินไทยก็คือเริ่มตั้งแต่ 3แสนกว่าบาทไปจนถึง 5แสนกว่าบาทครับ ทั้งนี้รายละเอียดราคาทั้งหมดให้ไว้ด้านล่างนี้เลยครับ
- 38 มม. Apple Watch Sport: $349
- 42 มม. Apple Watch Sport: $399
- 38 มม. Apple Watch กับ sport band: $549
- 42 มม. Apple Watch กับ sport band: $599
- 38 มม. Apple Watch กับ classic buckle: $649
- 38 มม. Apple Watch กับ Milanese loop: $649
- 42 มม. Apple Watch กับ classic buckle: $699
- 42 มม. Apple Watch กับ Milanese loop: $699
- 42 มม. Apple Watch กับ leather loop: $699
- 38 มม. Apple Watch กับ modern buckle: $749
- 38 มม. Apple Watch กับ link bracelet: $949
- 42 มม. Apple Watch กับ link bracelet: $999
- 38 มม. Apple Watch กับ black link bracelet: $1049
- 42 มม. Apple Watch กับ black link bracelet: $1099
- 38 มม. Apple Watch Edition กับ sport band: $10,000
- 42 มม. Apple Watch Edition กับsport band: $12,000
- 42 มม. Apple Watch Edition กับ classic buckle: $15,000
- 38 มม. Apple Watch Edition กับ modern buckle: $17,000
แล้วจะมีอะไรมาให้บ้างหลังจากซื้อ Apple Watch
เมื่อเราซื้อ Apple Watch มานั้น เราจะได้รับตัวเรือน Apple Watch และสายข้อมือที่เราได้ทำการเลือกไว้ มาพร้อมกับที่ชาร์จแบตแบบแม่เหล็กและ USB power adapter นอกจากนั้นก็จะมีคู่มือการใช้งานเล่มเล็กๆมาให้เราอีกด้วย แล้ก็ถ้าใครที่สั่งซื้อ Apple Watch Edition นั้นจะได้รับ ที่ชาร์จแบบแม่เหล็กมา 2 ตัวด้วยกันนะครับ
ฮาร์ดแวร์ของ Apple Watch
Apple Watch มีทั้งหมดกี่รุ่นแล้วต่างกันตรงไหนบ้าง?
Apple Watch นั้นจะมีทั้งหมด 3 คอลเลคชั่นนะครับ โดยแต่ละคอลเลคชั่นนั้นจะใช้วัตถุดิบในการผลิตที่แตกต่างกันไปตามด้านล่างนี้เลย
- Apple Watch Sport : ตัวเรือนในคอลเลกชั่น Sport จะผลิตจากอะลูมิเนียมชุบผิวน้ำหนักเบา มีสีเงินหรือสีเทาสเปซเกรย์ ซึ่งมาพร้อมกับจอภาพที่ได้รับการปกป้องด้วยกระจก Ion-X อันแข็งแกร่ง และสาย Fluoroelastomer ที่เข้ากันได้ดีถึง 5 สีด้วยกันครับ
- Apple Watch : คอลเลกชั่น Apple Watch ประกอบด้วยตัวเรือนสแตนเลสสตีลขัดเงาอย่างสวยงาม และสแตนเลสสตีล สีดำสเปซแบล็ค มาพร้อมกับจอภาพที่ได้รับการปกป้องเป็นอย่างดีด้วยผลึกแซฟไฟร์ และสายที่มีให้เลือก 3 แบบแตกต่างกัน, สายแบบ Link Bracelet, สายแบบ Milanese Loop และสายที่ทำจากยาง Fluoroelastomer คุณภาพสูงครับ
- Apple Watch Edition : คอลเลกชั่น Edition จะประกอบไปด้วย 8 สไตล์ที่สะท้อนความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Apple Watch โดยแต่ละเรือนมาพร้อมกับตัวเรือนที่ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันจากทองคำ 18 กะรัต ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านโลหะของ Apple ได้พัฒนาจนมีความแข็งกว่าทองคำมาตรฐานถึงสองเท่า พร้อมด้วยจอภาพที่ได้รับการปกป้องอย่างดีด้วยผลึกแซฟไฟร์ขัดเงาครับ
แล้วนอกจากวัตถุดิบที่นำมาใช้ผลิตที่ต่างกันแล้วฟังก์ชั่นการใช้งานของแต่ละรุ่นแตกต่างกันอย่างไร?
ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยครับ ไม่ว่าเป็น Apple Watch Sport หรือ Apple Watch Edition ทุกๆคอลเลคชั่นจะทำงานโดยมีฟังก์ชั่นเหมือนกันทั้งหมดครับ
Apple Watch ใหญ่แค่ไหน?
Apple Watch นั้นอาจจะแตกต่างกับนาฬิกาข้อมือทั่วๆไปนะครับในการวัดขนาด เพราะปกติแล้วเค้าจะวัดกันตามแนวนอน แต่ Apple Watch จะเรียกขนาดตามแนวตั้งครับ
- ด้านยาว 38.6 มม, ด้านแคบ 33.3 มม, และหนา 10.5 มม.
- ด้านยาว 42 มม., ด้านแคบ 35.9 มม., และหนา 10 มม.
น้ำหนักตามแต่ละไซส์และวัตถุดิบในการผลิต
- 38 มม. Apple Watch Sport (aluminum): 25 ก.
- 38 มม. Apple Watch (stainless steel): 40 ก.
- 38 มม. Apple Watch Edition (rose gold): 54 ก.
- 38 มม. Apple Watch Edition (yellow gold): 55 ก.
- 42 มม. Apple Watch Sport (aluminum): 30 ก.
- 42 มม. Apple Watch (stainless steel): 50 ก.
- 42 มม. Apple Watch Edition (rose gold): 67 ก.
- 42 มม. Apple Watch Edition (yellow gold): 69 ก.
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ไซส์ไหนที่เหมาะกับเรา?
สำหรับสภาพสตรีนั้นแน่นอนว่าจะมีข้อมือที่เล็กกว่าคุณผู้ชาย แต่จริงๆแล้วไม่ว่าจะ 38 มม.หรือ 42 มม. กลับดูเหมาะสมทั้งคู่ครับ ไม่ได้ดูใหญ่เทอะทะแต่อย่างใด แต่หากใครที่มีข้อมือที่ใหญ่มากๆก็แะนำให้เป็นขนาด 42 มม. และใครที่มีข้อมือที่เล็กมากๆก็ให้เป็น 38 มม.จะดีก่าครับ
แล้วหากว่าเราแพ้ นิกเกิลล่ะ (Nickel) จะสามารถใส่ Apple Watch ได้หรือไม่ จะมีอาการแพ้หรือเปล่า?
Apple Watch นั้นถูกสร้างขึ้นมาอย่างปราณีตและพิถีพิถันทุกขั้นตอน ฉะนั้นหากว่าเราสามารถใส่นาฬิกาจข้อมือที่ทำจากวัสดุคล้ายๆกันนี้แล้วไม่เกิดอาการแพ้ ก็สามารถใส่ Apple Watch ได้ครับ ทั้งนี้ทาง Apple เองก็ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว สามารถเข้าไปอ่านได้เลยครับผม
ถึงแม้ว่า Apple Watch จะมีสายชนิดต่างๆให้เลือกใช้ไม่น้อย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องอาการแพ้แล้ว ยังไงให้ปรึกษาทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องมาเสียความรู้สึกกันทีหลังด้วยครับ
ใส่ Apple Watch อาบน้ำหรือว่ายน้ำจะเป็นอะไรไหม?
การใส่ Apple Watch ตอนอาบน้ำสามารถทำได้ครับ เพราะทาง Tim Cook CEO ของทาง Apple ได้ออกมายืนยันด้วยตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่การใส่ไปดำน้ำทางนาย Tim Cook ไม่ได้แนะนำให้ทำนะครับ ถึงแม้จะมีการรับรองการกันน้มาตรฐาน IPX 7 ที่สามารถป้องกันน้ำได้ระดับหนึ่งแต่การใส่ไปดำน้ำหรือว่ายน้ำก็ยังไม่คุ้มที่จะเสี่ยงอยู้ดีครับ ฉะนั้นถอดก่อนลงไปว่ายจะดีกว่าเนาะ
Apple Watch มีเซนเซอร์อะไรบ้าง?
- a heart rate sensor (วัดระดับการเต้นของหัวใจ)
- accelerometer & gyroscope (วัดการเดิน การปีน การนั่งหรือการเคลื่อนไหวต่างๆ)
- ambient light sensor (เพื่อประหยัดพลังงาน โดยการลดแสงลงในเวลาที่เหมาะสม)
Apple Watch มีหน้าจอกี่แบบ?
ในทุกๆโมเดลนั้นจะมีการใช้หน้าจอแบบ Rentina ครับ แต่ใน Apple Watch Sport จะมีกระจก Ion-X ปกป้องหน้าจอไว้อีกที และใน Apple Watch กับ Apple Watch Edition จะมีกระจก Sapphire crystal ปกป้องแทนครับ
- 38 มม. : 340×272 pixels
- 42 มม. : 390×312 pixels
แล้ว Apple Watch มากับ Processor ตัวไหน?
Apple Watch จะมาพร้อมกับ Apple S1 ซึ่งยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าตัวนี้มากมายเท่าไรนัก แต่ข่าวลือที่ออกมาเกี่ยวกับการแสดงผลของมันนั้นจะเทียบเคียงกับ Apple A4 หรือพอๆกับ iPhone 4 และ 4s ครับ
แล้วเรื่องการเชื่อมต่อล่ะ?
แน่นอนว่ามีแน่ๆครับ Apple Watch นั้นจะประกอบไปด้วย
- Bluetooth 4.0 Low Energy (LE) เพื่อใช้ในการค้นหาและจับคูกับอุปกรณ์อื่นๆ
- Wi-Fi 802.11b/g/n 2.4GHz เพื่อการส่งถ่ายข้อมูลที่เร็วขึ้น
- NFC รองรับการใช้จ่ายผ่าน Apple Pay
มี Wifi ด้วยหรอ งั้นหมายถึงว่าเข้าเว็บได้ด้วยสิ?
ถึงแม้จะสามารถเชื่อมต่อ Wifi ได้ แต่ไม่สามารถใช้เข้าเว็บไซต์ได้นะครับ ทำได้เพียงใช้มันเพื่อการส่งถ่ายข้อมูลระหว่าง iPhone กับ Apple Watch ได้เร็วขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าการท่องเว็บเป็นสิ่งที่ทำให้สูญเสียแบตจำนวนมา ซึ่งตอนนี้ทาง Apple มองว่ายังไม่ควรจะใส่เข้าไปครับ
Apple Watch มีความจุเท่าไร?
ความจุของ Apple Watch นั้นจะมีทั้งหมด 8 GB โดยที่ สามารถใส่เพลงไว้ในเครื่อง 2 GB และ 75 MB สำหรับไฟล์รูปภาพ โดยสามารถจะเข้าดูเวลาไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ iPhone หรือว่าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแต่อย่างใดครับ
นอกจากนี้ Watch OS นั้นจะไม่ได้ใช้พื้นที่ 8 GB ที่ว่านี้นะครับมันจะแยกต่างหากออกมา ฉะนั้นพื้นที่ 8 GB นี้เราจะสามารถโหลดแอพต่างๆมาใช้ได้นั่นเอง
Apple Watch แบตอึดแค่ไหน?
จากการทดสอบล่าสุดของทาง Apple นั้นเฉลี่ยจะอยู่ที่ 18 ชม.สำหรับตัวเรือนขนาด 38 มม. ส่วนในขนาด 42 มม.อาจจะอยู่ได้นานกว่านิดหน่อยครับ (ทาง Apple ไม่ได้บอกไว้ครับว่าประมาณเท่าไร)
ด้านล่างนี้จะเป็นเวลาโดยประมาณของการใช้ Apple Watch ในการทำกิจกรรมต่างๆนะครับ
- สแตตนด์บายได้นาน 18 ชั่วโมง
- คุยโทรศัพท์ได้นานติดต่อกัน3 ชั่วโมง
- เปิดเพลงได้นานติดต่อกัน 6 ชั่วโมงครึ่ง
- ใช้ฟังก์ชั่นในการออกกำลังกายได้ติดต่อกัน 6 ชั่วโมงครึ่ง
- ดุเวลาอย่างเดียวจะอยู่ได้นานถึง 48 ชั่วโมง
- หากตั้งค่าไว้ที่ประหยัดพลังงานโดยให้ตัวเครื่องทำงานแค่การอัพเดทเวลาจะอยู่ได้ 72 ชั่วโมงครับ
อย่างไรก็ตามทาง Apple แนะนำว่าอย่างน้อยก็ควรชาร์จวันละครั้งครับ
แล้ว Apple Watch นี่ใช้เวลาในการชาร์จนานแค่ไหนกว่าจะเต็ม?
การชาร์จ Apple Watch นั้นจริงๆใช้เวลาไม่นานเลยครับ หากชาร์จไปชั่วโมงครึ่งจะได้แบตเตอรี่มา 80% และใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งในการชาร์จให้เต็ม 100% ครับ
สามารถอัพเกรดฮาร์ดแวร์ภายในตัวเครื่องได้หรือไม่?
ตอนนี้ทาง Apple ยังไม่อนุญาติให้อัพเกรดอุปกรณ์ต่างๆภายในครับ
สายรัดข้อมือของ Apple Watch
ไปดูกันครับว่าในแต่ละคอลเล็กชั่นของ Apple Watch นั้นมีสายแบบไหนมาให้ผู้ใช้อย่างเราๆสามารถเลือกใช้ได้บ้าง
Apple Watch Sport ประกอบไปด้วย
- 38 มม. white sport band
- 38 มม. blue sport band
- 38 มม. green sport band
- 38 มม. pink sport band
- 38 มม. black sport band
- 42 มม. white sport band
- 42 มม. blue sport band
- 42 มม. green sport band
- 42 มม. pink sport band
- 42 มม. black sport band
Apple Watch ประกอบด้วย
- 38 มม. white sport band
- 38 มม. black sport band
- 38 มม. classic buckle
- 38 มม. modern buckle
- 38 มม. Milanese loop
- 38 มม. steel link bracelet
- 42 มม. white sport band
- 42 มม. black sport band
- 42 มม. classic buckle
- 42 มม. leather loop
- 42 มม. Milanese loop
- 42 มม. steel link bracelet
Apple Watch Edition ประกอบด้วย
- 38 มม. white sport band
- 38 มม. black sport band
- 38 มม. modern buckle
- 42 มม. white sport band
- 42 มม. black sport band
- 42 มม. classic buckle
สายรัดข้อมือของ Apple Watch สามารถดเปลี่ยนสลับกันได้หรือเปล่า?
สามารถเปลี่ยนสลับกันได้ครับ แต่เฉพาะขนาดเดียวกันนะครับ จะไม่สามารถเปลี่ยนเอาสายของ Apple Watch ขนาด 38 มม. ไปใส่กับ Apple Watch 42 มม.ครับ
ซื้อแต่สายรัดข้อมืออย่างเดียวได้ไหม ถ้าเรามีตัวเครื่องอยู่แล้ว?
ได้เลยครับตอนนี้ทาง Apple จะเปิดขายเฉพาะใน Apple Watch Sport และ Apple Watch ก่อนนะครับที่จะสามารถซื้อสายมาเอย่างเดียวได้ ส่วนใน Apple Watch Edition ตอนนี้ทาง Apple ยังไม่ได้มีท่าทีจะขายแต่สายออกมาเลยครับ
แล้วถ้าซื้อแต่สายรัดข้อมือจะมีราคาเท่าไรกันบ้าง?
ราคาที่ขายนั้นจะแตกต่างกันไปนะครับ ขึ้นอยู่กับรุ่นของแต่ละสายราคาทั้งหมดอยู่ด้านล่างนี้เลยครับ
- Sport bands: $49
- Classic buckle: $149
- Milanese loop: $149
- Leather loop: $149
- Modern buckle: $249
- Link bracelet: $449
สายรัดข้อมือของ Apple Watch มีความยาวเท่าไร? แล้วหนักเท่าไรกันบ้าง?
ความยาวของสายข้อมือ Apple Watch นั้นจะมีตั้งแต่ง 125 มม.ถึง 215 มม.เลยครับ ด้านล่างนี้จะเป็นความยาวตามรุ่นและไซส์ของตัวเรือนที่เราซื้อนคะครับ
- 38 มม. sport band: 130-180 มม., 150-200 มม.
- 38 มม. modern Buckle: 135-150 มม., 145-165 มม., 160-180 มม.
- 38 มม. classic buckle: 125-200 มม.
- 38 มม. Milanese loop: 130-180 มม.
- 38 มม. link bracelet: 135-195 มม.
- 42 มม. sport band: 140-185 มม., 160-210 มม.
- 42 มม. leather loop: 150-185 มม., 180-210 มม.
- 42 มม. classic buckle: 145-215 มม.
- 42 มม. Milanese loop: 150-200 มม.
- 42 มม. link bracelet: 140-205 มม.
น้ำหนักของสายข้อมือ Apple Watch Sport
- 38 มม. black sport band: 37 ก.
- 38 มม. pink sport band: 42 ก.
- 38 มม. green sport band: 43 ก.
- 38 มม. blue sport band: 44 ก.
- 38 มม. white sport band: 47 ก.
- 42 มม. black sport band: 37 ก.
- 42 มม. pink sport band: 42 ก.
- 42 มม. green sport band: 43 ก.
- 42 มม. blue sport band: 44 ก.
- 42 มม. white sport band: 47ก.
น้ำหนักของสายข้อมือ Apple Watch
- 38 มม. classic buckle: 16 ก.
- 38 มม. modern buckle: 23 ก./23 ก./24 ก.
- 38 มม. Milanese loop: 33 ก.
- 38 มม. black sport band: 37 ก.
- 38 มม. white sport band: 47 ก.
- 38 มม. steel link bracelet: 65 ก.
- 42 มม. classic buckle: 19 ก.
- 42 มม. leather loop: 30 ก./33 ก.
- 42 มม. black sport band: 40 ก.
- 42 มม. white sport band: 51 ก.
- 42 มม. Milanese loop: 41 ก.
- 42 มม. steel link bracelet: 75 ก.
น้ำหนักของสายข้อมือ Apple Watch Edition
- 38 มม. black sport band: 38 ก.
- 38 มม. modern buckle: 40 ก./40 ก./41 ก.
- 38 มม. white sport band: 48 ก.
- 42 มม. classic buckle: [20 ก.]
- 42 มม. black sport band: 42 ก.
- 42 มม. white sport band: 53 ก.
Apple Watch กับ iPhone
ต้องใช้ซอฟท์แวร์อะไรพิเศษไหมในการส่งถ่ายข้อมูลระหว่าง iPhone กับ Apple Watch?
ไม่จำเป็นเลยครับ หากว่าในมือของเรามี iPhone 5 ขึ้นไปอยู่และอัพเดทตั้งแต่ iOS 8.2 ขึ้นไปก็จเห็นแล้วว่ามีแอพ Apple Watch อยู่ในเครื่องให้เรียบร้อยครับ
แล้วการจับคู่ของ iPhone กับ Apple Watch ต้องทำยังไง?
ก่อนอื่นเลยก็ต้องมี Apple Watch อยู่ใกล้ๆกับ iPhone นะครับ จากนั้นก็ทำการเปิดแอพ Apple Watch ใน iPhone ขึ้นมา จากนั้นเลือกไปที่แท็บ My Watch และกดเลือก Start Pairing เพื่อเริ่มจับคู่ คราวนี้กล้องใน iPhone จะเปิดขึ้นอัตโนมัติครับ ให้เราส่องไปที่ Apple Watch ของเราเท่านี้เรียบร้อยแล้วครับ
แล้ว Apple Watch ห้ามไกลจาก iPhone แค่ไหน?
ก็ตามปกติเลยครับ คล้ายกับการเชื่อมต่อด้วยบลูทูธทั่วไปจะไปที่จะสามารถเชื่อมต่อได้ถภายในระยะ 30-50 ฟุต หากไกลเกินกว่านั้นก็อาจจะหลุดการเชื่อมต่อ แต่ข้อดีข้อหนึ่งของ Apple Watch คือหากว่าเราเชื่อมต่อ iPhone ของเราด้วย Wifi เจ้า Apple Watch ก็จะยังเชื่อมต่อกับ iPhone อยู่ ซึ่งหากว่า Apple Watch อยู่ห่างจาก iPhone มากกว่าระยะบลูทูธมันก็ยังคงเชื่อมต่ออยู่ ตราบเท่าที่สัญญาณ Wifi ส่งไปถึงนั่นเองครับ อย่างเช่นเราลืม iPhone ไว้บนโซฟาชั้นล่าง แต่เรานอนอยู่บนเตียงชั้น 2 แล้วมีคนโทรเข้า เราก็รับสายผ่าน Apple Watch ได้เลยครับ
จับคู่ Apple Watch กับ iPhone หลายๆเครื่องได้ไหม?
ตอนนี้จับคู่ได้ครั้งละเครื่องนะครับ และหากว่าเปลี่ยน iPhone อยากจะจับคู่กับอีกเครื่องก็ต้อง Unpair กับเครื่องเก่าเสียก่อนครับ
ข้อนี้ขอถามตรงๆเลยว่าถ้าไม่มี iPhone อยู่ใกล้ๆเนี่ย Apple Watch จะทำอะไรไม่ได้เลยใช่หรือไม่?
จริงๆแล้วมันก็ยังทำอะไรได้หลายอย่างนะครับ ถึงแม้ว่า Apple Watch จะไม่ได้เชื่อมต่อกับ iPhone ก็ตาม อย่างน้อยๆก็มี 1 อย่างที่ยังคงทำงานแน่ๆคือ เอาไว้ดูเวลาครับ นอกจากนั้นก็จะเอาไว้ตั้งนาฬิกาปลุกกับดูปฏิทินได้ด้วย (นนาฬิกาทั่วไปก็ทำได้นะถ้าผมจำไม่ผิด 555)
ถ้างั้นลองฟังนี่ครับ หากว่า Apple Watch ไม่มี iPhone ยังสามารถที่จะฟังเพลงที่เราทำการลงไว้ในเครื่องได้อีกด้วย และมั่นใจว่าฟังก์ชั่นนี้นาฬิกาบอกเวลาทั่วไปต้องไม่มีแน่นอน แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ลงเพลงไว้กฏ้เสียใจด้วยนะครับ คุณพลาดสิทธ์นั้นเดี๋ยวนี้
นอกจากนี้ฟังก์ชั่นการใช้งานด้านฟิตเนสก็ยังคงทำงานอยู่ปกติ แต่จะสามารถอัพโหลดเข้าแอพ Health ได้ก็ต่อเมื่อทำการเชื่อมต่ออีกครั้ง ส่วนสำหรับแอพต่างๆภายในเครื่องที่เราโหลดมาจากสโตร์นั้น บางแอพจะสามารถทำงานได้หากว่าแอพนั้นรองรับการใช้งานแบบออฟไลน์ครับ และแน่นอน;่ามีหลายๆแอพที่ไม่สามารถทำงานได้ เพราะว่าต้องใช้การส่งถ่ายข้อมูลจาก iPhone นั่นเอง แต่ทางที่ดีก็ไม่ควรใช้ Apple Watch อย่างเดียวครับ เค้าทำออกมาให้ใช้กับ iPhone ก็ใช้เถอะครับจะได้คุ้มกับเม็ดเงินที่เราเสียไป
Apple Watch จะทำให้เปลืองแบต iPhone ไหม?
การเชื่อมต่อของ Apple Watch นั้นเป็นแบบ Bluetooth 4.0 LE ที่ย่อมาจาก Low Energy ฉะนั้นมันจะกินแบตเตอรี่น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ครับ แต่อย่างไรก็ตามการเชื่อมต่อด้วยสัญญาณก็ยังคงต้องใช้พลังงานอยู่
เรื่องของซอฟท์แวร์ใน Apple Watch มันจะอัพเดทเองหรือไม่?
ต้องเรียนแบบนี้ครับว่าทาง Apple นั้นยังไม่ได้มีารออกมาประกาศเกี่ยวกับเรื่องการอัพเดทในส่วนของ Watch OS แต่อย่างใดครับ แต่คาดว่าน่าจะเป็นการใส่ตัวอัพเดทผ่านเข้าไปในแอพ Apple Watch ครับ จากนั้นก็จะเป็นการอัพเดทผ่านทางการเชื่อมต่อด้วยการจับคู่นั่นเอง
การมีปฏิสัมพันธ์กับ Apple Watch
Apple Watch ใช้งานยังไง?
สำหรับการสั่งการ Apple Watch นั้นจะมีปุ่มให้เราใช้งานได้ 2 ปุ่มครับ คือปุ่มเม็ดมะยมหรือที่เรียกว่่า Digital Crown และปุ่มด้านข้างของตัวเครื่อง รวมทั้งการสั่งการแบบ Gesture ต่างๆผ่านทางหน้าจอ Touchscreen ของ Apple Watch
สำหรับปุ่ม Digital Crown นั้นเราจะสามารถใช้งานมันในการซูมเข้าซูมออกในหน้า Home screen, แผนที่, รูปภาพ และอีกมากมายที่เราสามารถใช้ปุ่มนี้ในการซูมครับ และหากว่าเรากดไปที่ตัว Digital Crown 1 ครั้ง จะสามารถกลับมาที่หน้า Home screen ได้ครับ นอกจากนั้นหากว่าเรากดปุ่มนี้ค้างไว้จะเป็นการเปิดใช้งาน Siri ได้อีกด้วย ซึ่งถ้าเราทำการกด Digital Crown 2 ครั้งติดๆกันจะเป็นการสลับจากหน้า Home screen ไปที่แอพล่าสุดที่เราเปิดไว้ครับ (หลักการคล้ายๆปุ่ม Home บน iPhone)
สำหรับปุ่มด้านข้างของตัวเครื่องนั้นถูกออกแบบมาให้เป็นเหมือน Shortcut ในการเปิดหน้ารายชื่อผู้ติดต่อที่เราทำการตั้งไว้เป็น Favorite ไว้ด้วยการกดเพียง 1 ครั้งจะมีรูปเพื่อนๆของเราที่อยู่ใกล้ๆเราโผล่ขึ้นมาเลยครับ ซึ่งทำให้เราติดต่อเพื่อนๆได้อย่างสะดวกและง่ายดายขึ้น หากกดปุ่มนี้ต้างไว้จะเป็นการปิดเครื่องเหมือนกับปุ่มด้านบนขวาของ iPhone นั่นแหละครับ นอกจากนี้หากเราทำการกดปุ่มนี้ 2 ครั้งจะเป็นการเปิดใช้งาน Apple Pay
นอกจากนี้ก็จะเป็นการสั่งการผ่านหน้าจอ Touchscreen ของตัว Apple Watch ครับ แล้วก็อย่าลืมไปลองเล่น Force Touch นะครับว่าหลังจากที่มีการใส่ฟีเจอร์นี้เข้ามามันจะใช้สั่งการอะไรได้บ้าง
หากมอง Apple Watch เป็นนาฬิกา
มันทำงานได้ดีหรือไม่กับหน้าที่ในการบอกเวลา?
ต้องบอกว่ามันทำงานได้ดีมากเลยครับ เพราะว่าทาง Apple เองได้การันตีไว้เลยว่าในฐานะนาฬิกามันสามารถทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมด้วยความแม่นยำถึง +/- 50 เสี้ยววินาทีเท่านี้ที่อาจจะคาดเคลื่อนไปจากเวลาสากล โดยเมื่อเราเชื่อมต่อ Apple Watch กับ iPhone แล้วมันจะทำการตรวจสอบเวลาสากลผ่านทาง iPhone ก่อนเป็นอย่างแรกเพื่อรักษาไว้ซึ่งความแม่นยำในการบอกเวลาครับ
แล้วหน้าปัดของ Apple Watch มีกี่แบบ?
ตอนนี้ Apple Watch มีหน้าปัดให้เลือกทั้งหมด 9 แบบด้วยกัน ซึ่งในแต่ละแบบนั้นก็จะแตกต่างกันไปในเรื่องของรูปภาพ รวมทั้งมีเอกลักษณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละแบบที่ไม่เหมือนกันด้วยนะครับ ซึ่งเรายังสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้อีกด้วย เรียกได้ว่าให้ความเป็นตัวเองสูงมากๆครับสำหรับผู้ใช้
ถ้าแบตเหลือน้อยจะยังใช้ได้ไหม?
ได้แน่นอนครับ หากว่าเราต้องการให้ Apple Watch ใช้แบตน้อยๆเราสามารถเข้าไปปรับเป็นโหมด Power Reserve เมื่อไรก็ได้ที่เราต้องการ ซึ่งนอกจากนี้ Apple Watch ยังสามารถปรับไปเป็นโหมด Power Reserve ได้โดยอัตโนมัติอีกด้วยเมื่อแบตของเราเหลือน้อยแล้ว
Apple Watch ในด้าน Fitness
ฟีเจอร์เกี่ยวกับการฟิตเนสที่ว่านี่มันทำงานอย่างไรบ้าง?
Apple Watch นั้นจะทำการติดตามและเก็บประวัติการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหว และระยะทางต่างๆที่เรามีการเคลื่อนไหวในแต่ละวันผ่าทางเซนเซอร์ต่างๆที่ทำการติดตั้งไว้ภายในแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Heart Rate Sensor, Accelerometer และ Wifi กับ GPS ผ่านทาง iPhone ของเราครับ
Apple Watch จะทำงานได้ดีไหมสำหรับกิจกรรมอื่นๆที่ไม่ใช่การวิ่ง?
ยังทำงานได้ดีครับเพราะว่า Heart Rate Sensor นั้นจะทำการติดตามทุกๆกิจกรรมของเราที่เกิดการเคลื่อนไหวและไม่ใช่การหยุดนิ่งอยู่กับที่อย่างการเดิน กาปั่นจักรยาน โดย Apple Watch จะทำการรายงานเราว่าตอนนี้เราเผาผลาญไขมันไปแล้วกี่แคลรอรี่ด้วยครับ
แล้วถ้าเราลืมพก iPhone ไปด้วยขณะออกกำลังกาย Apple Watch จะสามารถเก็บสถิติการออกกำลังกายได้หรือเปล่า?
ทำได้ครับ เพราะข้อมูลทั้งหมดในด้าน Fitness นั้นจะถูกจัดเก็บลงในเครื่องก่อน หลังจากที่มันเจอกับ iPhone แล้วก็สามารถทำการ Backup ข้อมูลลงไปใน iPhone ได้เหมือนเดิม ทั้งนี้สิ่งหนึ่งที่ Apple Watch ไม่สามารถทำได้ก็คือ การนับระยะทางให้เราครับ เพราะว่าตัว Apple Watch ไม่ได้มี GPS อยู่ในตัวจึงต้องพึ่ง GPS ผ่าน iPhone เท่านั้น
แอพที่เราโหลดมาจะสามารถใช้ข้อมูล Fitness ที่เรามีก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?
แค่เราอนุญาติมันเท่านั้นแหละครับ สรุปคือได้นะครับ แอพต่างๆจากภายนอกจะสามารถเข้าถึงข้อมูลการออกกำลังกายของเราก่อนหน้านี้ หลังจากที่เราทำการอนุญาติให้แอพเข้าถึง
Apple Watch กับการติดต่อสื่อสาร
ที่ว่ามีการวิธีติดต่อกับเพื่อนแบบใหม่ มันคืออะไรหรอ?
จริงๆแล้วการติดต่อกับเพื่อนเของเรานั้นสามารถทำได้ง่ายๆเลยผ่านการส่งข้อความไปหาเหมือนที่เคยทำมาแต่ก่อน เพียงแต่ว่าฟีเจอร์นี้ของ Apple Watch นั้นเป็นฟีเอร์ที่ใหม่และแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใครแค่นั้นครับ โดยเราจะสามารถส่งรูปภาพที่เราวาดขึ้นมาผ่านหน้าจอ Apple Watch ไปให้เพื่อนได้ หรือการสัมผัสที่หน้าจอเป็นจังหวะแล้วส่งไปให้เพื่อน แม้กระทั่งการส่งจังหวะการเต้นของหัวใจเราไปให้เพือ่นก็สามารถทำได้เช่นกันนะครับ แต่ต้องวงเล็บไว้ว่าเพื่อนเราต้องใช้ Apple Watch ด้วยเหมือนกันครับถึงจะสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้
ใครก็ได้สามารถส่งจังหวะการเต้นของหัวใจมาให้แบบนั้นหรอ?
ไม่ใช่ครับ นอกจากที่ทั้งผู้ส่งและผู้รับจะต้องใช้ Apple Watch แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องมีคือรายชื่อในสมุดรายชื่อของเราครับ ใครไม่รู้จักก็จะไม่สามารถส่งได้นั่นเอง
ข้อความต่างๆจะถูกจัดเก็บไว้ที่ไหน?
ตามปกติเลยครับข้อความต่างๆที่เราพิมพ์ส่งถึงกันจะจัดเก็บไว้ใน iPhone ส่วนพวกฟีเจอร์การสื่อสารใหม่ๆที่กล่าวถึงในด้านบนนั้นดูเหมือนจะไม่มีการจัดเก็บไว้แต่อย่างใดครับ เป้นเหมือนการพูดคุยกันชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้ซีเรียสกันครับ
สรุปแล้วใช้โทรออก รับสายได้เหมือนในหนังปะ?
ใช่ครับ เหมือนในหนังเลยที่นาฬิกาใช้คุยแทนโทรศัพท์ได้ แต่อย่าลืมว่ามันเป็นนาฬิกา หากต้องการคุยยาวๆแนะนำว่าให้ไปหยิบ iPhone ขึ้นมาคุยน่าจะดีกว่า เพราะมันจะเปลืองแบตของ Apple Watch มากๆครับ
Apple Watch กับการเป็นรีโมทควบคุม
เดี๋ยวนะ ใช้ Apple Watch เป็นรีโมทได้ด้วยหรอ?
ใช่ครับ Apple Watch นั้นจะมาพร้อมกับแอพที่ติดตั้งมาให้ภายในแล้ว โดยที่แอพนี้จะสามารถใช้ควบคุมเครื่องเล่นเพลงบน iPhone ได้ ใช้สัั่งถ่ายรูปผ่านทาง iPhone และยังสามารถใช้ควบคุม Apple TV ได้ด้วยยะครับ
แล้วการสั่งถ่ายรูปผ่าน Apple Watch นั้นมันเป็นอย่างไร?
ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการถ่ายรูปหมู่ครับ โดยที่เราจะสามารถเห็นสิ่งเดียวกับที่กล้องใน iPhone ของเราเห็นผ่านทางหน้าจอของ Apple Watch ได้เลย จากนั้นเราก็แค่กดถ่ายรูปเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยครับ นอกจากนี้เรายังสามารถตั้งค่าภาพถ่ายของเราผ่านทาง Apple Watch ได้ด้วยอย่าง Sqaure หรือ Time Lapse เป็นต้น
แล้วรีโมท Apple TV ล่ะ?
สามารถดาวน์โหลดแอพรีโมทผ่านทาง Apple Store ได้เลยครับ ทั้งนี้ที่ทาง Apple ไม่ได้ติดตั้งไว้ให้เลยอาจจะเป็นเพราะจำนวนยอดขายของ Apple TV ที่มีไม่มากก็เป็นได้ครับ
Apple Watch และ Apple Pay
จะใช้ Apple Pay กับ Apple Watch อย่างไรในเมื่อมันไม่มี Touch ID
แม้ว่า Apple Watch นั้นจะไม่มี Touch ID เป็นของตัวเอง แต่มันสามารถยืมมาจาก iPhone ได้ครับ ซึ่งนั่นก็ทำให้มันสามารถปลดล็อครหัสต่างๆรวมถึงการยืนยันตัวตนแบบ Touch ID ได้ด้วยตัวเองในการใช้ Apple Pay
หลังจากที่เราสวม Apple Watch เป็นครั้งแรก และเราทำการปลดล็อค iPhone ของเราด้วยรหัสที่เราตั้งไว้หรือ Touch ID ก็ตาม เจ้า Apple Watch จะทำการจดจำสิ่งเหล่านั้นและจะสามารถใช้ Apple Pay ได้เหมือนกับใน iPhone เลยครับ จนกว่าที่เราจะทำการเลิกจับคู่ระหว่าง Apple Watch กับ iPhone มันจะยังคงจดจำรหัสและ Touch ID ของเราไว้ตลอด
ซึ่งหากว่าเราทำการเลิกจับคู่ระหว่างทั้ง 2 อุปกรณ์ไปแล้ว และเรากลับมาจับคู่มันอีกครั้งเราก็จำเป็นต้องทำการตั้งค่าพวกรหัสนี้ใหม่ครับ
ทั้งนี้ในการใช้ Apple Pay ผ่าน Apple Watch นั้นเราสามารถทำได้ง่ายๆด้วยการเปิดหน้า Apple Pay ใน Apple Watch ขึ้นมาด้วยการกดปุ่มด้านข้าง 2 ครั้ง จากนั้นก็ยื่นข้อมือเข้าไปหาเครื่องสแกนได้เลยครับ เท่านี้เป็นอันเรียบร้อย
จำเป็นไหมที่จะต้องใช้ iPhone 6 หรือ 6 Plus กับ Apple Pay?
ไม่จำเป็นเลยครับ ขอแค่ iPhone เครื่องนั้นสามารถจับคู่กับ Apple Watch ได้ก็สามารถใช้ Apple Pay ได้เช่นกันครับ
แล้วหลักการทำงานของ Apple Pay สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้อีกหรือไม่?
แน่นอนครับ อย่างล่าสุดตอนนี้แอพของโรงแรม Starwood Hotel & Resort สามารถให้เราใช้ Apple Watch ในการเช็คอินรวมทั้งตามหาห้องของเราได้แล้วครับ ที่สำคัญไม่ได้มีแค่นั้นครับ เพราะว่า Apple Watch สามารถที่จะใช้เปิดประตูห้องของโรงแรมได้ด้วย เพียงแค่ให้มั่นใจว่าเราสวม Apple Watch ไว้ที่ข้อมือของเราขณะที่เราเอื้อมมือไปใกล้กับประตูห้อง ประตูก็จะปลดล็อคให้อัตโนมัติแล้วครับ อะไรจะสะดวกสบายขนาดนั้น โดยตอนนี้มีเพียงโรงแรม Starwood Hotel & Resort ที่เปิดให้บริการกับฟีเจอร์นี้ แต่เชื่อว่าในอนาคตโรงแรมใหญ่ๆที่มีสาขาไปหลายๆประเทศนั้น น่าจะมีการใช้ระบบเเดียวกันนี้เกิดขึ้นตามมาอีกแน่นอนครับ
ข้อมูลของเราจะปลอดภัยแค่ไหนใน Apple Watch?
ความปลอดภัยสำหรับข้อมูลใน Apple Watch นั้นจะเป็นระดับเดียวกันกับ iPhone และ iPad เลยครับ ซึ่งต้องบอกเลยว่าหายห่วง เพียงเราทำการลบข้อมูลการจับคู่ออกจาก Apple Watch เท่านี้ก็จะไม่มีข้อมูลส่วนตัวใดๆของเราหลงเหลืออยู่ใน Apple Watch แล้วครับ
นอกจากนี้หากว่าไม่มีการจับคู่ Apple Watch กับ iPhone ของเราที่เคยจับคู่ ข้อมูลต่างๆบัญชีส่วนจัวของเรา อีเมล์หรือแม้กระทั่งโซเชียลเน็ตเวิร์คก็จะไม่หลงเหลืออยู่ใน Apple Watch เช่นกันครับ สำหรับเคสเครื่องหายหรือถูกขโมยไปก็หายห่วงไปได้เลย
แอพต่างๆใน Apple Watch
แอพอะไรบ้างที่จะถูกติดตั้งมาให้แล้วใน Apple Watch?
Apple Watch จะถูกติดตั้งแอพมาให้แล้วตามนี้เลยครับ Messages, Phone, Mail, Calendar, Activity, Workout, Maps, Passbook, Siri, Music, Camera Remote, (Apple TV/iTunes) Remote, Weather, Stocks, Photos, Alarm, Stopwatch, Timer, World Clock และ Settings
แล้วเราสามารถโหลดแอพอื่นเพิ่มได้ไหม ผ่านทาง Apple Watch App Store หรอ?
ใช่แล้วก็ใช่อีกครับ เมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมามีแอพที่เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วบน Apple Watch App Store ถึง 3,500 แอพ และตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็มีแอพที่ถูกเพิ่มเข้าไปใน Store อยู่ตลอดเวลาเลยครับ ฉะนั้นเรื่องแอพก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่มีให้ใช้ครับ (สิ่งที่น่าเป็นห่วงจริงๆอาจจะเป็นพื้นที่เก็บแอพมากกว่า เอิ๊กๆ)
แล้วโหลดแอพใน Apple Watch ยังไง?
เช่นเดียวกันกับการโหลดบน App Store ใน iPhone เลยครับ โดยใน Apple Watch ก็จะมี Store เป็นของตัวเองอยู่ในเครื่องให้เราเข้าไปใช้งานในการดาวน์โหลดได้เลย
แล้วลบแอพใน Apple Watch ยังไง?
เหมือนกับการลบใน iPhone เลยครับ ด้วยการกดไอค่อนแอพค้างไว้ จากน้นก็กดเครื่องหมาย “x” เพื่อเป็นการลบแอพออกจากตัวเครื่อง
Apple Watch กับอุปกรณ์เสริม
Apple Watch มีอุปกรณ์เสริมอะไรบ้าง?
ตั้งแต่วันเปิดตัว Apple ได้ปล่อยให้เราซื้อสายรัดข้อมือมาเพิ่มได้ครับ เกิดวันไหนอยากจะเปลี่ยนสีก็เปลี่ยนได้เลย หรือจะมีไว้เพื่อสำรองก้ได้ นอกจากนี้บริษัทอื่นๆก็เริ่มวางแผนทำการผลิตที่ชาร์จของ Apple Watch ให้ดูสวยงามขึ้นกันแล้วครับ โดยคาดว่าน่าจะออกมาวางจำหน่ายกันเร็วๆนี้
สามารถใช้สายข้อมือจากที่อื่นได้หรือไม่?
จริงๆแล้วคงต้องบอกว่าได้นะครับ หากสายข้อมือที่ว่านั้นถูกออกแบบมาอย่างถูกต้องตามสเปคที่ทาง Apple ได้ปล่อยออกมาให้เหล่าผู้ผลิตนำไปใช้ในการผลิตสายรัดข้อมือ Apple Watch ครับ หรืออาจจะใช้สายข้อมือที่ทางผู้ผลิตได้รับการรับรองจาก Apple แล้วว่าถูกต้องก็น่าจะพอได้อยู่ครับ
ที่มา : imore