เราจะสังเกตได้ว่าในช่วงระยะหลัง ทางผู้ผลิตสมาร์ทโฟน Android หลายแบรนด์ได้มีการประกาศปรับนโยบายการอัปเดตซอฟต์แวร์ เพื่อดูแลโทรศัพท์ให้ลุกค้าของพวกเขาเป็นเวลาที่ยาวนานมากขึ้น บางแบรนด์ประกาศจะดูแลให้นาน 3 ปี และบางแบรนด์ก็ประกาศจะดูแลสูงสุดให้นานถึง 4 ปี ดังนั้นผู้ซื้อโทรศัพท์ก็สามารถจะเก็บอุปกรณ์ไว้ใช้กับตัวได้นานมากกว่าเดิมก่อนที่จะต้องเปลี่ยนเป็นโทรศัพท์เครื่องใหม่
แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีการอัปเดทระบบให้ยาวนาน แต่การใช้งานจริงก็ยังต้องอาศัยองค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์ที่ต้องมีสภาพที่ยังพร้อมใช้งานไปพร้อมกันด้วย แต่การตรวจสอบของผู้ใช้อุปกรณ์ระบบ Android ยังไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย เพราะยังไม่มีระบบการแจ้งสถานะคุณภาพของแบตเตอรี่แบบที่เราเห็นในระบบ iOS ( iPhone, iPad) ที่ปัจจุบันอุปกรณ์เหล่านั้นสามารถแสดงสุขภาพแบตออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ให้เข้าของเครื่องได้รู้อย่างชัดเจน
ทำให้ผู้ใช้ Android ที่ต้องการทราบสุขภาพของแบตต้องอาศัยความสามารถของแอปพลิเคชั่นเสริมจากผู้พัฒนาภายนอกเข้ามาช่วย ซึ่งแอปเหล่านั้นอาจจะไม่มีมาตรฐานหรือความแม่นยำถูกต้องที่มากเพียงพอครับ
ล่าสุดทาง Google ได้พยายามพัฒนาระบบการตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่ของเครื่อง Android ให้สามารถแจ้งข้อมูลของแบตเตอรี่ได้อย่างละเอียดยิ่งกว่าแอปใดๆ ที่มีในตลาด เพราะนอกจากจะแสดงสุขภาพของตัวแบตเตอรี่ได้แล้ว ยังเก็บสถิติการใช้ รอบการชาร์จ และยังสามารถตรวจสอบความถูกต้องของมาตรฐานชิ้นส่วนแบตที่กำลังใช้ให้ทราบได้อีกด้วย
ในวันนี้ Google ได้สร้างเฟรมเวิร์กใหม่ซึ่งฝังอยู่ใน Android 14 เข้ามาทำหน้าที่ติดตามสถิติการใช้งานของแบตเตอรี่ในระยะยาว เช่นรอบการชาร์จของตัวแบต, วันที่ผลิตแบต โดยเราจะเริ่มได้เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ในช่วงแรกกันแล้วกับสมาร์ทโฟน Pixel ที่ใช้ Android 14
โดยทาง Google ได้เพิ่มหน้าการตั้งค่าใหม่ที่ชื่อว่า “ข้อมูลแบตเตอรี่” จะเป็นหน้าที่เอาไว้แสดงวันที่ผลิตและจำนวนรอบการชาร์จของแบตให้เราได้ทราบ
แม้ในเวอร์ชั่นปัจจุบันยังไม่มีการแสดงเปอร์เซ็นต์สุขภาพของแบตออกมาให้เราได้เห็นกันก็ตาม แต่ในขั้นตอนต่อไปสำหรับการอัปเดท Android 14 QPR2 Beta 2 เราน่าจะได้เห็นความสามารถที่ระบุความสมบูรณ์ของแบตเตอรี่ออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ชัดเจนกว่าเดิมกันแล้วครับ
ผู้ใช้สามารถดูเปอร์เซ็นต์ความสมบูรณ์ของแบตโดยประมาณได้ เช่น หากความจุการชาร์จแบตเตอรี่ของโทรศัพท์ตามที่ระบุไว้คือ 5,000mAh แต่ปัจจุบันสามารถชาร์จไฟเข้าสูงสุดได้แค่ 4,500mAh สถานะความสมบูรณ์ของแบตก็จะเหลืออยู่ที่ 90% โดยประมาณนั้นเอง โดยกระบวนการปรับเทียบใหม่นี่อาจใช้เวลาประมาณสองสามสัปดาห์หลังการใช้งาน เพื่อให้ตัวโทรศัพท์สามารถรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการปรับเทียบได้เพียงพอซะก่อน
และยังมีการพบรายละเอียดภายในโค๊ดที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งเตือนสถานะแบตให้กับผู้ใช้ที่มีความละเอียดเพิ่มเติมมากขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าขณะนี้แบตเตอรี่กำลังได้รับการปรับเทียบอยู่, หรือพบว่าแบตมีความผิดปกติ หรือถึงเวลาแล้วที่ควรจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นก้อนใหม่
ในรายข่าวยังแจ้งอีกว่า ในการอัปเดท Android 15 ในอนาคต ทาง Google จะใส่การระบุข้อมูลของชิ้นส่วนแบตเตอรี่ในส่วนของหมายเลขซีเรียลของตัวแบต และสถานะการตรวจสอบมาตรฐานของแบตเข้าไปอีกด้วย โดยตัวระบบจะสามารถแจ้งได้ว่าแบตที่กำลังใช้งานเป็นแบตแท้ดั้งเดิมหรือเป็นแบตใหม่ที่ถูกเปลี่ยนเข้ามา รวมถึงการแจ้งว่า “ไม่รองรับ” ซึ่งอาจจะหมายถึงโทรศัพท์ไม่สามารถระบุความถูกต้องของแบตเตอรี่ใหม่ที่ถูกใส่เข้ามาแทนที่ได้นั้นเองครับ
ฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราอาจจะได้เห็นครบทั้งหมดใน Android 15 เมื่อมีการประกาศให้ใช้งานในปีหน้า และจะมีประโยชน์กับผู้ใช้ Android อย่างมาก เพราะปัจจุบันมีการอัปเดทซอฟท์แวร์เพื่อการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้นนั้นเองครับ