การแข่งขันด้าน AI กำลังดุเดือดกว่าที่เคย โดยเป็นการขับเคี่ยวระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่จาก สหรัฐฯ และ จีน ล่าสุด Alibaba ได้ประกาศแผนลงทุนมหาศาลกว่า 380,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 52.44 พันล้านดอลลาร์ (1.86 ล้านล้านบาท) เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานด้าน คลาวด์และ AI ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นงบที่มากกว่าสิ่งที่บริษัทเคยใช้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รวมกันซะอีก
หนึ่งในแรงกระเพื่อมสำคัญที่ทำให้ Alibaba มั่นใจในการลงทุนด้านอุตสาหกรรมนี้ เพราะมี Apple เข้ามาเป็นหนึ่งในบริษัทที่หันมาใช้บริการของ Alibaba และ Baidu (คู่แข่งของ Google ในจีน) เพื่อช่วยเปิดตัว Apple Intelligence ที่สามารถใช้งานได้ในประเทศจีน
รายงานระบุว่า Apple และ Alibaba กำลังร่วมมือกันปรับแต่งโมเดล AI บนอุปกรณ์ iPhone, iPad และ Mac ที่จำหน่ายในจีน โดยระบบดังกล่าวจะมีการคัดกรองและควบคุมเนื้อหาของ AI ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดและระเบียบของรัฐบาลจีน ที่มีความเข้มงวดอย่างมากในการควบคุมการให้ข้อมูลของปัญญาประดิษฐ์
แต่ไม่ใช่แค่ Alibaba เท่านั้นนะครับที่เร่งลงทุนในธุรกิจด้าน AI เพราะทาง ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ก็มีรายงานว่าเตรียมจัดสรรงบมากกว่า 150,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 21 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเป็นเงินลงทุนเพิ่มในปีนี้ด้วยเช่นกัน โดยคาดว่าเงินส่วนใหญ่จะนำไปพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะ ขณะที่ฝั่ง DeepSeek ซึ่งเป็น AI แชตบอทของจีนที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด ที่มีข่าวลือว่า Samsung อาจพิจารณานำโมเดล AI ของ DeepSeek มาใช้ในสมาร์ตโฟน Galaxy ที่วางจำหน่ายในจีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของ AI ในตลาดจีนที่เริ่มเติบโตขึ้นมาท้าทายบริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว
บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง Meta, OpenAI และ X (Twitter เดิม) กำลังจับตามองความเคลื่อนไหวของจีนอย่างใกล้ชิด ล่าสุด OpenAI ออกมากล่าวหาว่า DeepSeek ลอกเลียนแบบ ChatGPT และยังมีรายงานว่า DeepSeek อาจละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ โดยการลักลอบซื้อชิป NVIDIA ผ่านช่องทางที่ปกปิดวิธีการเอาไว้
ขณะเดียวกัน DeepSeek ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองในสหรัฐฯ โดยมีการผลักดันจาก สภาคองเกรส ให้แบน DeepSeek จากอุปกรณ์รัฐบาล เนื่องจากมีความกังวลว่า รัฐบาลจีนอาจสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้ เรียกได้ว่าสหรัฐก็พยายามใช้อำนาจในการปิดกัน AI จากจีนอยู่อย่างเต็มที่เช่นกัน
การที่ Alibaba ลงทุนครั้งใหญ่ใน AI และคลาวด์ ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของบริษัทเอง แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึง Apple และบริษัทเทคโนโลยีตะวันตก ว่าจีนก็พร้อมที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรม AI ได้แบบสหรัฐด้วยเช่นกัน
แวดวง AI กำลังร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ และสุดท้ายผู้ชนะจะเป็นคนกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีนี้ในอนาคต อยู่ที่จะจบลงที่ฝ่ายไหนเท่านั้นเอง