Apple ไม่ใช่บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลกอีกต่อไปแล้ว หลัง Microsoft แซงกลับขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งอีกครั้ง จากนโยบายภาษีของ Donald J. Trump ที่เพิ่งเริ่มใช้กับสินค้านำเข้าจากจีนและอีกกว่า 60 ประเทศทั่วโลก
มาตรการขึ้นภาษีครั้งใหญ่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Apple เพราะเกือบ 90% ของอุปกรณ์ทั้งหมด รวมถึง iPhone ยังคงผลิตในจีน ทำให้ภาษีที่บริษัทต้องจ่ายพุ่งสูงสุดถึง 104% จากเดิม และทำให้ราคาหุ้นร่วงลงกว่า 20% ภายในไม่กี่วัน มูลค่าบริษัทหายไปทันที 7 แสนล้าน$ ดอลลาร์$ เหลือ Market Cap ที่ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ Microsoft กลับมาทะลุ 2.64 ล้านล้านดอลลาร์อีกครั้ง
Apple กำลังหาทางด้วยการย้ายบางส่วนของกระบวนการส่งออกไปยัง อินเดีย เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมที่สูงลิ่ว โดยถ้าส่ง iPhone จากอินเดียมายังอเมริกา จะเสียภาษีแค่ 27% เท่านั้น เทียบกับค่าธรรมเนียมแบบเต็มเพดานจากจีนที่อาจสูงถึง 104%
Tim Cook เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ กำลังเดินหน้าเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขอยกเว้นภาษีบางส่วน แต่ฝั่งทำเนียบขาวยังยืนยันชัดเจนว่า Apple ควร Bring Jobs Home ด้วยการย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ ตามนโยบาย “Made in USA”
ตามการวิเคราะห์ของ Dan Ives จาก Wedbush ระบุว่า ถ้า Apple ต้องย้ายไลน์การผลิตทั้งหมดกลับมายังอเมริกา ราคาของ iPhone รุ่นเรือธงอาจทะลุ $3,500 ได้ทันที และอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายอย่างหนัก โดยเฉพาะในตลาดจีนที่ตอนนี้เริ่มเย็นชากับแบรนด์อเมริกันมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านต้นทุนใหม่ที่กระทบต่อการเปิดตัวฟีเจอร์ “Apple Intelligence” ซึ่งอาจถูกเลื่อนออกไปอีก เพราะต้นทุนพุ่งเกินควบคุม
ผลพวงจากความปั่นป่วนในฝั่ง Apple ทำให้ Microsoft กลับขึ้นแท่นบริษัทมูลค่าสูงสุดของโลกอีกครั้งแบบเงียบ ๆ ท่ามกลางกระแส AI และ Cloud Services ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ Apple ยังต้องแก้ปัญหาหลายตัว ทั้งต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนของตลาดจีน และแรงกดดันจากนโยบายรัฐบาลสหรัฐฯ
แหล่งที่มา : Window Central