อย่างที่เราทราบกันว่าในอาทิตย์หน้าที่ใกล้เข้ามานี้ทาง Apple กำลังจะมีงานอีเว้นท์ ซึ่งหากข่าวลือที่เราได้มาหรือว่าการคาดการณ์ต่างๆไม่ได้ผิดพลาดละก็ งานนี้ Apple จะมีการเปิดตัว iPhone 6s และอีกสิ่งหนึ่งก็คือ Apple TV ที่ไม่ได้มีการปล่อยตัวใหม่ๆออกมาตั้งแต่ปี 2012 แล้วนั่นเองครับ
นอกจากนี้ข่าวลือที่ออกมานอกจากข่าวการเปิดตัวแล้ว ดูเหมือนในส่วนของ Apple TV จะมีรายละเอียดอื่นๆออกมาด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรีโมที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยอาจจะเป็นการทำเป็นเวอร์ชั่นของ Siri ออกมา และที่สำคัญไปกว่านั้น Apple TV รุ่นนี้อาจสามารถเข้าถึง App Store ได้อย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย ทั้งนี้การมาของ Apple TV ในครั้งนี้อาจจะสามารถทำงานได้เหมือนกับคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเลยก็เป็นได้ครับ
ซึ่งหากข่าวลือที่ออกมานี้เป็นเรื่องจริง นั่นก็หมายความว่าการแข่งขันระหว่าง Microsoft และ Apple ที่มีมาตั้งแต่ยุค 90 อาจจะใกล้มาถึงจุดจบแล้วครับ
Apple TV เครื่องแรกมีอยู่แค่ใน Disney Land
หลังจากที่ Steve Jobs ได้ออกจาก Apple ไปในช่วงต้นของปี 90 ตอนนั้น CEO อย่างนาย John Sculley ได้พยายามที่จะขยายผลิตภัณฑ์ของ Apple ให้มีมากขึ้นครับ ซึ่งก็มีการเพิ่มทั้งเครื่องเล่น CD แบบพกพา, Personal digital assistants, กล้องดิจิตอล และกล่อง Set-top ของ TV ซึ่งในตอนนั้นบอกเลยครับว่ามันไม่ประสบความสำเร็จเอาซะเลย
โดยอุปกรณ์ในส่วนของ TV ตอนนั้นมันมีชื่อเรียกว่า Apple Interactive Television Box ครับ ซึ่งจริงๆแล้วอุปกรณ์ตัวนี้ไม่ได้วางขายในตลาดครับ เพราะมีเพียงการทดลองนำไปใช้ในหลายๆห้องของ Disneyland Hotel เมื่อปี 1995 ซึ่งการทดลองครั้งนั้นก็ได้ข้อพิสูจน์ว่าเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ยังไม่พร้อมจะนำไปวางขาย ถึงแม้ว่า Apple’s box จะมีความสามารถอย่างการ Pause และ Rewind รายการสดได้ก็ตาม
และหลังจากนั้นทาง Apple ก็ได้ออก Apple Pippin ซึ่งเป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมส์ที่รัน Macintosh OS ออกมา ซึ่งทาง Apple ก็มองว่าเจ้าเครื่องเล่นวิดีโอเกมส์เครื่องนี้น่าจะช่วยทำให้ Mac ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในห้องนั่งเล่นของเหล่าผู้ใช้ได้มากขึ้น แต่เวลานั้นก็มีการมาของ Sony PlayStation และ Saturn Sega จึงทำให้เจ้า Pippin ไม่สามารถไปต่อได้ครับ
หลังจากนั้นในปี 1997 เป็นเวลาที่ทาง Steve Jobs ได้หวนกลับมาที่ Apple อีกครั้ง ซึ่งก็ได้ทำให้ไอเดียของบริษัทที่จะใช้เกมส์เป็นสิ่งจูงใจให้ผู้ใช้นำคอมพิวเตอร์มาเป็นส่วนหนึ่งในห้องนั่งเล่นต้องหยุดชะงักไป
จนในที่สุด Apple ก็ได้กลับมาพัฒนาและปล่อย Apple TV ลงสู่ตลาดจริงๆในปี 2007 ซึ่งต่อมาไม่นานการมาของ iPhone ก็ได้เกิดขึ้น และแน่นอนว่า Apple ต้องหันไปโฟกัสกับสิ่งที่ทำกำไรให้กับบริษัทมหาศาลก่อน ดังนั้น Apple TV จึงห่างหายไปอีกครั้งและถูกนำมาปรับปรุงอีกครั้งในปี 2012 และมีการปล่อยอัพเดทออกมาล่าสุดเมื่อปี 2013 ครับ
ความล้มเหลวของ Microsoft WebTV
ในปี 1997 ทาง Microsoft ได้เขาซื้อบริษัท Startup WebTV ที่กำลังมาแรงมากครับในช่วงนั้น ซึ่งผู้ก่อตั้งบริษัทเคยทำงานเป็นวิศวกรให้กับ Apple โดยทาง Microsoft ได้ซื้อบริษัทดังกล่าวมาด้วยเงิน 425 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
โดย ณ เวลานั้น WebTV ดังกล่าวมีผู้เป็นสมาชิกอยู่ 150,000 คนครับ โดยนอกจากบริการพื้นฐานที่มีการมอบ Set-top box ให้กับผู้ใช้แล้ว เจ้ากล่องรับสัญญาณตัวนี้ยังมาพร้อมกับความสามารถที่จะทำให้ผู้ใช้เข้าเว็บต่างๆได้รวมทั้งเช็คอีเมล์ผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ได้เลย คือพูดง่ายๆว่าไอเดียของเจ้า WebTV คือการมอบหนทางเข้าสู่อินเทอร์เน็ตให้กับผู้ใช้ที่คิดว่า PC ยังไม่มีความจำเป็นมากพอกับการดำรงชีวตในช่วงนั้น
และแน่นอนว่าตอนนั้น Microsoft ได้เริ่มคิดแล้วครับว่า อินเทอร์เน็ตตจะกลายเป็นอะไรที่เปลี่ยนโลกได้ในอนาคต ทำให้ Microsoft หันมาสนใจกับการพัฒนาซอฟท์แวร์อย่าง Windows ให้มีความสามารถรองรับการทำงานร่วมกับอินเทอร์เน็ตได้ดีขึ้น ซึ่งในการประกาศเข้าซื้อบริษัท WebTV ดังกล่าว Microsoft ได้กล่าวออกมาด้วยว่า บริษัทจะทำการใส่ Windows และ Internet Explorer ลงไปในอุปกรณ์ดังกล่าว
และถึงแม้ว่า WebTV จะไม่ใช่อุปกรณ์ที่นำมาซึ่งความสำเร็จมากมายเท่าไรนัก แต่ในปี 2001 มันก็ได้รับการ Rebranded ใหม่ให้กลายมาเป็น MSN TV โดยจะรองรับการใช้งาน MSN Messenger รวมทั้งการใช้งาน Hotmail ด้วยครับ แต่ในท้ายที่สุดปี 2013 ทาง Microsoft ก็ได้ปิดบริการนี้ลง
แต่มรดกประสบการณ์จาก WebTV ก็ไม่ได้ไปไหนไกลนะครับ เพราะสิ่งเหล่านั้นได้ถูกย้ายไปพัฒนาให้กับอุปกรณ์อย่าง Xbox, Xbox 360 และ Xbox One ออกมานั่นเองครับ
การมาของ Xbox จากความกังวล
สำหรับ Xbox นั้นในตอนแรก Microsoft ได้ปล่อยมันออกมาเนื่องจากความกังวลครับ เพราะ PlayStation2 เป็นอะไรที่มาแรงมากทีเดียว และนั่นอาจจะทำให้เหล่านักพัฒนาเริ่มหันหน้าหนีจากการพัฒนาเกมส์สำหรับ Microsoft ไปก็เป็นได้
และ Xbox นั้นต้องบอกเลยว่าถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี DirectX แบบเดียวกับที่ใช้งานกับเกมส์ใน Windows ครับ เพียงแต่มันถูกสร้างออกมาให้เราไม่รู้สึกว่ามันเป็น “Windows” เลยเท่านั้น นอกจากนี้ Microsoft ยังทำให้เหล่านักพัฒนาได้มีความสุขกับการพัฒนาเกมส์อีกด้วย หรือพูดง่ายๆว่าทำให้เหล่านักพัฒนาสามารถวาด Roadmap ในการทำให้สิ่งต่างๆในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์ได้อีกครั้งนั่นเองครับ
ซึ่งจริงๆแล้วสำหรับตลาดวิดีโอเกมส์นั้นมันไม่ได้เป็นอะไรที่สามารถเข้าไปได้ง่ายๆเลยนะครับ แต่อย่างไรก็ตามเจ้า Xbox ก็สามารถทำมันได้สำเร็จ ยืนยันกันด้วยยอดขายไปกว่า 24 ล้านเครื่องในเวลานั้น
หลังจากนั้น Microsoft ก็ได้ปล่อยเจ้า Xbox 360 ตามมา ซึ่งก็ถือเป็นเครื่องเล่นที่เริ่มมีการใส่แอพเกี่ยวกับวิดีโอเข้าไปเพิ่มแล้วอย่างเช่นพวก Netflix และ Hulu ครับ และต้องชื่นชม Microsoft ตรงจุดนี้ว่า ในการขาย Xbox 360 เป็นการขายเครื่องเล่นเกมส์ที่มีศูนย์รวมมัลติมีเดียต่างๆอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งถือเป็นข้อดีที่ทำให้ผู้ใช้เริ่มมองว่า Xbox เป็นอะไรที่มากกว่าเครื่องเล่นเกมส์ทั่วไปนั่นเอง อีกทั้งใน Xbox 360 ยังมาพร้อมกับ Internet Explorer ซึ่งเหมือนว่าจะกลับไปใช้คอนเซปต์เดียวกับ WebTV ก่อนหน้านี้ครับ
และอีกครั้งครับที่เจ้า Xbox 360 ได้เอาชนะคู่แข่งอย่าง Sony PlayStation 3 ไปได้ ต้องเรียกว่าเป็นชัยชนะแบบลากยาวทั้งปีเลย โดย Xbox 360 มียอดขายทั้งหมดอยู่ที่ 84 ล้านเครื่องซึ่งถือเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดของตระกูล Xbox ในขณะนั้นด้วยครับ
แต่อย่างไรก็ตามนี่ก็ยังไม่ใช่ TV ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows อย่างที่ Microsoft ได้หวังไว้มาแสนนานอยู่ดี
การมาของ Xbox One
สำหรับการมาของ Xbox One ที่ปล่อยออกมาในปี 2013 นั้น การพัฒนาของเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้เรียกได้ว่าเป็นความมั่นใจในอุตสาหกรรมเกมส์ของ Microsoft อย่างมากครับ แต่ดูเหมือนมันจะมากเกินไปจนทำให้เหล่าผู้ที่เคยใช้ Xbox 360 รู้สึกว่าเจ้า Xbox One นั้นเป็นอะไรที่แปลกแยกไปเลยทีเดียว
คือ Xbox One จำเป็นที่จะต้องมีการตรวจจับการเคลื่อนไหวและนั่นก็ทำให้เจ้า Xbox One มีราคาที่สูงกว่า Sony PlayStation 4 ถึง 100$ ครับ และด้วยความที่ Xbox One มีราคาสูงขึ้นทาง Microsoft จึงได้ให้เหตุผลเอาไว้แบบนี้ครับว่า ระบบใหม่รวมกับเจ้า Kinect จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนใน Xbox รุ่นก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นเกมส์หรือรายการทีวีคุณจะสามารถออกแอคชั่นร่วมกับมันได้นั่นเองครับ นอกจากนี้มันยังมาพร้อมกับ Bing และ Internet Explorer อีกด้วย
ดูจะเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยครับสำหรับไอเดีย Xbox One แต่มันกลับไม่ได้ทำให้เหล่าเกมเมอร์ทั้งหลายชื่นชอบเท่าไรน่ะสิครับ ทำให้หลังจากนั้น 6 เดือนทาง Microsoft จึงได้ขีดฆ่าเจ้า Kinect ออกไปจากความต้องการของ Xbox One และเริ่มวางขายอุปกรณ์ที่ไม่มีเซนเซอร์ดังกล่าวด้วยราคาที่ดูดีกับผู้ใช้มากกว่าเดิมโดยวางขายอยู่ที่ 399$ แทนครับ
แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนมันจะสายเกินไปที่จะหยุดดราม่าของเจ้า Kinect ไว้ได้ครับ เพราะด้วยเหตุผลที่ราคาแพงนี่แหละครับ ทำให้ PlayStation 4 มียอดขายไปเกือบ 25 ล้านเครื่องแล้ว แต่ Xbox One กลับทำไปได้เพียงเกือบๆ 14 ล้านเครื่องเท่านั้น ทั้งนี้นอกจากที่ Kinect จะเป็นดราม่าเรื่องของราคาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งก็คือไม่มีนักพัฒนาคนไหนต้องการที่จะพัฒนาเกมส์ให้กับ Accessory ที่คนส่วนมากไม่มีกันหรอกครับ
แต่นั่นก็ไม่ได้หยุด Microsoft ไว้ได้ครับ เพราะอีกครั้งสำหรับความพยายาม โดยทาง Microsoft จะปล่อยให้ Xbox One ที่จำหน่ายไปกว่า 14 ล้านเครื่องนั้นสามารถอัพเกรดเป็น Windows 10 ได้ในเดือนกันยายนนี้ผ่านการดาวน์โหลดซอฟท์แวร์อัพเดท และนั่นก็หมายความว่าจะมี Windows PC อีก 14 ล้านเครื่องที่จะกลายเป็นเครื่องที่เหมาะกับทั้งการทำงาน เล่นเกมส์หรือท่องเว็บ ซึ่งๆดูๆไปแล้วก็กลับไปคล้ายกับ WebTV ในปี 1997 อีกแล้วครับ
สงครามกำลังจะมาถึง
ใช่แล้วครับ ผู้บริโภคอย่างเราๆกำลังจะต้องเลือกแล้วระหว่าง Apple TV ตัวใหม่และ Xbox One ตัวใหม่ ซึ่งจริงๆแล้วทั้งสองสิ่งนี้น่าจะเป็นอะไรที่มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควรครับ
เพราะทาง Apple TV หากว่าสามารถเชื่อมต่อกับ App Store ได้อย่างเต็มรูปแบบ นั่นก็จะทำให้แอพต่างๆเข้ามาอุดช่องว่างที่เคยมีใน Apple TV ไปได้ดีทีเดียว และนั่นก็จะยิ่งทำให้ App Store กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่าแพล็ตฟอร์มไหนๆเข้าไปมากขึ้นอีก
แต่ในส่วนของ Xbox One นั้นก็มาพร้อมกับเกมส์ใหญ่ๆหลายเกมส์ รวมทั้งบริการอย่าง Xbox Live Online Gaming และ Windows 10 ซึ่งถึงแม้ว่า Apple จะทำได้ดีในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง แต่เกมส์ใน Xbox ก็ยังเป็นอะไรที่ดูจะเฉียบกว่าครับ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าตอนนี้ Apple TV ได้มีการจับมือกับช่องเคเบิ้ลดังๆอย่าง HBO และ Showtime ที่ต้องบอกว่าไม่เลวเลย
หากว่าครั้งนี้ Microsoft ไม่สามารถขาย Xbox One ที่ทำการอัพเกรดเป็น Windows 10 ได้ ความพยายามที่เหมือนกับการปีนขึ้นเขามาตลอด 17 ปีของ Microsoft ก็จะกลายเป็นอะไรที่ไม่มีความหมายอีกต่อไป
และหากว่า Apple TV ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรไปจากประวัติศาสตร์เดิมของบริษัทได้ นั่นก็หมายความว่าไอเดียในการจับคอมพิวเตอร์ยัดลงไปในโทรทัศน์ก็เป็นอะไรที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นแล้วนั่นเองครับ
ที่มา : businessinsider