ที่งาน WWDC 2023 ในที่สุดเราก็ได้เห็นอุปกรณ์ใหม่ “Apple Vision Pro” ซึ่งเป็นชุดแว่นตาสวมใส่เพื่อการทำงานในรูปแบบ VR และ AR หรือที่เราเรียกกันว่าอุปกรณ์โลกเสมือน XR อุปกรณ์นี้นับเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ชิ้นแรกของ Apple นับตั้งแต่ปี 2015 ที่ได้เปิดตัว Apple Watch ออกมานั้นเองครับ
โดยที่อุปกรณ์ Apple Vision Pro จะเปิดจำหน่ายแบบจำนวนจำกัด และมีราคาที่สูงมากทีเดียว กับค่าตัวราว $3,499 หรือประมาณ 121,000 บาท โดยจะมีการวางจำหน่ายภายในปี 2024 โน้นเลยครับ
Apple ไม่ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่บ่อยเกินไป ส่วนใหญ่แล้วเราจะเห็นการเปิดตัวอุปกรณ์ณุ่นใหม่จากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม แต่วันนี้ Apple ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นชุดสวมใส่ศีรษะ XR หรืออุปกรณ์แว่นตาที่มีความสามารถของการทำงานแบบ VR และ AR ร่วมกันในตัวเอง
การออกแบบ Apple Vision Pro
อุปกรณ์แว่นตาสวมใส่รุ่นแรกจาก Apple จะไม่เหมือนแว่นตาอื่นๆ ในท้องตลาด อย่างที่คาดกันไว้ตามลักษณะนิสัยของ Apple และด้วยความเป็น Apple พวกเขาก็ไม่ได้เรียกอุปกรณ์ตัวนี้ว่า AR/VR headset หรืออุปกรณ์ XR ตามปกติ แต่เรียกมันว่า spatial computer
แต่ไม่ว่ามันจะถูกเรียกอย่างไรก็ตาม การทำงานหลักของมันก็อยู่ในรูปแบบแว่นตาสำหรับการใช้งานในลักษณะของ AR และ VR นั้นเอง
Apple Vision Pro ถูกทำขึ้นโดยไม่ได้เน้นการทำราคาให้เข้าถึงง่าย ด้านหน้าตัวแว่นตาจะกระจก 3D-cut ตัดขึ้นรูปชิ้นเดียว เสริมด้วยวัสดุอะลูมิเนียมที่เพิ่มความมีระดับ และภายในบุผ้าที่ Apple ได้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สวมใส่ได้สบาย
ที่น่าตื่นเต้นและแตกต่างในเรื่องของการออกแบบ คือภายใต้กระจกด้านหน้าเราจะพบจอแสดงผลที่จะคอยแสดงดวงตาของผู้สวมใส่อยู่ตลอดเวลา โดยใช้กล้องและเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ภายในที่ Apple เรียกคุณสมบัตินี้ว่า EyeSight สิ่งนี่มันทำให้ Vision Pro มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากไม่มีผลิตภัณฑ์อื่นใดในตลาดที่มีคุณลักษณะพิเศษนี้
โดยกล้องภายในจะรวมเอา Optic ID ใส่เอาไว้ด้วย สิ่งนี้จะทำงานเหมือนกับระบบ Face ID แต่จะใช้แค่ดวงตาของคุณเพื่อยืนยันตัวตนแทนใบหน้า
ภายจากกล้องภายใน จะถูกส่งไปยังจอแสดงผลด้านหน้า เพื่อทำหน้าที่เป็นใบหน้าแสดงอารมณ์ให้คนภายนอกได้เห็นสีหน้าของผู้สวมใส่ ใช้สำหรับการโต้ตอบพูดคุยกันแบบตัวต่อตัวที่ยังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นแม้ผู้สวมใส้ยังไม่ได้ถอดแว่นตา (แต่ในเรื่องมารยาทก็ยังควรถอดออกนะ) และผู้สวมใส่เองก็สามารถสลับมุมมองเพื่อให้มองเห็นโลกภาพนอกรอบตัวพวกเขาด้วยกล้องภายนอกได้ด้วยเช่นกัน
กล้องภายนอกจะเป็นตัวสำคัญของอุปกรณ์ ที่ทำให้ผู้สวมใส่สามารถใช้คุณสมบัติความเป็นจริงเสริม (AR) เพื่อมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวในโลกความเป็นจริงร่วมไปกับสิ่งที่โปรแกรมสร้างขึ้นมา และสามารถสลับกลับไปยังโลก VR ได้โดยใช้สวิตช์ที่ด้านนอกของชุดหูฟัง สิ่งนี้สร้างการเปลี่ยนเฟดการทำงานที่ราบรื่นระหว่างสองโหมด เพื่อช่วยลดอาการสับสนและมึนงงของผู้สวมใส่
อีกหนึ่งความแตกต่างของ Vision Pro คือ Apple จะไม่ได้รวมชุดแบตเตอรี่เอาไว้ในตัวแว่นตาโดยตรง แต่จะแยกตัวแบตเตอรี่ให้พกพาต่างหาก โดยแบตจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เอาไว้ด้วยสายเคเบิล และผู้ใช้จะต้องพกพาก้อนแบตติดตัวไปด้วย ไม่ว่าจะใส่ในกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋าพกพาอื่นๆ
นี่คือสิ่งที่เราไม่เห็นในตลาดมากนักสำหรับอุปกรณ์แว่นตาสวมใส่ขนาดเล็ก แต่ก็จะได้ประโยชน์จากการแยกแบตเตอรี่ออกจากตัวแว่น คือน้ำหนักของสิ่งที่คุณสวมบนศีรษะลดลงอย่างมาก ทำให้การใช้งานที่ยาวนานมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการพกพาก้อนแบตเตอรี่แยกและเชื่อมต่อกันเอาไว้ด้วยสายไฟนั้น อาจสร้างความรำคาญหรือรู้สึกเกะกะได้เช่นกัน
โดยตัวแบตเตอรี่ภายนอกที่นำมาใช้งานร่วมกัน จะสามารถทำงานได้ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่จะสามารถเสียบกับปลั๊กไฟได้โดยตรงเพื่อการทำงานต่อเนื่องตลอดทั้งวัน
คุณอาจสงสัยว่า แล้วตัวคอนโทรลเลอร์ควบคุมหน้าตาเป็นอย่างไร? ซึ่งคำตอบในตอนนี้ทาง Apple จะไม่มีการออกตัวควบคุมพิเศษเฉพาะของอุปกรณ์นี้ออกมา โดยฟังก์ชันทั้งหมดของ Vision Pro จะถูกควบคุมด้วยระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือ คำสั่งเสียง และการตรวจจับดวงตาของคุณ อย่างไรก็ตามหากคุณต้องการเล่นเกม คุณยังสามารถซิงค์คอนโทรลเลอร์สำหรับเล่นเกม “ปกติ” และใช้สิงนั้นควบคุมเกมได้เช่นกัน
ข้อมูลจำเพาะและคุณสมบัติ
Vision Pro เป็นชุดสวมใส่ที่ทำงานได้แบบสแตนด์อโลน ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์เพื่อการใช้งาน
อุปกรณ์ใช้จอแสดงผลภายในรองรับเอาต์พุต 4K สามารถชมภาพยนตร์ 3D ที่รองรับ 3D เต็มรูปแบบ ถูกขับเคลื่อนด้วยโปรเซสเซอร์ M2 แบบปรับแต่ง และชิปใหม่ Apple R1 ซึ่งเป็นตัวประมวลผลในด้านเซ็นเซอร์และช่วยให้การแสดงผลเกิดความแม่นยำมากที่สุด
กล้องทั้งหมด 12 ตัว, เซนเซอร์ 5 ตัว และไมโครโฟนอีก 6 ตัว
นับเพียงแค่ใช้ M2 ตัวเดียวก็เรียกได้ว่า Vision Pro เป็นชุดหูฟัง XR แบบสแตนด์อโลนที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดได้แล้ว และชิป M2 ยังทำให้การทำงานของแว่นตาตัวนี้ สามารถเข้ากันได้ดีกับแอพและบริการส่วนใหญ่ที่เราเคยใช้บน iPad และ iPhone และรวมถึงผู้ช่วยส่วนตัว Siri ด้วยเช่นกัน
ที่น่าสนใจคือ เนื่องจากอุปกรณ์ทาง Apple มีความพยายามทำให้ตัวแว่นตามีความหนาให้น้อยมากที่สุด มันจึงไม่เหลือพื้นที่ด้านในให้สามารถสวมแว่นสายตาในขณะใช้ Apple Vision Pro ได้ นี่จะเป็นหนึ่งอุปสรรคในการใช้อย่างไม่ต้องสงสัยสำหรับผู้ที่ต้องการลองใช้และไม่ต้องการที่จะสวมใส่คอนเทคเลนส์ในชีวิตประจำวัน
ในด้านเสียง ตัวแว่นตาจะมีลำโพงที่อยู่ใกล้กับขมับของผู้ใช้ สิ่งนี้ช่วยให้เราใช้อุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องต่อหูฟัง และยังคงรองรับระบบเสียงเชิงพื้นที่ อย่างไรก็ตามคุณยังสามารถซิงค์ระบบเสียงเข้ากับ AirPods ได้
Vision Pro ยังเป็นอุปกรณ์ที่ถูกติดตั้งกล้อง 3 มิติตัวแรกของ Apple กดปุ่มที่ด้านนอก ตัวอุปกรณ์จะเริ่มจับภาพหรือวิดีโอแบบ 3 มิติ ซึ่งคุณสามารถดูวีดีโอที่บันทึกภายหลังได้ในรูปแบบ 3 มิติ โดยที่วิดีโอและรูปภาพที่คุณถ่าย จะถูกซิงค์กับ Apple ID ของคุณ ดังนั้นงสามารถดูและแชร์ออกไปให้ผู้อื่นได้เหมือน iPhone
การใช้งานและแอปพลิเคชั่นที่รองรับ
อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของ Apple ก็น่าจะเป็นปัญหาเดียวกันกับอุปกรณ์สวมใส่ตัวอื่นๆ คือการหาวิธีโน้มน้าวผู้บริโภคให้อยากมาลองสัมผัสกับอุปกรณ์ใหม่ตัวนี้ แม้มองว่าการที่ Apple ตั้งราคาขายไว้สูง และมีการขายในจำนวนที่จำกัด อาจจะหมายถึงความคาดหวังในด้านปริมาณที่ไม่มากนักอยู่แล้วของ Apple
อันที่จริงเหตุผลหลักที่ผู้คนซื้อชุดแว่นตาทั้ง XR และแว่นตา VR ยังคงเป็นเรื่องของเกม ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้ยังดูเป็นอุปกรณ์เฉพาะกลุ่ม แต่จากการเปิดตัวทำให้เราได้รู้ว่า Apple ไม่ได้วาง Vision Pro เป็นอุปกรณ์เฉพาะกลุ่มหรือเด่นที่ด้านการเล่นเกม แต่เป็นอุปกรณ์ที่มีการทำงานได้หลายแง่มุม ซึ่งรวมถึงการใช้งานในด้านธุรกิจ เช่นใช้การประชุมผ่านวิดีโอ รวมถึงรองรับการ FaceTime เป็นต้น คุณจะสามารถจัดการประชุม FaceTime โดยจะมาพร้อมบรรยากาศห้องประชุมเสมือนจริง และกระดานไวท์บอร์ดเสมือนจริง สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ในด้านธุรกิจรู้สึกเหมือนอยู่ในที่เดียวกัน อย่างไรก็ตามเรื่องนี่ไม่ใช่สิ่งใหม่ เพราะทางบริษัท Meta เองก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนผู้ใช้ของเขาที่มีอยู่จำนวนไม่น้อย ให้หันมาสนใจการใช้งานในลักษณะนี้ได้
แต่ก็จะรองรับงานด้านความบันเทิง เช่นเกม การสตรีมวิดีโอ ซึ่งน่าจะเป็นความสนใจหลักของผู้บริโภค ในการใช้งานบนโลก XR คุณสามารถโยนการทำงานของแอปไปวางไว้ได้ทุกที่ภายในขอบเขตการมองเห็น มองเห็นจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่เพื่อการรับชมภาพยนตร์หรือเล่นเกมได้ทุกที่ที่คุณอยู่
และสิ่งที่ Apple มีเป็นจุดขาย คือ Vision Pro สามารถรองรับแอพ iPhone/iPad ส่วนใหญ่ได้ ซึ่งหมายความว่า Vision Pro จะสามารถทำได้หลายอย่างที่ iPad ของคุณทำได้ โดยใช้ระบบปฏิบัติการที่เปิดตัวใหม่ที่มีชื่อว่า visionOS โดยจะมีแอปสโตร์ที่ออกแบบมาเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ
ราคาและการวางจำหน่าย Apple Vision Pro
ชุดแว่นตาสวมใส่ Apple Vision Pro จะเริ่มต้นที่ 3,499 ดอลลาร์ นับว่าเป็นราคาที่แพงโดดมากสำหรับอุปกรณ์ชนิดนี้
ถ้าเทียบราคากับสินค้ากลุ่มเดียวกัน ที่เน้นจำนวนผู้บริโภครุ่นใหม่ล่าสุดจาก Meta นั้นก็คือ Quest 3 ซึ่งจะมีาคาเริ่มต้นที่ 499 ดอลลาร์ หรือแค่ประมาณ 1 ใน 7 ของราคา Apple Vision Pro และแม้แต่รุ่น Meta Quest Pro ที่ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับองค์กรก็ยังมีราคาที่ถูกกว่าถึง 2000ดอลล่าห์
เรื่องราคาจะทำให้ Vision Pro ขายยากมากสำหรับผู้ซื้อทั่วไป และหากคุณสนใจที่จะซื้อ คุณก็ยังจะต้องมีโชคอย่างมาก โดยจะมีการเปิดขายในปี 2024 และก็จะมีจำนวนจำกัดมากด้วยเช่นกัน นี่จึงจะเป็นหนึ่งในไอเทมในฝัน ที่แฟนๆ Apple อยากจะมีไว้ครอบครองกันอย่างแน่นอน