Apple Watch Series 4 นั้นมาพร้อมกับกับหนึ่งความสามารถใหม่ที่ใช้สำหรับการตรวจจับการวูบล้มหรือหมดสติ โดยเรียกฟังก์ชั่นนี้ว่า Fall Detection ซึ่งหลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าฟังก์ชั่นใหม่นี้จะใช้งานอย่างไร และจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนที่เรารักได้มากแค่ไหน วันนี้ APPDISQUS จะพาไปทำความเข้าใจการใช้งานฟังก์ชั่นนี้กันให้มากขึ้น
เกณฑ์เรื่องอายุ : เปิดใช้งานอัตโนมัติเมื่อผู้สวมใส่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ต่ำกว่านั้นต้องเข้าไปเปิดใช้งานเองในการตั้งค่า
ก่อนอื่นเลยต้องอธิบายก่อนว่า Fall Detection หรือการตรวจจับการวูบล้มนี้จะถูกเปิดใช้งานเป็นค่าพื้นฐานเฉพาะกับผู้สวมใส่ Apple Watch Series 4 ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเท่านั้น ทั้งนี้เพราะจากการศึกษาแล้ว Apple พบว่าผู้ใช้ในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษในเรื่องของการวูบหมดสติหรือการหกล้มเสียหลักมากที่สุด แต่สำหรับคนที่ยังอายุไม่ถึง 65 ปีก็สามารถเข้าไปเปิดใช้งานฟังก์ชั่นนี้ได้ง่ายๆ ที่การตั้งค่าของแอพพลิเคชั่น Watch บน iPhone ของเรา
โดยผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปีสามารเข้าไปเปิดได้จากแอพพลิเคชั่น Watch > Apple Watch ของฉัน > SOS ฉุกเฉิน > เลือกเปิดการตั้งค่า Fall Detection เพียงเท่านี้ก็จะสามารถใช้งานการแจ้งเตือนเมื่อเกิดการวูบล้มได้แล้ว (โดยในเมนูการตั้งค่านี้ยังสามารถกำหนดเบอร์ฉุกเฉินของคนในครอบครัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาเพื่อให้ Apple Watch Series 4 ส่งข้อความหาโดยอัตโนมัติได้อีกด้วย)
การตรวจจับการวูบหรือลื่นลม หรือ Fall Detection คืออะไร
Apple Watch Series 4 นั้นใช้ความสามารถของเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่มีการเพิ่มเข้ามาในฮาร์ดแวร์เวอร์ชันนี้ บวกกับการศึกษาและวิจัยของ Apple เองเพื่อการจำแนกรูปแบบการหกล้มออกมาเพื่อตรวจสอบว่าการหกล้มประเภทไหนคือการหกล้มที่อันตราย หรือเรียกว่าวูบล้มแบบฉับพลัน โดยหากผู้สวมใส่ Apple Watch Series 4 มีการเสียหลักล้มลง Apple Watch ก็จะส่งสัญญาณเตือนเสียงดังมากเพื่อให้คนรอบข้าง (ในกรณีที่มีคนอยู่ด้วย) ได้ยินและรับรู้ถึงสถานการณ์ผิดปกติ ในขณะเดียวกันผู้สวมใส่ก็จะรับรู้ได้ถึงแรงสัมผัสโดยการสั่นเบาๆ บนข้อมือ พร้อมกับให้เลือก 3 ตัวเลือกว่าต้องการทำอะไรต่อ โดย 3 ตัวเลือกนั้นมีดังนี้
- ติดต่อเบอร์บริการฉุกเฉิน
- ยกเลิกการแจ้งเตือนเพราะเพียงแค่หกล้มธรรมดาเท่านั้นและไม่ได้เป็นอะไรมาก ยังสามารถลุกขึ้นยืนเองได้ไหวอยู่
- ยกลงการแต้งเตือนเพราะระบบตรวจจับผิดพลาดและผู้สวมใส่ไม่ได้ล้มลงจริงๆ (ซึ่ง Apple ก็จะเอาลักษณะข้อมูลที่ได้จากจำพวกนี้ไปศึกษาเป็นสถิติต่อไป)
เข้าใจในวิธีการตรวจจับและการแจ้งเตือนให้มากยิ่งขึ้น
Apple นั้นมีวิธีการจำแนกความอันตรายและสิ่งที่ต้องทำต่อไปโดยการดูจากลักษณะและอาการของผู้สวมใส่ที่หกล้มลงเป็นหลัก โดยจะแบ่งการทำงานออกเป็นขั้นตอนตามต่อไปนี้
หากผู้สวมใส่ Apple Watch Series 4 ล้มลง และไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ เป็นเวลา 1 นาทีติดต่อกัน Apple Watch จะเริ่มนับถอยหลัง 15 วินาที และเมื่อครบ 15 วินาธี Apple Watch จะส่งเสียงเตือนที่ดังมากเพื่อให้คนรอบข้างได้ยิน นอกจากนี้ยังจะส่งข้อความไปยังเบอร์ติดต่อฉุกเฉินที่ผู้สวมใส่ Apple Watch ตั้งค่าไว้ใน “ID ทางแพทย์” หรือ “Medical ID” ด้วย (โดยตั้วค่าได้จากแอพพลิเคชั่น “สุขภาพ” จากนั้นไปยังเมนู “ID ทางการแพทย์” ซึ่งอยู่ด้านล่างขวามือสุดของจอ) เพื่อแจ้งเตือนบุคคลในเบอร์ติดต่อฉุกเฉินว่าผู้สวมใส่ Apple Watch Series 4 นั้นวูบล้มลงและไม่ได้สติ จากนั้น Apple Watch ก็จะทำการโทรหาเบอร์บริการฉุกเฉินทางการแพทย์เองโดยอัตโนมัติต่อไป
ในกรณีที่ Apple Watch Series 4 ตรวจจับความเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่หลังจากที่หกล้มลงได้ และประเมินว่าผู้สวมใส่ยังคงมีสติอยู่ ตัวเครื่องจะไม่ทำการโทรหาเบอร์บริการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ แต่หากผู้สวมใส่ต้องการติดต่อเบอร์บริการฉุกเฉินแล้วสามารถทำได้ด้วยตัวเองด้วยการลากนิ้วบนหน้าจอลงบนเมนู SOS ฉุกเฉิน บนหน้าจอ Apple Watch ได้ในทันที เพื่อทำการติดต่อบริการฉุกเฉินต่อไป
และนี่คืออีกหนึ่งในความสามารถใหม่บน Apple Watch Series 4 ที่ออกแบบมาเพื่อคนที่เรารักและห่วงใจจริงๆ ที่สำคัญนอกจากเจ้า Fall Detection แล้ว ฟังก์ชั่น ECG หรือ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ที่มีบน Apple Watch Series 4 เป็นครั้งในนาฬิกาที่มีบนโลกใบนี้นั้นยังถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นหัวใจของการอัพเกรดในครั้งนี้ด้วย อย่างไรก็ตามเจ้า ECG นั้นเพิ่งจะผ่านการรับรองแค่ในอเมริกาเท่านั้น และแคนาดาจะเป็นประเทศต่อไป สำหรับประเทศไทยคงต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอนุญาตให้ใช้งานกันอีกครั้งถึงจะสามารถใช้งานฟังก์ชั่นนี้กันได้
Apple Watch Series 4 นั้นเปิดจำหน่ายแล้วในหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 โดยมาในสองขนาดใหม่เป็นครั้งแรกของ Apple Watch ซึ่งคือขนาดหน้าจอ 40มม. และขนาดหน้าจอ 44มม. (เดิม 38มม และ 42 มม.) และเปิดราคาในประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างประเทศสิงโปร์ที่ SG$599 หรือประมาณ 14,200 บาทนั่นเอง