ปีนี้เป็นปีที่ซีรีส์ Samsung Galaxy S รุ่นใหม่ได้เลือกใช้ชิปเซ็ตเป็นรุ่นเดียวกันทั้งหมดที่วางจำหน่ายไปทั่วโลก ไม่มีรุ่นแยกที่ใช้ Exynos อีกต่อไป มีเพียงแต่ Qualcomm Snapdragon เท่านั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า Galaxy S23 จะไม่โดดเด่นกว่าใคร เพราะ Snapdragon 8 Gen 2 ที่นำมาใช้ทำงานภายใน S23 ทั้งหมด คือ “Snapdragon 8 Gen 2 สำหรับ Galaxy” (Snapdragon 8 Gen 2 for Galaxy ) เป็นตัวประมวลผลรุ่นพิเศษ เพราะทั้ง CPU และ GPU ได้ถูกโอเวอร์คล็อกและให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่าโทรศัพท์รุ่นอื่นที่มีชิปเซ็ตเดียวกันในตลาดขึ้นไปเล็กน้อย แต่มันจะสร้างความแตกต่างได้มากแค่ไหน? เรามีผลที่มีการทดสอบจากบริการทดสอบประสิทธิภาพหลายๆ ตัวมาฝากกันครับ
Snapdragon 8 Gen 2 สำหรับ Galaxy ภายใน CPU ติดตั้งหัวประมวลผลแบบเดียวกันกับ Snapdragon 8 Gen 2 รุ่นอื่นๆ ประกอบด้วย 1x Cortex-X3 , 2x Cortex-A715, 2x Cortex-A710 และ 3x Cortex-A510 cores แต่คอร์ Cortex-X3 ซึ่งเป็น Core ตัวหลักนั้นถูกโอเวอร์คล็อกขึ้นไปที่ 3.36 GHz แทนที่จะเป็น 3.2GHz เช่นเดียวกับ GPU – Adreno 740 ที่จะไปทำงานอยู่บนความเร็ว 719 MHz แทนที่จะเป็น 680 MHz ตามปกตินั้นเองครับ
เรามาดูผลการทดสอบของ Snapdragon 8 Gen 2 สำหรับ Galaxy เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นแรงระดับท็อปตัวอื่นๆ กันดีกว่า แต่อย่าลืมว่า Samsung Galaxy S23 Ultra ที่ถูกนำมาทดสอบในเนื้อหานี้ แบกความความชัดของหน้าจอแสดงผลอยู่ที่ระดับ 1440p ซึ่งเป็นความละเอียดที่สูง โดยสมาร์ตโฟนแต่ละรุ่นก็จะมีความละเอียดหน้าจอที่แตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่ที่นำมาทดสอบจะเป็นเครื่องที่ให้หน้าจอระดับ QuadHD ขึ้นไป นอกจาก iPhone 14 Pro Max และ ZTE nubia Red Magic 8 Pro ที่นำมาเทียบด้วยเพราะเป็นตัวแรงประจำ OS ในขณะนี้นั้นเอง
- Samsung Galaxy S23 Ultra : ความละเอียด 1440 x 3088 px
- ZTE nubia Red Magic 8 Pro : ความละเอียด 1116 x 2480 px
- iPhone 14 Pro Max : ความละเอียด 1280 x 2796 px
- Xiaomi 12S Ultra : ความละเอียด 1440 x 3200 px
- Xiaomi 12 Pro : ความละเอียด 1440 x 3200 px
- Samsung Galaxy S22 Ultra : ความละเอียด 1440 x 3088
เริ่มกันที่ผลลัพธ์จากการทดสอบ Geekbench 5 CPU ผลที่ได้ก็มีคำอธิบายว่าทำไม Galaxy S23 Ultra จึงเป็นผู้นำเหนือ nubia Red Magic 8 Pro ในการทดสอบแบบ single-core และตามหลังในการทดสอบแบบมัลติคอร์ นั้นเพราะว่า Cortex-X3 ภายใน S23 Ultra มีการโอเวอร์คล็อกที่สูงกว่าปกตินั้นเองทำให้การทดสอบแบบคอร์เดียวสามารถทำคะแนนได้ดี แต่ในการทดสอบแบบมัลติคอร์กลับได้คะแนนน้อยกว่าเพราะคอร์ Cortex-X3 ไม่ได้ใช้ในการทดสอบแบบมัลติคอร์เป็นตัวหลักนั้นเอง ทำให้ Red Magic 8 Pro มีข้อได้เปรียบเหนือ Galaxy เล็กน้อย
GeekBench 5 (มัลติคอร์) คะแนนยิ่งสูงยิ่งดี
GeekBench 5 (แกนเดียว) คะแนนยิ่งสูงยิ่งดี
ในขณะผลทดสอบของ Galaxy S23 Ultra บน AnTuTu นั้นตามหลัง Red Magic 8 Pro อยู่ แต่เน้นไว้อีกครั้งว่าความละเอียดหน้าจอของ Red Magic 8 Pro อยู่ที่ 1080p+ ซึ่งต้องการพลังประมวลผลด้านกราฟิกที่น้อยลง ท้ายที่สุด AnTuTu 9 เป็นการทดสอบแบบผสม แต่สิ่งที่สังเกตเห็นได้จากทดสอบนี้คือ Snapdragon 8 Gen 2 มีความแรงกว่า Snapdragon 8+ Gen 1 รุ่นเก่า และแรงกว่า A16 Bionic ใน iPhone 14 Pro Max ค่อนข้างมากทีเดียว
AnTuTu 9 ยิ่งสูงยิ่งดี
ผลทดสอบอื่นๆ
GFX Aztek ES 3.1 High (onscreen) ยิ่งสูงยิ่งดี
GFX Aztek ES 3.1 High (offscreen 1440p)
GFX Aztek Vulkan High (onscreen) ยิ่งสูงยิ่งดี
GFX Aztek Vulkan High (offscreen 1440p) ยิ่งสูงยิ่งดี
GFX Car Chase ES 3.1 (offscreen 1080p) ยิ่งสูงยิ่งดี
GFX Car Chase ES 3.1 (onscreen) ยิ่งสูงยิ่งดี
3DMark Wild Life Extreme (offscreen 1440p) ยิ่งสูงยิ่งดี
จากผลทดสอบต่างๆ ก็พูดได้ว่าถ้าเป็นงานที่ต้องใช้ GPU มาก Snapdragon 8 Gen 2 สำหรับ Galaxy จะเป็นผู้ชนะที่ค่อนข้างชัดเจน โดยในการทดสอบแบบ Offscreen (ไม่เกี่ยวกับหน้าจอ) เกือบทั้งหมด Galaxy S23 Ultra สามารถแซงหน้าทำคะแนนได้สูง แต่ผลการทดสอบแบบบนหน้าจออาจจะถูกทำคำแนนได้ดีกว่าโดยโทรศัพท์ที่มีความละเอียดหน้าจอที่ต่ำกว่านั้นเอง ก็สรุปได้ว่า Galaxy S23 Series มีการอัปเกรดด้านการประมวลผลที่เหนือกว่ารุ่นก่อนอย่างมากแบบชัดเจนครับ