เปรียบเทียบ iphone 12 series ต่างกันยังไงบ้าง
ใครกำลังมีความลังเลกับการซื้อโทรศัพท์ไอโฟนอยู่ล่ะก็ วันนี้เราได้เทียบและได้ดึงจุดเด่นของไอโฟน 12 แต่ละ series นี้มาให้ทุกคนได้เลือกตัดสินใจกันแล้วว่า รุ่นไหนตอบโจทย์ที่สุด! ซึ่งขอเกริ่นเลยว่า ความปังของ iPhone 12 นี้ ทุกรุ่นเปิดตัวมาด้วยการรองรับ 5G ซึ่งก็ถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของไอโฟนเช่นเดียวกัน โดยรอบนี้ Apple เขาขนมาให้เลือกถึง 4 รุ่นด้วยกัน ดังนี้ iPhone 12 Mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีฟีเจอร์หลัก ๆ ที่คล้ายกัน แต่ราคามือถือไม่เท่ากัน เพราะอย่างตัวท็อปของ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max เนี่ย เขาก็งัดฟังก์ชั่นเทพ ๆ ใส่เพิ่มเข้าไปอีก ไม่ว่าจะเป็นกล้อง แบตเตอรี่ ความคมชัด ความลื่นไหลในการเล่นเกมต่าง ๆ ในจุดนี้จึงทำให้ราคาของไอโฟนทั้งสองรุ่นนี้จึงมีราคาที่สูงขึ้นนั่นเอง งั้นมาหาคำตอบไปพร้อมกันเลยดีกว่าว่า รุ่นไหนคุ้มและเหมาะกับการใช้งานของคุณที่สุด!
iPhone 12 Mini
credit : unsplash.com
มาเริ่มกันที่น้องเล็กทรงพลังอย่าง iPhone 12 Mini กันเลยดีกว่า ขอเกริ่นก่อนเลยว่าตัวนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบพกโทรศัพท์แบบพอดีมือ กะทัดรัด ไม่ใหญ่เกิน เพราะว่าเขามีขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.4 นิ้ว และในส่วนของแบตเตอรี่มีขนาด 2227 mAh เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยติดโทรศัพท์ ไม่ค่อยติดโชเซี่ยล แม้ว่าตัวเครื่องจะมีขนาดเล็กกว่าไอโฟน 12 รุ่นอื่น ๆ แต่ในด้านของสเปค ต้องขอบอกว่าจัดเต็มสุด ๆ ตั้งแต่ชิปขุมพลัง A14 Bionic ที่จะเน้นเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงานที่สูง แต่ว่าเน้นการใข้พลังงานต่ำลง มาพร้อมหน้าจอ OLED และกล้องหลังที่พัฒนาแบบก้าวกระโดด ที่สำคัญรุ่นนี้ยังคงมีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP68 สามารถทนนํ้าได้สูงสุด 6 เมตร นาน 30 นาที ซึ่งทนได้ที่ความลึกมากกว่า iPhone 11 ถึง 3 เท่าเลยทีเดียว เล็กแต่เจ๋งของจริง! นอกจากนั้นตัวดีไซน์ขอบของ iPhone 12 ทุกรุ่นรวมถึง mini ใช้อะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ซึ่งรับประกันความแข็งแรงและทนทานแน่นอน! โดยมีสีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีดำ, ขาว, (PRODUCT) RED, เขียว และน้ำเงิน ถ้าพูดถึงภาพรวมของ iPhone 12 Mini ทั้งในด้านของสเปคและฟีเจอร์ ก็ไม่ได้แตกต่างจาก iPhone 12 series ตัวอื่นที่แพงกว่ามากเท่าไหร่ ถ้าพิจารณาถึงราคาและสเปคแล้ว iPhone 12 Mini จึงถือเป็นอีกตัวที่น่าโดนมากทีเดียว
iPhone 12
credit : unsplash.com
รุ่นนี้ถือเป็น series หลักของ iPhone 12 เพราะเขามาพร้อมฟีเจอร์หลักอย่าง A14 Bionic รองรับสัญญาณ 5G แล้ว ยังมาพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR พาแนล OLED กับความกว้างหน้าจอที่มีขนาดพอดีที่ 6.1 นิ้ว ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไป จับใช้งานได้อย่างพอดีมือ สำหรับเลนส์กล้องจะมาพร้อม 2 เลนส์ คือ เลนส์กว้าง ความละเอียด 12MP และเลนส์กว้างพิเศษ ความละเอียด 12MP ส่วนกล้องหน้าจะมีเลนส์เดียว ความละเอียด 12MP ซึ่งเหมาะกับคนที่ไม่ได้เน้นใช้งานกล้องมากนัก แต่ก็ยังสามารถใช้ถ่ายได้ทั่วไป จะลงไอจี ลงเฟสบุ๊คก็ยังเลิศอยู่! พูดถึงแบตเตอรี่กันบ้าง ทาง Apple เขาเคลมมาว่า iPhone 12 จะมีแบตเตอรี่ที่เยอะกว่า iPhone 12 Mini เล็กน้อยเท่านั้น ทำให้หลายคนอาจจะกังวลใจได้ว่า ถ้าใช้งาน 5G แบบเต็มสตรีม แบตจะหมดเร็วหรือเปล่า ? อย่างไรก็ตาม สเปคของ iPhone 12 จัดว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดีที่สุดเลย เมื่อเทียบกับมือถือรุ่นอื่น ๆ ในปัจจุบัน โดยมีสีให้เลือกเหมือน iPhone 12 Mini คือ สีดำ, ขาว, (PRODUCT) RED, เขียว และน้ำเงิน
iPhone 12 Pro
credit : unsplash.com
ความปังของ iPhone 12 Pro ได้ยินคำว่าโปร ก็ต้องเป็นที่รู้กันแน่นอนว่า ต้องมีอะไรเทพ ๆ เพิ่มเข้ามาจาก series ก่อน ๆ แน่นอน ซึ่งความเทพแรกที่จะพูดถึงก็คือ กล้องหลังที่มาพร้อมเทคโนโลยี LiDAR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นาซ่านำมาใช้ในการสแกนพื้นที่เพื่อลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคาร นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ได้แก่ เลนส์กว้าง, เลนส์กว้างพิเศษ และเลนส์เทเลโฟโต้ ความละเอียด 12MP ทำให้การถ่ายภาพกลางคืน รูปที่ออกมาจะสว่างและสวยกว่าไอโฟนรุ่นก่อน ๆ แน่นอน อีกทั้งยังมีระบบกันสั่นที่ช่วยให้การจับภาพมีความชัดเจนมากขึ้นอีกด้วย ใครสายถ่ายรูป ต้องเลิฟสิ่งนี้! ในส่วนของหน้าจอ เขาจะใช้หน้าจอ Super Retina XDR พาแนล OLED เช่นเดียวกัน โดย iPhone 12 Pro จะมีขนาดอยู่ที่ 6.1 นิ้ว ถือว่าเป็นขนาดที่เหมาะกับคนชอบโทรศัพท์ขนาดใหญ่ ดูซีรี่ส์ เล่นเกมได้แบบจุใจไปเลย อีกเรื่องที่หลายคนถาม คือ แบตเตอรี่ ซึ่งขนาดเขาให้มาที่ 2815 mAh ก็เรียกได้ว่ายังถือว่าเล็กอยู่ ถ้าเทียบกับฟีเจอร์เทพ ๆ ที่ให้มา นอกจากดีไซน์ที่สวยงามของตัวเครื่องแล้ว สีที่เปิดตัวออกมาก็เรียบหรูพรีเมี่ยมมาก นั่นก็คือ สีเงิน, กราไฟต์, ทอง และแปซิฟิกบลู
iPhone 12 Pro Max
credit : unsplash.com
มากันถึงซีรี่ส์ที่ปังที่สุดอย่าง iPhone 12 Pro Max แล้ว จัดเป็นตัวท็อปที่สุดของซีรี่ส์นี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งทั้งสี ดีไซน์และฟีเจอร์รวม ๆ ก็จะเหมือน iPhone 12 Pro เลย แต่ขนาดเครื่องจะมีขนาดใหญ่กว่า จะอยู่ขนาดที่ 6.7 นิ้ว เรียกได้ว่าถือเป็นรุ่นที่มีจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ Apple เคยทำมา ในส่วนของกล้องก็มี 3 เลนส์หลักเหมือน 12 Pro แต่เซ็นเซอร์ของ Pro Max จะใหญ่กว่าของ 12 Pro ธรรมดา ทำให้ถือได้นิ่งมากขึ้น แถมยังถูกอัปเกรดกล้องใหม่ โดยกล้องหลักมีพิกเซลใหญ่ขึ้น รูรับแสงที่กว้างขึ้นถึง f/1.6 รองรับ Apple ProRAW และบันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 60fps เพราะฉะนั้น เวลาถ่ายภาพตอนกลางคืน จะเห็นได้ชัดเลยว่า Noise ลดลงไปได้อย่างเห็นได้ชัดเลย ขอสรุปไฮไลท์ของ iPhone 12 Pro Max แบบรวบรัดเลยว่า นอกจากฟังก์ชั่นเทพ ๆ และดีไซน์ที่ออกแบบมาได้ไฮโซหรูหรากว่าเดิมแล้ว จอแสดงผลชนิด OLED ยังเป็นจอที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ไอโฟนมีมา พร้อมกับระดับเสียงของลำโพงที่ดังขึ้นกว่าในรุ่นก่อน ๆ ในด้านของกล้องก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ เอาเป็นว่าเพิ่มเงินอีกนิดหน่อย ก็ได้สุดยอดโทรศัพท์มือถือในศตวรรษนี้มาครอบครองแล้ว
เห็นแบบนี้ใครยังเล็งอยู่ คงตัดสินใจได้ง่ายแล้วว่า iphone 12 series ไหนที่ตอบโจทย์ที่สุด ซึ่งตรงนี้ก็ต้องบอกว่าหากใครไม่มีปัญหาเรื่องงบ ก็จัดตัวท็อปอย่าง iPhone 12 Pro Max ไปเลย เพราะสเปคที่ได้มานี่ เรียกได้ว่าจัดเต็มจริง ๆ จ่ายครั้งเดียว ใช้ได้ยาว ๆ แต่ใครไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น iPhone 12 Mini ก็ถือเป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับคนที่เน้นโทร หรือซื้อมาปล่อยเน็ตผ่านซิมเทพ อีกทั้งฟังก์ชั่นหรือสเปคต่าง ๆ ก็จะคล้าย ๆ เลย อย่างไรก็ตาม หลังจากเลือกรุ่นได้แล้ว ก็อย่ามองข้ามเรื่องความจุด้วย เนื่องจากการใช้งานของคนเราไม่เหมือนกัน สำหรับบางคนสายถ่ายรูป ชอบเก็บรูป มีรูปในคลังเป็นพัน ก็คงต้องเลือกขนาดความจุที่เพิ่มมากขึ้นหน่อย แนะนําให้มองไปที่ 128GB หรือ 256GB ไปเลย คิดเผื่อในอนาคตจะได้ไม่ต้องเสียเงินหลายรอบ จ่ายก้อนเดียวแล้วจบ แล้วใช้นาน ๆ ไปโลด!
Shopee 10.10 Brand Festival โปร 10.10 สุดฟินเอาใจขาช้อป! กับขบวนสินค้าจากแบรนด์ดังชั้นนำตลอดทั้งแคมเปญ สินค้าดีลปังจากแบรนด์เพียง 10.- เท่านั้น! พร้อมเก็บโค้ดลด Shopee Mall ลดสูงสุดถึง 1,500.- และโปรโมชั่นส่งฟรีทั่วไทยไม่มีขั้นต่ำ เริ่มช้อปได้ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. – 10 ต.ค. นี้ที่ Shopee 10.10 Brand Festival เท่านั้น!