ตลาด Wearable Gadget หรือตลาดอุปกรณ์ IT แบบสวมใส่ได้ในปัจจุบันนี้นั้นถือได้ว่าได้รับความสนใจจากแทบทุกมุมโลกเลยทีเดียว โดยจะเห็นได้จากเมื่อปีที่แล้วที่ค่ายใหญ่หลายต่อหลายค่ายต่างก็พากันมีข่าวหลุดเกี่ยวกับการเตรียมซุ่มขุนอุปกรณ์ในกลุ่มนี้ออกมา บางค่ายก็ชิงเร่งออกมาก่อนพร้อมกับสร้างความฮือฮากันไปไม่ได้ ตัวอย่างเช่นนาฬิกาอัจฉริยะที่เราเคยมีรีวิวกันไปจากสองยักษ์ใหญ่ ที่เพื่อนสามารถจตามอ่าน รีวิว Samsung Galaxy Gear จาก Samsung และ Sony Smartch 2 จากค่าย Sony กันได้จากลิงก์เลยครับ
โดยในปีนี้ในบ้านเราเองก็ดูจะคึกคักไม่แพ้กันเมื่องาน TME 2014 ครั้งล่าสุดที่เพิ่งจะจบสิ้นไปได้มีการเปิดบูธในส่วนของ Wearable Gadget ที่มีมาโชว์กันตั้งแต่ของร้อนแรงสุดฮอตอย่าง Google Glass ไปจนถึงกลุ่มเครื่องสวมใส่ IT ต่างๆ และที่ได้รับความสนใจไม่น้อยเลยจากคนร่วมงานที่เข้าชมบูธ Wearable Gadget นั่นก็คือกลุ่มผลิตภัณฑ์ Fitness Tracker ที่ชาว IT ห่วงสุขภาพยุคใหม่ต่างก็ให้ความสนใจ และหนึ่งในฟิตเนสแทร็กเกอร์ที่ได้รับความนิยมมากภายในงานก็คือ FitBit Force อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหวตัวล่าสุดจากค่าย FitBit ที่เกิดมาจากโปรเจ็คระดมทุนผ่านทาง Kick Starter และเติบโต + พัฒนามาจนถึงรุ่นล่าสุดนี้ที่มีการเพิ่มหน้าจอแสดงผลเพื่อแจ้งเตือนเวลาและให้ผู้ใช้งานสามารถเช็คค่าการเคลื่อนไหวต่างๆ ของตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดสมาร์ทโฟนขึ้นมาบ่อยๆ อีกต่อไป
ทีมงาน APPDISQUS เองได้มีโอกาสลองเล่นเจ้า FitBit Force มาจนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 2 เดือนเต็มแล้ว ต้องขอบอกว่าไว้ก่อนเลยว่าตลอดช่วงระยะเวลา 2 เดือนนั้นไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่ใส่ FitBit Force เพราะมันคืออุปกรณ์สวมใส่ IT ที่ทำหน้าที่เป็นฟิตเนสแทร็กเกอร์ที่ถูกใจผมที่สุดในยุคนี้แล้วจริงๆ (ใครกำลังสนใจ Jawbone Up 24 หรืออาจจะเจ้า MisFit Shine หรือจะเป็น Nike FuelBand SE รอเดี๋ยวนะครับ อีกไม่นาน APPDISQUS จะนำมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันอย่างแน่นอนเพราะตอนนี้ทั้งสองตัวก็มาอยู่ในมือของทีมงานสักพักแล้วเช่นเดียวกัน)
ก่อนไปกันต่อขอบอกก่อนว่าอุปกรณ์จาก FitBit ทุกตัวยังไม่มีการนำเข้ามาอย่างเป็นทางการนะครับ แต่ตอนนี้มีบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศไทยได้ลิขสิทธิ์มาเรียบร้อยแล้ว และแว่วมาว่าจะมีการจำหน่ายผ่านทางตัวแทนจำหน่ายใหญ่ๆ อย่าง iStudio และ True ก่อนจบไตรมาสแรกของปีนี้อย่างแน่นอน แต่อาจจะเริ่มด้วยรุ่น Flex, Zip และ One ก่อน เพราะว่ารุ่น Force ที่นำมารีวิวนี้ของยังขาดตลาดทั่วโลกครับ
รูปลักษณ์ภายนอก
FitBit Force ถือเป็นฟิตเนสแทร็กเกอร์ที่ออกแบบมาได้หล่อเหลาดูหรูหรามากทีเดียว ด้วยตัวเรือนที่มีมาให้เลือก 2 สี (สีดำที่ผมสวมใส่อยู่นี้ และสีครามน้ำทะเล) 3 ขนาด เพื่อให้เหมาะกับไซส์ข้อมือของผู้สวมใส่ทั้งชายและหญิง (โดยจะแบ่งเป็นไซส์ S / M / L ตามลำดับ สามารถดูวิธีวัดข้อมือเราได้จาก หน้าเว็บ FitBit เลยครับ) และด้วยลักษณะเฉพาะตัวของมันที่ทำหน้าที่เป็นฟิตเนสแทร็กเกอร์นี้ การออกแบบรูปลักษณ์มาให้ดู “น้อย” ที่สุด แต่ “แน่น” ไปด้วยความเท่ห์และความสวมใส่สบายแฮร์ของ FitBit Force นี้ ผมถือว่าเป็นชัยเหนือคู่แข่งตัวอื่นๆ ในตลาดเป็นข้อที่หนึ่งเลย
สายของ Force นั้นทำมาจากอีลาสตอเมอร์ ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นเหมือนยางในธรรมชาติและเป็นวัตถุดิบที่นิยมใช้ในอุปกรณ์ฟิตเนสแทร็กเกอร์โดยทั่วไป ส่วนตัวเรือนที่หุ้มหน้าจอแสดงผลขนาดเล็กเอาไว้นั้นทำมาจากสแตนเลสที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกหนักอะไรเลย ตรงกันข้าม ตัว FitBit Force เองกลับเบาสบายมากเมื่อสวมใส่ เบาจนบ่อยครั้งที่ผมเผลอลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังใส่ฟิตเนสแทร็กเกอร์อยู่ในมือด้วย (ผมใส่ Force ข้างขวา ซึ่งหากเทียบกับข้างซ้ายของผมที่สวมนาฬิกา ISSEY MIYAKE W อยู่แล้วต้องบอกเลยว่าน้ำหนักมันคนละเรื่องแบบอย่างเอาไปเทียบกันเลย อาจเพราะเหตุนี้ผมจึงมีบ่อยครั้งที่ผมเผลอลืมไปเลยว่าใส่ Force อยู่ข้างขวาด้วย) ทั้งนี้เคยมีรายงานจากผู้ใช้มากมายที่แจ้งไปยัง FitBit ว่าพวกเขาเจอปัญหาผิวหนังถูกกัดจนแสบร้อนจากสายคาดของ FitBit Force ซึ่งแน่นอนว่า FitBit ก็รีบออกมาแถลงการณ์ทันควันว่ายังไม่แน่ใจเรื่องสาเหตุเพราะวัสดุที่ใช้นั้นคุณภาพสูงและเกรดเดียวกับพวกฟิตเนสแทร็กเกอร์ตัวอื่นๆ ทั้งหมด และหากถามในส่วนของผมแล้ว จากระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ผมไม่พบปัญหาแพ้ที่ผิวหนังแต่อย่างใดครับ
อย่างหนึ่งที่ผมขอติงมากๆ ในส่วนของการออกแบบคือการคาดสายของ Force เข้ากับข้อมือครับ ช่วงแรกๆ ผมเจอปัญหาการล็อกสายมากๆ เพราะ Force ออกแแบมาให้มีการล็อกสายแบบกดปุ่มนูนลงในร่องล็อก ซึ่งกดยากมากกว่าจะลง บางครั้งกดจนข้อมือระบมเลยทีเดียว และหากกดไม่แน่นก็มีเผลอเด้งหลุดจากข้อมือเราไปเอาซะดื้อๆ อีก น่าเป็นห่วงว่าสักวันมันจะหล่นกระแทกจนพังหรือไม่ก็หล่นหายไประหว่างเดินจริงๆ
แต่ทั้งนี้ปัญหาที่ว่าก็จะหมดไปเมื่อใช้ไปเรื่อยๆ สักพัก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะความคุ้นเคยที่มีมากขึ้น หรือเป็นเพราะรูร่องล็อกมันหลวมขึ้นจนล็อกได้ง่ายนะครับ เอาเป็นว่าจนตอนนี้ผมก็ยังหาคำตอบที่น่าจะเป็นจริงๆ ให้กับตัวเองไม่ได้เลย
หน้าจอ OLED
FitBit Force คือแทร็กเกอร์ตัวแรกจาก FitBit ที่ออกมาแบบให้มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ OLED ที่จะแจ้งข้อความต่างๆ ที่เราตั้งค่าให้มีการแสดงผลไว้จากแอพพลิเคชั่นบนมือหรือหรือคอมพิวเตอร์ โดยมีตั้งแต่เวลาในปัจจุบัน จำนวนก้าวที่เราเดินจนถึงปัจจุบัน (นับวันต่อวัน) ระยะทางรวมที่เราเดินไปในวันนี้ จำนวนชั้นที่เราเดินขึ้นบันไดไปในวันนี้ (มีเฉพาะใน Force เท่านั้นเพราะเป็นเซ็นเซอร์ใหม่ที่ใส่เข้ามาในตัวนี้) จำนวนแคลลอรี่ที่เราเผาผลาญไปตลอดทั้งวัน ตลอดจนจำนวนนาทีที่ร่างกายเราอยู่ในโหมดแอคทีฟ (คือทำกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่หยุดนิ่ง) ทั้งหมดนี้คงต้องบอกว่าจากการประมาณการคร่าวๆ แล้ว Force สามารถแสดงผลได้อย่างแม่นยำ จริงใจ ไม่จิงโจ้เลยทีเดียว
และเพราะเหตุที่เจ้า Force เป็นฟิตเนสแทร็กเกอร์ตัวเดียวในตลาดตอนนี้ที่มีหน้าจอ OLED ที่สามารถแสดงผลได้มากมายถึงเพียงนี้ (และแสดงผลได้อย่างชัดเจนแม้จะอยู่กลางแสงแดดด้วย) หลายๆ คนเลยอาจสงสัยในเรื่องของอายุการใช้งานต่อหนึ่งรอบชาร์ตของเจ้านี่ ส่วนนี้ผมคงต้องขอบอกเลยว่ามันทำได้อย่างน่าประทับใจมาก เพราะชาร์ตหนึ่งครั้งจะอยู่ได้โดยเฉลี่ยนประมาณ 7 – 10 วัน ทั้งๆ ที่ระบบการซินค์ข้อมูลของมันนั้นเป็นแบบ OTA (แต่ผ่านทาง Bluetooth LTE ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกินแบตน้อยอยู่แล้ว) ซึ่งเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง Jawbone Up 24 ที่เป็นแทร็กเกอร์ตัวแรกจาก Jawbone ที่มาพร้อมระบบซินค์ข้อมูลผ่าน OTA และมีเพียงไฟแสดงสถานะเป็นรูปต่างๆ เท่านั้น ไม่ได้มีหน้าจอแบบ Force รายหลังนี้ทำได้ดีสุดเพียงแค่ 5 – 7 วันเท่านั้น ทำให้ตอกย้ำชัดเจนว่า Force ออกแบบงานพัฒนาในด้านของการใช้พลังงานมาได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ทาง FitBit เองยังออกมายืนยันแล้ว (พร้อมด้วยวิดีโอยืนยันจากหลายๆ สำนักข่าว IT ที่ได้ทดลองเฟิร์มแวร์ใหม่ของ FitBit Force กันไปแล้ว) ว่าในเฟิร์มแวร์ใหม่ที่กำลังจะเปิดให้อัพเดตภายในเดือนนี้นั้น Force จะได้รับการเปิดใช้งานอีกหนึ่งความสามารถพิเศษ นั่นก็คือความสามารถในการแจ้งเตือนชื่อและเบอร์โทรของผู้โทรเข้าในมาหาเครื่องที่ผูกอยู่กับตัวมันเองได้นั่นเอง โดยจะแสดงรายชื่อหรือเบอร์โทรให้เห็นบนหน้าจอ OLED ที่มีอยู่บน FitBit Force นี้เลย
ความสามารถ
ตามที่ได้เกริ่นไปในหัวข้อก่อนหน้านี้ว่า Force สามารถตรวจจับจำนวนก้าวเดินและชั้นบันใดที่เราได้โดยมาตลอดทั้งวันได้อย่างแม่นยำนั้น ในส่วนนี้ผมได้ทดสอบโดยการสวมเจ้านี้เอาไว้พร้อมกับเปิดแอพพลิเคชั่น FitBit บนเครื่อง iPhone 5S แล้วลองดูการเพิ่มขึ้นของจำนวนก้าวและชั้นการเดินบันใดในขณะเดิน ปรากฏว่าเมื่อใดก็ตามที่ผมเดิน จำนวนก้าวจะเพิ่มมากขึ้น (แม้จะพยายามเดินแบบไม่ขยับมือ) และเมื่อใดก็ตามที่มาการเดินขึ้นบันใด จำนวนชั้นจะมีการนับเพิ่มขึ้นทันที ซึ่งในบางครั้งอาจมีผิดพลาดบ้างเพราะผมแอบเห็น Force นับชั้นพักเป็นเราเดินครบ 1 ชั้นเต็มอยู่เหมือนกันในบางที
http://www.youtube.com/watch?v=eEhuVdPGCsg
ผมลองตรวจสอบความสามารถในการนับจำนวนก้าวของเจ้านี่เพิ่มเติมอีกหน่อยด้วยการไปขึ้นเครื่อง Treadmill ที่ฟิตเนสดูเพราะอยากรู้ว่าหากเราไม่ได้เดินแบบเคลื่อนที่จริงๆ แต่เป็นการเดินอยู่กับที่ หรือวิ่งอยู่กับที่ FitBit Force จะยังจับก้าวเดินของเราได้ตามปกติหรือไม่ ผลปรากฏว่าก้าวเดินยังคงนับขึ้นต่อไปอย่างไม่พลาด และทันทีที่เราเดินไปจนถึงเป้าหมายที่เราวางไว้ (ไม่ว่าจะเป็นจำนวนก้าวหรือแคลลอรี่ที่เบิร์น ซึ่งเราต้องเลือกเซ็ตเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งจากสองหัวข้อนี้) เจ้า FitBit Force จะสั่นเบาๆ ที่ข้อมือเพื่อเป็นการบอกเราว่าเราทำได้ถึงเป้าหมายแล้ว และพอเปิดหน้าจอของ Force ขึ้นมาเราจะพบกับเอนิเมชั่นสวยๆ รูปพลุเพื่อแสดงความยินดีกับเรา
เราสามารถตั้งเป้าหมายต่อวันให้กับตัวเองได้ในทุกๆ กิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเดินนับก้าวไปจนถึงการนับจำนวนชั้นที่เราไต่ขึ้นได้ในแต่ละวัน และการตั้งเป้าหมายพร้อมกับมีเจ้านี่ไว้แทร็กหรือติดตามการเคลื่อนไหวของเรานี้เองที่ทำให้การเริ่มขยับตัวกลายเป็นเรื่องสนุกสนานและน่าสนใจขึ้นมา ผมพบว่าตั้งแต่ที่ใส่เจ้า Force มา ผมเดินและขยับตัวมากขึ้นเยอะเพียงเพราะต้องการที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่ตัวเองวางไว้
แต่ลำพังเป้าหมายที่วางไว้บางทีก็ทำให้เราเบื่อได้ และเหมือน FitBit จะรู้เรื่องนี้ดีจึงมีการเพิ่มเอาลูกเล่นการเพิ่มเพื่อน ส่งข้อความหาเพื่อน และ Leader Board เพื่อแข่งกับเพื่อนและกลุ่มต่างๆ ที่เราเข้าไปจอยไว้เข้ามาเพิ่มความสนุกและน่าสนใจให้กับฟิตเนสแทร็กเกอร์ของตัวเองมากยิ่งขึ้น (ใช้งานได้ในทุกรุ่นของ FitBit) โดยยิ่งเมื่อเราได้เห็นพัฒนาการของเพื่อนแล้ว เราก็ยิ่งอยากจะเอาชนะเพื่อนให้ได้ด้วยการขยับตัวมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งการนี้ผมพิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงๆ
ในส่วนของการคำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญไปนั้น ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเจ้า Force ทำได้ดีแค่ไหน เนื่องจากผมไม่ทราบจริงๆ ว่าต้องใช้อุปกรณ์ไหนในการตรวจสอบความถูกต้องของพลังงานที่เผาผลาญไป ดังนั้นในส่วนนี้อาจต้องขอแรงเพื่อนๆ หากได้มีการโอกาสทดสอบเจ้า Force แล้วมาช่วยอัพเดตกันอีกทีนะครับ
อย่างหนึ่งที่อดพูดถึงไม่ได้คือฟังก์ชั่นการตรวจสอบการนอนหลับของเราที่ผมเชื่อว่าฟิสเนสแทร็กเกอร์รุ่นใหม่ๆ ในตลาดปัจจุบันนั้นต่างก็มีใส่มาให้ทั้งนั้น แต่สำหรับเจ้า Force แล้ว ด้วยน้ำหนักและการออกแบบที่ทำให้สวมใส่ได้สบายข้อมือและเบาจนไม่รู้สึกอะไรของมันนี้เองที่ทำให้มันเป็นตัวแทร็กเกอร์ที่น่าใส่เวลานอนเป็นที่สุด และก่อนนอนให้เรากดที่ปุ่มบนตัวแทร็กเกอร์ (ซึ่งมีอยู่ปุ่มเดียว) ค้างไว้จน Force สั่น เพียงเท่านี้ Force ก็จะเริ่มเก็บสถิติการนอนหลับของเราแล้วเตรียมแจ้งให้เราทราบว่าเราหลับสนิทไปนานเท่าไหร่ หลับไม่สนิท (ยังกระดุกกระดิกตัวแรง) ไปนานแค่ไหน และสะดุ้งตื่นบ่อยไหมในตอนที่เรานอนนั่นเอง โดยสิ่งที่เราต้องทำก็คือทันทีที่ตื่นนอนในเช้าวันใหม่ ให้เรากดที่ปุ่มเดิมนั้นค้างไว้จน Force สั่นอีกเช่นเคยเพื่อเป็นการบอกให้มันรู้ว่า “เราตื่นนอนแล้วนะ”
นอกจากการแทร็กการนอนหลับแล้ว FitBit Force ยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นการตั้งปลุกเงียบ หรือ Silent Alarm ที่จะปลุกเราตื่นตามเวลาที่กำหนดโดยการสั่นข้อมือเราจนกว่าเราจะรู้สึก ฟังก์ชั่นนี้ถือเป็นลูกเล่นที่ผมใช้งานบ่อยมากเพราะมันไม่ต้องรบกวนใครเลย เราปลุกของเราคนเดียว ตื่นของเราคนเดียว สบายใจ ลดปัญหาการทะเลาะวิวาทยามเช้าได้เป็นอย่างดี 55555+
แอพพลิเคชั่นและโปรแกรมหลัก
FitBit Force เป็นฟิตเนสแทร็กเกอร์ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยสมาร์ทโฟนของคุณในการทำงานของมันครับ (แต่หากอยากให้สมบูณ์แบบก็ต้องมีสมาร์ทโฟนด้วย) เพราะหากคุณไม่มีสมาร์ทโฟน คุณยังสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของคุณได้ (เช่นประวัติการเคลื่อนไหว) โดยการเข้าใช้งานผ่านเว็บเบสโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ของคุณ ทั้งนี้คุณไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่เข้าไปที่ FitBit.com แล้วไปที่ Dashboard ของคุณ เพียงเท่านั้นก็เรียบร้อยแล้ว แต่ในกรณีที่คุณไม่มีสมาร์ทโฟน คุณจะต้องซินค์ข้อมูลการเคลื่อนไหววันต่อวันของคุณเองโดยการใช้งานผ่านอุปกรณ์เสริมที่มีแถมมาพร้อมในกล่อง เป็น USB ขนาดจิ๋วที่จะทำหน้าที่เป็น Receiver ในการรับข้อมูลจากตัว FitBit Force (และรุ่นอื่นๆ จาก FitBit) เข้าเว็บเบสโปรแกรมบนหน้าเว็บ FitBit นั่นเอง
แต่ทั้งนี้เสน่ห์ที่แท้จริงของเข้า FitBit Force จะปรากฏขึ้นมาหากคุณใช้งานควบคู่ไปกับสมาร์ทโฟนครับ ด้วยแอพพลิเคชั่นบนมือถือ (iOS / Android) ของ FitBit นั้นถือว่าออกแบบมาให้ง่ายต่อการใช้งานและเข้าใจมาก ซึ่งคุณสามารถดูค่าต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์เมื่อเปิดแอพพลิเคชั่นขึ้นมา นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้เจ้าแอพพลิเคชั่นตัวนี้ในการตั้งปลุกเงียบ หรือ Silent Alarm โดยเจ้า FitBit Force จะสั่นเบาๆ ให้คุณรู้สึกตัวเมื่อถึงเวลาที่คุณต้องการให้มันปลุกนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วการส่งข้อความหรือส่งอิโมติคอลเพื่อพูดคุยกับเพื่อนยังสามารถทำได้อย่างง่ายดายผ่านทางแอพพลิเคชั่นหลักของ FitBit นี้ และนอกจากนี้เรายังสามารถติดตามการแข่งขันและจำนวนการก้าวเดินของเพื่อนชองเราได้จากแอพพลิเคชั่นได้โดยตรงอีกด้วย แหม…เรียกว่ากระตุ้นกันตลอดเวลาที่เปิดแอพพลิเคชั่นขึ้นมาเลยทีเดียว
โดยรวมแล้วแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน (iOS และ Android) ของ FitBit นั้นถือว่าทำงานได้อย่างเต็มความสามารถที่มันควรจะทำ และโดดเด่นจนมากไปด้วยเหตุผลที่ผู้ใช้งาน FitBit ทุกคนจำเป็นต้องดาวน์โหลดมาติดไว้ (โดยเฉพาะกับ FitBit รุ่นที่ซินค์ข้อมูลผ่าน OTA ได้) เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้การการใช้งานแทร็กเกอร์ตัวนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง
API และแอพพลิเคชั่นจากนักพัฒนาอื่นๆ
ถึงแม้ว่า FitBit Force จะทำอะไรได้มากมายหลายอย่างจนเหมาะที่จะเป็นฟิตเนสแทร็กเกอร์ในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ทาง FitBit เองก็ยังใจกว้างเปิด API ให้นักพัฒนาอิสระสามารถนำไปใช้งานเพื่อเชื่อมต่อข้อมูลกับแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนสมาร์ทโฟนที่ตนพัฒนาอยู่ได้ โดยในปัจจุบันนี้มีแอพพลิเคชั่น 3rd ปาร์ตี้มากมายที่เข้ามาร่วมหัวจมท้ายพัฒนาแอพพลิเคชั่นของตัวเองพร้อมผูก API ของ FitBit เข้าไป โดยแอพพลิเคชั่นหลักๆ ที่ผมใช้ร่วมกับ Force เพื่อเพิ่มความสามารถในการใช้งานของมันให้สูงขึ้นไปอีกนั้นก็มีประมาณนี้เลยครับ (เผื่อใครอยากจะทราบ)
– MyFitnessPal
สำหรับใครก็ตามที่ดูแลสุขภาพโดยการนับแคลอรี่ของอาหารที่กินเข้าไป หรือใครก็ตามที่กำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักน่าจะรู้จักแอพพลิเคชั่น MyFitnessPal นี้เป็นอย่างดี เพราะนี่คือแอพพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดที่คุณสามารถเพิ่มรายชื่ออาหารที่คุณทานเข้าไปในแต่ละมื้อพร้อมกับคุณค่าทางอาหาร “หลังถุง” ของมันไปได้หากของที่คุณทานเข้าไปไม่มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลดาต้าเบสของ MyFitnessPal ทั้งนี้เพื่อตรวจสอบดูว่าในแต่ละวันที่คุณทานไปนั้น คุณทานเข้าไปทั้งสิ้นเป็นพลังงานกี่กิโลแคลอรี่แล้ว และคุณควรทานเป็นปริมาณเท่าไหร่เพื่อให้ได้นำหนักตามเป้าหมายที่คุณเซ็ตไว้ในระยะเวลาที่กำหนด
แต่ลำพังเจ้า MyFitnessPal แล้ว หน้าที่ของมันก็แค่บอกแคลอรี่ที่คุณรับเข้าไปต่อวัน รวมถึงสารอาหารต่างๆ แบบแยกย่อยออกมาเป็นไพน์ชาร์ต แต่มันไม่สามารถแทร็กเอาแคลอรี่ที่คุณใช้งานต่อวันมาเป็นข้อมูลผสมได้เพื่อให้เกิดการคำนวนที่ถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการผูกบัญชี FitBit (ที่ในกรณีของผมใช้คู่กับ FitBit Force) คู่กับ MyFitnessPal นั้นจะทำให้ข้อมูลของแคลอรี่ที่เราใช้ไปต่อวันจากการเคลื่อนไหวและตรวจนับด้วย FitBit Force ส่งต่อไปยัง MyFitnessPal และให้ค่าที่ถูกต้องแม่นยำในการนำไปคำนวนค่าพลังงานต่อวันของเรามาขึ้นนั่นเอง ซึ่งผมต้องบอกเลยว่ามันได้ผลกว่าการใช้งาน MyFitnessPal อย่างเดียวแยะ และได้ประโยชน์กว่าการใช้งานเฉพาะแอพพลิเคชั่นของ FitBit เข้าไปอีก
– Digifit
ในเมื่อเราตัดสินใจที่จะเดินทางในสายการดูแลสุขภาพตามประสาหนุ่ม IT ผมก็หยิบเอา Digifit อีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นเด็ดดวงมาใช้งานร่วมกับ FitBit Force ตัวนี้อีกทีหนึ่ง โดยเจ้า Digifit นี้โดยปกติแล้วจะทำหน้าที่แทร็กการออกกำลังกายโดยการวิ่งหรือปั่นจักรยานของเรา แต่จะไม่สามารถให้ผลแคลอรี่ที่เบิร์นที่แน่นอนได้หากไม่ได้ใช้คู่กับอุปกรณ์เสริมประเภทสายรัดหน้าใต้ราวนมเพื่อตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ (ที่ใช้แปลงเป็นค่าพลังงานแคลอรี่ที่สูญเสียไปอีกที) โดยในกรณีนี้ผมใช้ร่วมกับสายคาดอกของ Polar รุ่น H7 (สวมเฉพาะเวลาที่ออกกำลังกาย) เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น
ค่าพลังงานเผาผลาญที่ได้จากการออกกกำลังกายของผมที่คำนวนโดย Digifit (ซึ่งใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากเพราะอิงตามอัตราการเต้นของหัวใจเราขณะนั้น) จะถูกส่งต่อไปยัง FitBit เพื่อให้ FitBit เอาไปรวมพลังงานเผาผลาญแยกออกไว้ภายใต้หัวข้อ Exercise (การออกกำลังกาย) และให้ FitBit ส่งต่อไปให้กับ MyFitnessPal อีกทีหนึ่งเพื่อคำนวนเป็นพลังงานที่ใช้จริงออกมาและบวลบคุณหารกับพลังงานที่รับเข้าไปต่อวันเพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้องที่สุดนั่นเองครับ
ใน AppStore และ Android Market ตอนนี้ยังมีแอพพลิเคชั่นพวก 3rd ปาร์ตี้อีกมากมายเลยครับที่มีการผูกฮุก API ของ FitBit เอาไว้ในตัวแอพพลิเคชั่นเพื่อเพิ่มความสนุกสนานและประสิทธิภาพการทำงานให้กับเจ้าฟิตเนสแทร็กเกอร์ตัวนี้ แต่สำหรับผมแล้ว ลำพังเจ้า MyFitnessPal + DigiFit + FitBit (Force) ก็ทำให้ผมฟินกับชีวิตการออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่สุดเหวี่ยงแล้วล่ะ
และเพราะ API ที่เปิดกว้างให้นักพัฒนาได้นำไปต่อยอดต่อได้อย่างง่ายดายนี่เองที่ทำให้ผมมองว่า FitBit คือผู้นำด้านตลาดฟิตเนสแทร็กเกอร์อย่างแท้จริง โดยมีเจ้า Force มาเป็นตัวพระเอกของงาน (และมี Flex เป็นนางเอกเพราะมันมีสีชมพูด้วย…หากถามผม)
ไม่มีอะไรในโลกที่เพอร์เฟ็ค
แม้ FitBit Force จะได้รับคำชื่นชมจากผมไปอย่างล้นหลามได้ไม่ยากมากมายนัก แต่ทั้งนี้มันก็ยังมีข้อติที่ควรต้องเอาไปปรับปรุงแก้ไขอยู่เหมือนกัน โดยนอกจากข้อติเรื่องการล็อกสายที่มีพูดถึงไปก่อนหน้านี้ (ที่หายได้เองเมื่อเวลาผ่านไป) เจ้า Force ก็ยังมีอีกหนึ่งข้อสำคัญที่ต้องนำมาพูดถึงเพื่อการปรับปรุง
FitBit Force ไม่ใช่อุปกรณ์สวมใส่ IT ที่สามารถกันน้ำได้ 100% ครับ อย่าว่าแต่ 100% ผมเชื่อว่าแค่ใส่มันลงไปว่ายน้ำสักรอบสองรอบ บางทีมันก็อาจจไม่รอดเอาได้เหมือนกัน (ส่วนตัวยังไม่เคยนะครับ) แม้จะมีหลายๆ คอมเมนต์ในโลกอินเตอร์เน็ตที่อ้างว่า Force กันน้ำในระดับใส่ว่ายน้ำได้จริงๆ เพราะพวกเขาลองมาแล้ว หรือเบาหน่อยก็คือใส่อาบน้ำ (ซึ่งผมเคยทำ และมันไม่ตายด้วย) แต่โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าการออกแบบของเจ้า Force ยังไม่เอื้อต่อการใส่แบบลุยน้ำกันได้ขนาดนั้น
เหตุผลก็เพราะช่องเสียบชาร์จแบตเตอร์รี่ที่ใน Force นั้นอยู่ติดกับตัวเครื่องบริเวณด้านใต้หน้าจอ OLED โดยเจ้าช่องนี้ไม่มีอะไรมาปิดมาบังกันน้ำเข้าถึงแผงวงจรของมันเอาไว้เลย (ต่างกับ Jawbone Up 24 และ Nike Fuelband SE ที่ต่างก็มีฝากันจุดเชื่อมต่อเอาไว้ และขนาดทั้งคู่มีฝาครอบกัน การกันน้ำก็ยังทำได้ไม่ค่อยจะดีเลย) นึกภาพไม่ออกก็ดูตามรูปเลย
ทาง FitBit เองออกมาประกาศผ่านทวิตเตอร์ครั้งหนึ่งว่าอุปกรณ์ของเขากันน้ำได้ “ระดับหนึ่ง” แต่ไม่เหมาะกับการใส่อาบน้ำ และไม่ควรใส่ว่ายน้ำเป็นอันขาด อันนี้น่าจะตีความได้อีกนัยหนึ่งว่า FitBit เองก็รับทราบข้อเสียในส่วนนี้แล้วและพร้อมที่จะเดินหน้าแก้ไขในผลิตภัณฑ์รุ่นต่อไปนั่นเอง
บทสรุปส่งท้าย
FitBit Force คือฟิตเนสแทร็กเกอร์ที่ผมจะเลือกใช้ในยุคนี้ เจนนี้ และคงจะอีกสักพักใหญ่ๆ กว่าที่จะมีตัวใหม่ที่พร้อมจะมาแทนที่มัน และยิ่งเมื่อถึงเวลาที่เจ้า Force สามารถแจ้งเตือนรายชื่อคนโทรเข้าได้แล้วด้วยล่ะก็ ฟิตเนสแทร็กเกอร์ตัวนี้ยังจะเป็นตัวที่ดูน่าลงทุนด้วยเป็นอย่างยิ่งสำหรับใครก็ตามที่กำลังมองหาของเล่น IT ที่สวมใส่ได้แบบดีๆ และมีประโยชน์ด้านสุขภาพกับตัวเองอยู่
โดยส่วนตัวแล้วช่วงตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว (2556) มาจนกถึงตอนนี้เป็นเวลารวมเกือบๆ 3 เดือน ผมเริ่มออกกำลังกายและควบคุมการทาน (ไม่อด แต่เลือกทานที่มีประโยชน์) ของตัวเองมาโดยตลอด และเมื่อสองเดือนที่แล้วโดยประมาณผมก็ได้เจ้า FitBit Force ตัวนี้มาใช้ และได้ทดสอบการใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชั่นข้างต้นทั้ง 3 แอพพลิเคชั่น นั่นทำให้มาในวันนี้ น้ำหนักผมลดลงจากเป็นคนท้วมค่อนไปทางอ้วนที่ 69 กิโลกรัม ลงเหลือ 60 กิโลกรัมและรู้สึกได้ถึงสุขภาพที่ดีขึ้น โดย 9 กิโลกรัมที่หายไปนั้น ผมสามารถลดเปอร์เซ็นไขมันในร่างกายลงได้จาก 22% จนเหลือ 12% ณ ปัจจุบัน 10% ที่หายไปนี้ได้มาเพราะเจ้า FitBit Force คู่กับ MyFitnessPal และ Digifit ส่วนหนึ่งเลยทีเดียว (และเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญด้วย)
การออกกำลังกายกลายเป็นเรื่องสนุก การเคลื่อนไหวขยับตัวกลายเป็นเรื่องน่าสนใจ ทั้งนี้ก็เพราะอุปกรณ์ฟิตเนสแทร็กเกอร์เหล่านี้นี่เอง และย้ำคำตอบสุดท้ายของตัวเองอีกครั้งว่า FitBit Force คือฟิตเนสแทร็กเกอร์ที่ผมคิดว่าดีที่สุดในตลาดปัจจุบันนี้ครับ
[gradeA]