สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ วันนี้ผมได้มีโอกาสรีวิวสมาร์ทโฟนจากแดนมังกรอีกรุ่นนึงที่ผู้ที่อยู่ในวงการสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบแอนดรอยด์ต่างยอมรับว่านี่คือหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่มีซอฟแวร์ที่ดีที่สุดนั่นก็คือ Xiaomi MI4 โดยรอมที่ใช้ล่าสุดเป็นเวอร์ชั่น MIUI V6.5.1.0 (KXDCNCD) (Stable) ครับ ที่เป็นรอมจาก Xiaomi โดยตรงเลยโดนรอมที่ลงท้ายด้วย stable จะเสถียรที่สุด และไม่มีบั๊ก (หรือถ้ามีก็มีน้อยมากกกกก) ข้อเสียมันก็แค่กว่าจะอัพเดททีนึงก็ทิ้งช่วงประมาณเดือนนึงได้เลย ตั้งแค่ใช้เครื่องมาเพิ่งได้อัพเดท V6 มาไม่นานเอง MI4 นี้เป็นรุ่นที่ผมซื้อมาใช้งานเองด้วยเหตุผลที่ว่า “สิ่งที่ได้กลับมาได้มากว่าสิ่งที่จ่ายไป” ด้วยราคาประมาณหมื่นต้นๆ (สำหรับรุ่นหน่วยความจำ 16GB ไม่มี 4G) แค่สเปคโดยรวมพอๆกับสมาร์ทโฟนหลายๆรุ่นที่ขายในประเทศราคาเปิดตัวระดับ 2หมื่นได้สบายๆ ทุกวันนี้รู้สึกว่าซื้อรุ่นระดับ 2 หมื่นหรือหมื่นปลายๆมาใช้งานไม่คุ้มยังไงก็ไม่รู้ เช่นซื้อมาเล่น Facebook , IG , Line , เล่นเว็บ , เล่นเกม , ถ่ายรูป , ฟังเพลง , ดูวีดีโอ แค่นี้เอง ถ้าคิดดูดีๆนะ รุ่นราคาเปิดตัวระดับไม่เกิน 5 พันหรือไม่เกิน 1หมื่นก็สามารถทำสิ่งที่พูดมาได้เหมือนกัน เพียงแค่คุณภาพของบางอย่างก็ต้องเป็นไปตามราคา ก็เข้าใจในส่วนนี้นะ ^^ เพราะงั้นก็เลยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อรุ่นแพงๆมาใช้งาน มันก็ตอบโจทย์การใช้งานของเราได้สบายๆครับ
หลายๆคนอาจจะติดภาพลบกับสมาร์ทโฟนจากจีนเพราะมีข่าวมากมายว่าเครื่องระเบิดบ้างอะไรบ้าง แต่อยากจะบอกว่ามือถือจากจีนก็มีหลายเกรดนะ ส่วนเกรดที่ระดับเป็น Inter brand ที่มาขายจ่างประเทศได้ล้วนแล้วเป็นที่ยอมรับคนในวงการทั้งนั้นเช่น Lenovo , Huawei , Oppo, ZTE และ Vivo เป็นต้น แล้วยังมีแบรนด์อื่นๆอีกที่ดีมากแต่ยังไม่ลุยตลาดไทยก็เช่น Xiaomi , Oneplus , Nubia และ Meizu เป็นต้น เห็นได้ว่าในวงการมือถือมีพวกเสือซ่อนเล็บอยู่มากมายให้ได้เลือกซื้อกันครับ
[divider]
หน้าตารอบตัวเครื่อง
ด้านหน้าของ Xiaomi MI4 ใช้หน้าจอขนาด 5 นิ้วแบบ Full HD ที่มีสีสันสดใสครับ ไม่แสบตาเหมือนพวกหน้าจอ Super AMOLED เลย มีขนาดตัวเครื่องที่กระชับมือและเล็กกว่า Xiaomi MI3 เมื่อเทียบกับ MI3 แล้วผมรู้สึกได้เลยว่า MI3 น้ำหนักเบากว่า MI4 เยอะเลย เนื่องจากวัสดุหลักๆของ MI3 ใช้พลาสติกเป็นหลัก แต่ของ MI4 ที่ใช้แกนกลางเป็นโลหะทั้งชิ้น ซึ่งสามารถดูได้จากคลิปตอนผลิต
บริเวณบนซ้ายเป็นโลโก้ MI สีเงินเงาๆ , ถัดมาที่เป็นสีดำๆยาวๆ คือเซ็นเซอร์ , ตรงกลางเป็นลำโพงสนทนา และขวาสุดกลมๆเป็นกล้องหน้าความละเอียด 8MP ถ่ายคมชัดพร้อมโหมด Beauty สูงสุด 3 ระดับ สามารถกำจัดรอยสิวแดงๆให้หายไปได้แบบไร้ร่องรอย
ส่วนด้านล่างจอเป็นปุ่ม 3ปุ่มไล่จากซ้ายไปขวาตามนี้ : ปุ่ม recent app , ปุ่ม Home และปุ่ม Back (ทุกปุ่มสามารถตั้งค่าให้สั่งการเพิ่มได้เมื่อแตะค้างไว้) ส่วนตรงกลางล่างที่เป็นแสงสีเขียวคือไฟแจ้งเตือน (Notification light ) ที่จะเปลี่ยนสีไปตามการแจ้งเตือนต่างๆและสามารถตั้งค่าเปลี่ยนสีได้ทีหลังครับ
ด้านล่างจะเห็นรูสีเหลี่ยมเป็นช่องเสียบ MicroUSB และจุดๆด้านขวาเป็นลำโพงครับ เสียงค่อนข้างแน่นและทุ้ม (ไม่ใช่ดังแบบแตกๆแหลมๆเหมือนที่เราเคยได้ยินกัน) ไม่ได้เสียงดังระดับ HTC One (M8) กับ LG G3 เพราะ 2 รุ่นนั้นเสียงสุดยอดไร้คำบรรยาย เพราะ MI4 เรื่องเสียงดังสู้กันไม่ได้ แต่ถ้าเสียบหูฟังเทียบคุณภาพกันนะ ขอโทษฮะ เทพมาจากไหนก็ล้มได้
ขอบเครื่องด้านบน จะมีอินฟาเรตที่เอาใส่ใช้งานเป็นรีโมทได้ และกลมๆเป็นช่องแจค 3.5 มม.ที่มีข้อเสียอยู่เหมือนกับตรงที่ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกหูฟัง ซึ่งบอกได้เลยว่าหูฟังที่ผมใช้อยู่แล้วไม่สามารถใช้ร่วมกับ MI4 ได้เพราะเสียบแล้วเหมือนเครื่องจะหาหูฟังไม่เจอ รวมทั้งหูฟัง Bluetooth ด้วยก็หาไม่เจอเช่นกัน แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นแบบนี้กับทั้งหมดหรอกเพราะได้ลองหูฟังที่มาในกล่อง iPhone 6 ดูแล้วใช้ได้ แล้วเสียงเทพมหาเทพมาก เบสเอยอะไรเอยมาหมด ฟังแล้วฟินจริงๆ
เพราะฉะนั้นถ้าใครมีโอกาสได้ไปซื้อรุ่นนี้ที่ร้านแล้วมีเครื่องจริงให้ลอง ก็อย่าลืมเอาหูฟังไปเทสด้วยนะ
ขอบด้านขวาของเครื่องจะมีเพียง 2 ปุ่มคือ ปุ่มยาวๆหน่อยจะเป็นปุ่ม เพิ่ม-ลดเสียง , ส่วนปุ่มเล็กๆเป็นปุ่ม Power ครับใช้วัสดุเป็นโลหะทั้งหมด ตอนกดแล้วความรู้สึกแน่นดีครับ โดยปกติจะใช้ปุ่ม Power ในการเปิดหน้าจอเครื่องและดับหน้าจอได้ แต่ถ้าเข้าไปตั้งค่าในเครื่อง ก็สามารถปรับให้ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง เป็นปุ่มเปิดหน้าจอได้เช่นกัน (ไม่มีฟีเจอร์ knock on เคาะจอ2ที เหมือนพวกมือถือชั้นนำในสมัยนี้นะครับ ลำบากแท้)
สำหรับขอบด้านซ้ายของเครื่องจะเรียบๆ มีเพียงช่องที่ใส่ซิมครับ ต้องเอาเข็มจิ้มเข้าไปเพื่อดึงถาดซิมออกมา (ตอนดึงออกมาค่อนข้างฝืดเลยล่ะ เพราะถาดซิมก็เป็นโลหะเหมือนกัน) ส่วนขนาดของซิมที่ใช้จะเป็น Micro SIM ครับ
ส่วนของด้านหลังจะเป็นผิวพลาสติกเงาๆครับ แต่จริงๆมีลูกเล่นด้วย ส่วนผิวสัมผัสให้ความรู้สึกลื่นมือดีครับ และของจริงตรงด้านหลังทำให้มันนูนๆโค้งออกมาหน่อยเพื่อให้รับกับช่องว่างของมือ ทำให้ถือได้กระชับยิ่งขึ้น พร้อมทั้งตัวเครื่องค่อนข้างมีน้ำหนัก (เมื่อเทียบกับหลายๆรุ่นที่เคยจับมา) นั่นก็ทำให้ยิ่งจับได้กระชับยิ่งขึ้น
ด้านบนจะเป็นรูไมค์ตัดเสียงรบกวน , กล้องหลังความละเอียด 13MP รูรับแสง f/1.8 และใช้เซ็นเซอร์ IMX 214 จาก Sony ที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ด้านการถ่ายรูปมากมาย และสุดท้ายที่อยู่ใต้กล้องจะเป็นไฟแฟลชครับ ที่จะทำงานร่วมกับฟีเจอร์ชื่อ Chroma Flash ที่มีคุณสมบัติทำให้ภาพที่ถ่ายตอนเปิดแฟลชไม่สว่างขาวจั๊วะจนเกินไปเหมือนผี โดยหลักการก็คือ จะนำภาพที่ถ่ายทั้งเปิดแฟลชและไม่ได้เปิดแฟลชมารวมเข้าด้วยกัน ให้ได้ภาพที่ดูเป็นธรรมชาติ ตามคลิปด้านล่างนี้ครับ
Xiaomi Mi 4 กับกล้องความละเอียด 13MP (Sony IMX214 sensor) พร้อมหน้าตา Camera Interface!!!
http://youtu.be/ZGfEQnhaBoo
ส่วนด้านล่างก็จมีโลโก้ MI เช่นเคย เป็นโลหะสีเงาเงาๆครับ และลองสังเกตุที่ผิวด้านหลังของตัวเครื่อง จะเป็นตารางสีเหลี่ยมขาวๆเล็กๆเต็มไปหมด จุดนี้แหล่ะที่ถ่ายให้ติดยากสุดๆ แต่ถ้ามาได้เห็นของจริงรับรองว่าเพื่อนต้องหลงรักแน่ๆ นอกจากสวยแล้วยังช่วยให้มองไม่เห็นรอยนิ้วมือได้ด้วยระดับนึงครับ
[divider]
สเปคของ Xiaomi Mi 4
- 3G HSDPA 850 / 900 / 1900 / 2100
- รองรับ 4G LTE (ปัจจุบันรุ่นที่รองรับ 4G ในไทยยังไม่ได้วางขาย)
- ใช้ Micro-SIM
- DC-HSDPA, 42 Mbps; HSDPA, 21 Mbps; HSUPA, 5.76 Mbps; LTE
- ตัวเครื่องมีขนาด 139.2 x 68.5 x 8.9 มม. น้ำหนัก 149 กรัม
- หน้าจอ IPS LCD ขนาด 5 นิ้วความละเอียด Full HD 1080P 1200 x 1920 pixels (441 ppi) JDI OGS Lamination Display
- CPU Qualcomm MSM8974AC Snapdragon 801 Quad-core 2.5 GHz Krait 400
- GPU Adreno 330
- RAM 3GB
- หน่วยความจำภายใน 16GB และ 64GB เพิ่มหน่วยความจำภายนอกไม่ได้
- Android 4.4.2 KitKat และครอบทับด้วย MIUI 6
- Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Wi-Fi Direct, DLNA, Wi-Fi hotspot, Bluetooth 4.0, NFC, USB 2.0, Infrared Port, USB On-the-go, GPS รองรับ GLONASS
- กล้องความละเอียด 13 MP, 4128 x 3096 pixels, autofocus, dual-LED flash, 1/3” sensor size, 1.12µm pixel size, geo-tagging, touch focus, face and smile detection, HDR
- บันทึกวีดีโอ 4K 2160p, Full HD 1080P 30fps, HDR
- กล้องหน้า 8MP บันทึกวีดีโอ Full HD 1080P 30fps
- แบตเตอรี่ความจุ 3080 mAh, สนับสนุนการชาร์จใว 9V/1.2A or 5V/2A
[divider]
ตัวอย่างภาพถ่ายและการถ่ายวีดีโอ
พูดถึงกล้องหลังของ Xiaomi MI4 ก็ค่อนข้างโหดเลยล่ะ ชัดเตอร์เร็วดีมาก กดปุ๊ปติดปั๊ป แล้วยังมีโหมดต่างๆที่จำเป็นมากมาย ส่วนเรื่องโหมดการถ่ายวีดีโอก็สามารถถ่ายได้ความละเอียดสูงสุด 4K ต่อมาก็เป็นส่วนของไฟแฟลชที่มีโหมด Chroma Flash ฟีเจอร์ที่สงวนให้กับสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปQualcomm Snapdragon รุ่นล่าสุด (ต้องลองเช็คกันดูว่ามือถือรุ่นอื่นๆมีฟีเจอร์นี้บ้างไหม) ส่วนส่วนท้ายก็ขอพูดถึงกล้องหน้าที่ผมชอบมากกกก สามารถถ่ายได้มุมที่กว้างกว่าปกติ เมื่อตั้งในแนวตั้งสามารถถ่ายได้ประมาณครึ่งตัวสบายๆ ส่วนตั้งในแนวนอนก็สามารถถ่ายเห็นวิวรอบๆตัวได้ด้วย แล้วมีฟีเจอร์ของกล้องหน้าก็เช่น นับถอยหลังก่อนถ่าย และมีฟีเจอร์ Beauty Mode มากถึง 3 ระดับที่ดีพอที่ทำให้ผิวหน้าเนียนโดยไม่ต้องไปแต่งในแอปอื่นเพิ่มเลย ก็ลองชมตัวอย่างภาพถ่ายที่เยอะสุดๆ จัดเต็มกันไปเลย หัวข้อลิงค์ 1-4 จะมาใช้ MIUI V6 ส่วนข้อ 5 ยังใช้ MIUI V5 เนื่องจากตอนนั้นเพิ่มได้เครื่องมาครับ ก็ลองเทียบกันดูนะครับหลายๆภาพว่าถูกใจเพื่อนๆหรือไม่
1.Tips : วิธีใช้งานถ่ายภาพด้วยโหมด Slow shutter จาก Xiaomi MI4 MIUI V6
2.ตัวอย่างการถ่ายวีดีโอของ Xiaomi MI4 แบบ 720p และ 4K ในงานแต่งงานสุดโรแมนติก
3.Mini Review : พาทัวร์งาน Commart 2014 ด้วยโหมดต่างๆจากกล้อง Xiaomi MI4 MIUI V6
4.Xiaomi MI4 ขอแก้ตัว : ทดสอบถ่ายวีดีโอ 4K ในที่ๆเสียงดังแก้วหูแทบแตก @Motor Expo 2014
นอกจากเด่นเรื่องการถ่ายรูปแล้ว Xiaomi MI4 ยังเด่นเรื่องสามารถถ่ายวีดีโอ 4K ต่อเนื่องได้อย่างยาวนานอีกด้วย ซึ่งคลิปด้านล่างมีความยาว 10.16 นาที ขนาดไฟล์ต้นฉบับอยู่ที่ 3.09 GB ยังถ่ายได้สบายไร้อาการกระตุกของตัวเครื่อง บริเวณกล้องมีความรู้สึกอุ่นเพียงเล็กน้อยหลังถ่ายเสร็จแค่นั้น นี่เป็นหนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญที่มีชัยเหนือสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปจากแบรนด์อื่นๆ ที่ถูกจำกัดนาทีการถ่าย 4K เช่น LG G3 เป็นต้น
[divider]
หน้าตา MIUI
แว๊บแรกที่ได้ลองเล่นรุ่นนี้ บอกได้เลยว่ามันถอดแบบมาจาก IOS มาเลย ถึงแม้ไอค่อนของแอปต่างๆจะหน้าไม่เหมือน แต่ประสบการณ์ใช้งานมันใกล้เคียงกันมากจริงๆ แต่ไม่ขอเรียกว่าก็อปปี้กันมานะ เพราะต่างฝ่ายต่างมีจุดขายของตัวเอง ซึ่ง MIUI V6 ที่ใช้อยู่นี่สามารถปรับแต่งอะไรๆได้มากให้เราไม่รู้สึกเบื่อมัน ถ้าเบื่อก็มีโหลด Theme ให้ได้ลองใช้กันอีกด้วยครับ หน้าตา UI จะเป็นแบบนี้ ไม่มีหน้า App drawer แบบพวก Samsung , HTC , LG , Pure Google แต่ MIUI จะเป็นลักษณะเดียวกับ IOS คือทั้งแอปทั้ง Widget จะถูกวางไว้หน้า Home ทั้งหมด ถ้ามีแอปที่เพิ่งโหลดมาใหม่ จะถูกเอามาเรียงไว้หน้าทางขวาสุดเสมอ แต่ถ้าหน้ามี่เปิดไว้เต็มมันจะสร้างหน้าใหม่ขึ้นมาเพื่อรองรับแอปใหม่ครับ (สมมติว่าเปิดไว้ 3 หน้า มันจะสร้างหน้าที่ 4 ขึ้นมาให้เอง)
การเรียกใช้งานโหมดต่างๆที่ถูกซ่อนไว้ใน MIUI V6 ตัวล่าสุด
1.จีบทั้ง 2 นิ้วเข้า(เหมือนตอนที่เราจะซูมออกนั่นแหล่ะ ทำเหมือนกันเป๊ะ!) ตรงไหนก็ได้ของหน้า Home (แนะนำให้เป็นจุดที่ว่างๆหน่อย จะติดได้ง่าย) จะเป็นการเรียกการปรับแต่งเอฟเฟคตอนเลื่อนหน้าจอ , เปลี่ยน Wallpaper , เพิ่ม Widget และเพิ่มแอปได้ที่นี่
2.จากหน้า Home ให้ลากนิ้วจากล่างขึ้นบน ในจุดที่เปนที่ว่าง มันจะขึ้นหน้า search ขึ้นมา จากที่ลองดูแล้วมันสามารถค้นหาชื่อแอปได้ทั้งจากใน market และในเครื่อง รวมทั้งสามารถพิมพ์เพื่อหาข้อมูลต่อผ่าน browser อีกด้วย ถือว่าเป็นทางลัดนึงที่อาจจะเร็วกว่าเข้าใช้งานแบบปกติก็ได้นะครับถ้าใช้จนคล่อง
3.เมื่อเข้า folder ที่รวมแอปแล้วจะหน้าออกมาประมาณนี้ครับ จะแสดงถึงชื่อของไฟล์และแอปอย่างชัดเจน และจะเบลอฉากหลังครับ ถ้าสังเกตุเกม RO mobile จะมีจุดสีส้มๆ นั่นแปลว่าแอปนี้เพิ่งโหลดมาและยังไม่เคยเข้ามาก่อน
4.ลากนิ้วลงมาจากบนลงล่าง (จะเป็นตรงตำแหน่งที่ว่งๆตรงไหนก็ได้ กับ ลากจากขอบบนลงล่าง) เพื่อเรียกแถบการแจ้งเตือน (Notification bar) ตรงนี้มี 2 หน้า ส่วนอีกหน้านึงอยู่ทางขวาจะเป็นหน้าตามรูปด้านบนนี้ครับ เป็นหน้ารวมพวก Toggles ต่างๆที่เอาไว้เปิด-ปิด Wifi , 3G , GPS เพิ่ม-ลดแสงสว่าง , จับภาพหน้าจอ และอื่นๆอีกมากมายเต็มไปหมด
ส่วนตรงด้านบนสุดของแถบนี้จะเป็นเครื่องเล่นเพลงครับ เราสามารถเลื่อนเพลงต่อไปหรือกดหยุดเล่นชั่วคราวได้จากที่นี่ แต่ถ้าต้องการย้อนไปเพลงที่แล้ว ก็ให้กดตรงนั้นเลย มันจะเรียกเป็นแอปเครื่องเล่นเพลงเต็มๆขึ้นมาให้เราเลือกเพลงใหม่ๆได้แล้วก็ย้อนกลับไปเพลงก่อนหน้านี้ได้ด้วย
ส่วนตรงด้านล่างที่เป็นรูปฟันเฟืองก็คือ ตั้งค่า (setting) นั่นเองครับ
[divider]
Settings
หน้าตาของการตั้งค่าของ MIUI V6 จะเป็นโทนสีขาว เรียบง่ายสะอาดตา เมนูบางหมวดก็ถูกจับย่อมารวมกันในหมวดใหญ่ ช่วยให้ดูเรียบร้อยและหาง่ายขึ้นครับ ซึ่งหมวดที่จะถูกซ่อนไว้จะชื่อว่า Additional settings จะมีอยู่ 2 จุดดังนี้ 1.Network กับ 2.ส่วนของตั้งค่าหน้าจอ, เสียงล็อคหน้าจอและโหมดความปลอดภัย
ส่วนนี้จะเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเครื่องครับ ไม่มีอะไรพิเศษมากนัก
[divider]
การใช้งานแบตเตอรี่ (Battery Life)
Xiaomi MI4 แบตเตอรี่ความจุ 3080 mAh, สนับสนุนการชาร์จใว 9V/1.2A หรือ 5V/2A ที่ความอึดอยู่ในระดับที่น่าพอใจมากๆ สามารถใช้งานได้ยาวทั้งวันโดยไม่ต้องชาร์จ 2 รอบ ส่วนเรื่องการชาร์จแบตถือว่าชาร์จเต็มไวมาก จากระดับต่ำกว่า 10% จนถึง 100% สามารถชาร์จเต็มได้ภายใน 2 ชั่วโมงครับ หรือเฉลี่ยแล้วนาทีนึงแบตขึ้นมา 2-3%ได้เลย
แต่ละรุ่นจะมี 2 โหมดที่ควบคุมการใช้พลังงานอยู่ด้วยกัน 2 โหมดก็คือ Perfomance กับ Blance
– Perfomance เป็นโหมดปลดปล่อยพลังความแรงแห่ง Snapdragon 801 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแบบไม่กั๊กความแรงแม้แต่นิดเดียว ที่ช่วยเรื่องการเล่นเกมที่กราฟฟิคหนักและรายละเอียดเยอะๆได้ดีเพราะไม่กระตุกเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเทียบกับโหลด Balance ยังมีอาการกระตุกในฉากดังกล่าวอยู่แต่น้อยมาก ถ้าไม่สังเกตุจะไม่รู้สึก รวมทั้งอีกเหตุผลนึงที่ควรให้โหมดนี้คือ เอาไว้วัดคะแนน Benchmark ไว้อวดเพื่อน ให้รู้ว่าเครื่องเราแรงมากแค่ไหน เดี๋ยวจะทำเทสคะแนนให้ทีหลังครับ ข้อเสียคือกินแบตมหาศาล ลดไวเหมือนเทน้ำประมาณ 5-7 ชั่วโมงเมื่อใช้งานแบบปกติก็ร่อแร่แล้ว
–Balance เป็นโหมดประหยัดพลังงานมากกว่าโดยที่ช่วยให้การใช้งานแบตอยู่ได้นานกว่า เพียงพอกับการใช้งานทั่วๆไปแล้ว ถ้าเปิดโหมดนี้ไปทดสอบ Benchmark จะพบว่าคะแนนน้อยกว่าอีกโหมดนึงอย่างชัดเจน และโหมดนี้ไม่เหมาะกับคนที่ชอบเล่นเกมหนักๆสักเท่าไร แต่ถ้าเป็นเกมเบาๆเช่น Cookie Run หรืออะไรประมาณนี้ก็เปิดโหมดนี้เล่นไปได้เลยครับ ลื่นไหลแน่นอน
ทดสอบเรื่องการแสตนบายเครื่องครับ โดยที่ได้เสียบปลั๊กชาร์จเต็มตอนกลางคืนแล้วถอปลั๊กเปิดเครื่องทิ้งไว้โดยที่ไม่มีกรเชื่อมต่อ Wifi , 3G หรือ GPS อะไรเลย แต่ยังคงเปิดสัญญาณโทรศัพท์เอาไว้ ผลก็เป็นไปตามนี้ครับ แต่มันจะมีจุดที่มีผลกับแบตที่ลดลงตอนแสตนบายก็คือแอปที่มีโฆษณาแฝงอยู่ภายใน มักจะเป็นพวกแอปฟรีๆหรือแอปที่เป็นไฟล์ apk ที่ไม่มีโหลดใน Google Play ยกเว้น Tubemate ถ้าติดตั้งแอปพวกนี้เข้ามามันจะส่งผลได้เพราะเคยอยู่เหมือนกัน แสตนบายแบบนี้ทิ้งไว้แบบติดตั้งแอปดังกล่าไว้ด้วย ตนตื่นมาตอนเช้าแบตลดลงจนเหลือเพียง 70กว่า% เท่านั เพราะฉะนั้นต้องสังเกตุกันดีๆนะเพื่อนๆ
ใช้งานแบตอึดที่สุด : ส่วนต่อมาเป็นเรื่องของการใช้งานแบปกติในโหลด Balance ครับเมื่อใช้งานปกติแบบใช้บ้างไม่ใช้บ้าง เน้นต่อ Wifi ในที่ทำงานมากกว่า แต่มีสลับใช้ 3G เมื่อออกไปข้างนอก ตกกลางคืนแล้วแบตเหลือเท่านี้ครับ
ใช้งานเวอร์ชั่นฮาร์ดคอร์ : ยังคงเปิดโหมด Balance เช่นเคย โดยการใช้งานนี้กระหน่ำเล่นเกมอย่างไม่หยุดยั้ง และต่อ Wifi สลับกับ 3G ตลอดเวลาที่เล่นเกม โดยเกมที่ได้เล่นมีทั้งหมด 3 เกมคือ Cookie Run , Spider-man แล้วก็ RO mobile ที่เป็นเกมออนไลน์ทั้งหมด รวมทั้งใช้งาน Social แทบจะตลอดเวลาที่ว่างเช่น Facebook , Line , Instagram เป็นต้น และยังมีเข้าเว็บเพื่อดูข่าวที่เพื่อนๆโพสใน Facebook ด้วย ผลออกมาได้ตามรูปที่เห็นเลยครับ
[divider]
การเล่นเกม
ด้วยสเปค CPU Qualcomm MSM8974AC Snapdragon 801 Quad-core 2.5 GHz Krait 400 กับ GPU Adreno 330 ทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้สามารถเล่นได้ทุกเกมที่มีอยู่แล้วล่ะครับ ไว้ว่าจะเป็นเกมใหญ่หรือเกมเล็กก็ไม่หวั่น ถ้าเป็นเกมเบาๆเช่น Cookie Run กับ RO Mobile ใช้แค่โหมด Balance อย่างที่ได้บอกไปก่อนแล้วที่หัวข้อแบตเตอรี่ครับ แต่ถ้าเป็นเกมใหญ่ๆจริงๆแนะนำให้ใช้โหมด Performance น่าจะเหมาะสมกว่าครับ เพราะมันลื่นขั้นเทพจริงๆนะ
หน่วยความจำในตัวเครื่อง (Internal storage)
หน่วยความจำเริ่มต้นในตัวเครื่องของ Xiaomi MI4 มีให้เลือกทั้ง 2 แบบคือ 16GB กับ 64GB ครับ ส่วนของผมจะเป็น16GB แน่นอนว่าหลังจากเปิดเครื่องมามันไม่มีทางที่จะเหลือเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรอก เนื่องจากมันต้องลงแอปและระบบแอนดรอยด์ลงไปด้วย ดังนั้นหน่วยความจำที่เหลือก็คือ 13.27GB ครับ (รูปนี้เป็น MIVI V5) ถ้าใครที่เก็บไฟล์ต่างๆหรือไม่ค่อยเล่นเกม ซื้อแค่ 16GB ก็เพียงพอมากๆแล้วครับ
พูดถึงข้อดีของเครื่องที่มีหน่วยความจำภายในแบบเพิ่มไม่ได้ก็คือสามารถถ่ายโอนไฟล์ได้อย่างรวดเร็วมาก รวมทั้งช่วยให้ตอนเปิดเครื่องมาใหม่ๆสามารถใช้งาน MI4 ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องรอแสกนเมมโมรี่เหมือนพวกที่เพิ่ม Micro SD card ได้ครับ เชื่อว่าจุดๆนี้หลายๆคนน่าจะนึกออกนะครับ อีกอย่างเลยคือป้องกันการใช้ Micro SD Card ที่คุณภาพต่ำทำให้เครื่องมีปัญหาได้อีกด้วย
[divider]
[Tips] วิธีใช้งานโหมด One hand และวิธีปิดโหมดสำหรับ Xiaomi MI4
[divider]
สิ่งที่ชอบ
1. กล้องหน้า กับหลังชัดสุดยอด มีโหมดฟรุ้งฟริ้งทั้ง 2 กล้อง และลูกเล่นเยอะ
2. เสียงแน่นดี ไม่แตก แต่ไม่ถึงขั้นดังมากนัก
3. ราคาเพียงหมื่นต้นๆ แต่สเปคจัดหนักเหมือนรุ่นราคาเกิน 2หมื่น
4. มี IR Blaster (รีโมททีวี) แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ใช้งานเลย – -*
5. แบตใหญ่ + อึดทนนาน + ชาร์จเต็มค่อนข้างไว ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
6. มีอัพเดทแก้บั๊ก กับเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆมาเรื่อยๆ
7. ซอฟแวร์เสถียรมาก ลื่นไหลดีมาก ไม่เคยเจอกระตุก
8. อ่านข้อมูลในเครื่องได้รวดเร็ว เมื่อใช้เมมน้อย แต่ถ้าเมมจะเต็มก็มีรอโหลดตอนกลับหน้า Home เหมือนกัน
9. วัสดุพลาสติก กับโลหะเป็นแกนกลางและขอบเครื่อง (ถ้าเสียบคอม ไฟดูดได้ – -*)
10. หน้าจอคมชัด แสดงผลสีได้ดี แต่สีแดงสดเกินจริงไปนิด
สิ่งที่ไม่ชอบ
1. เคสตามท้องตลาดหายากและไม่ค่อยหลากหลาย ต้องสั่งออนไลน์เอา (ทุกวันนี้ใช้เคสที่แถมมายังไม่เปลี่ยน)
2. ไม่ค่อยรองรับกับอุปกรณ์ภายนอก เช่น Smartwatch (เชื่อมได้ แต่แอปที่ลงไว้ไม่โผล่)
3. ซอฟแวร์หลังอัพเดทบางครั้งมีบั๊ก ทำให้เครื่องค้างจนรีสตาร์ทเอง (เฉลี่ยเต็มที่เดือนละ 1-2 ครั้ง)
4. ตัวเครื่องค่อนข้างหนัก (จริงๆนะ ไปลองจับของจริงได้)
5. ต้องศึกษาระบบพอสมควรสำหรับมือใหม่ เพราะมันต้องเปิดล็อคต่างๆเช่น การแจ้งเตือนแอป Line , Facebook ไม่งั้นมันไม่เด้งเตือน
6. ถ้าเครื่องพัง หาซ่อมยากสำหรับเครื่องหิ้ว แต่ตอนนี้เข้าไทยแล้วผ่านทาง Strek พร้อมศูนย์ซ่อม
7. Chroma Flash ที่เป็นโหมดถ่ายรูปด้วยแฟลชแล้วดูเนียนขึ้น ตอนใช้งานจริงคิดว่าแทบไม่เห็นความเห็นความแตกต่างกับตอนปิดโหมด
8. การอัดเสียง ตอนถ่ายวีดีโอยังทำได้ไม่ค่อยดีนัก
[divider]
FAQ
Q : เฮ้ย! แบรนด์จีน จะระเบิดมั้ยอ่ะ?
A : Xiaomi เป็นแบรนด์จีนเกรด A อันดับ 1 ในจีนครับ เป็นแบรนด์ที่เพิ่งเกิดมาไม่กี่ปีแต่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 4 ของโลกได้ คุณคิดดูว่าไม่แน่จริง คงทำไม่ได้
Q : Xiaomi มันอ่านว่าไรหรอ? เสียวหมี , เสี่ยวมี่ , เซียวมี ???
A : 小米 (Xiaomi) อ่านว่า เสียว (เหมือนมองลงมาข้างล่างจากที่สูง) หมี่ (บะหมี่) = เสียวหมี่ , แปลว่า ข้าวเล็กๆ
Q : เพิ่งเข้าไทยหรอ ถ้าซื้อจะซ่อมได้ที่ไหนอ่ะ
A : คุณซื้อที่ไหนก็ซ่อมกับร้านที่คุณซื้อครับ ถ้าในไทยจะเป็นของ Strek ครับ
Q : มันดีสู้ Samsung Galaxy S6 Edge , iphone 6 Plus ได้ป่าว?
A : ถ้าเทียบกันที่ราคาพอๆกันแล้ว(หมื่นต้นๆ) Xiaomi MI4 กินขาด แต่ถ้าเทียบกับรุ่นท้อปด้วยกัน ผมว่าเอา Xiaomi Mi Note Pro มาชนแทนดีกว่า (รุ่นนี้เพิ่งเปิดตัวต้นปี)
Q : เหมาะกับผู้ใช้แบบไหน
A : เหมาะกับคนที่ชอบความเรียบง่าย ไม่ต้องซับซ้อนอะไรมากมาย จะว่าไปมันก็ใช้งานแทบจะเหมือนกับ IOS เลยนะ พูดตรงๆเพราะหลังๆนี้ UI ของมือถือจีนก็ทำหน้า Home ที่วางแอปได้เลย ไม่มีส่วนของ App Drawer อีกแล้ว ซึ่งผมเชื่อว่าคนที่เคยใช้ IOS คงใช้ MIUI ได้ ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากนัก , ส่วนผู้ใ้ชอีกกลุ่มที่เหมาะสมกับรุ่นนี้คือคนที่ทุนอาจจะไม่สูงมาก แต่ต้องการรุ่นที่สเปคดีเยี่ยม ใช้ได้นานๆ ไม่ตกรุ่นง่ายๆ ผมก็แนะนำเป็น Xiaomi MI4 นี่แหล่ะ แต่ถ้าใครอยากได้จอใหญ่ขึ้น คงแนะนำให้เลือก Xiaomi Mi Note Pro ราคาเครื่องหิ้วตอนนี้ไม่ถึง 2 หมื่นนะ
Q : เห็นว่าเริ่มเปิดจองในงาน TME 2015 แล้วมีขั้นตอนไงบ้าง?
A : วิธีการจอง : มัดจำ 1000 บาท พร้อมของแถมมากมาย เช่น เสื้อ Xiaomi , ตุ๊กตา Xiaomi ของแท้ , Gel case (โปรโมชั่นจาก Strek ส่วนของ True ตามด้านล่าง)