[Disqus จับประเด็น] วันนี้ขอพูดถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับ “ชื่อ” สำคัญแค่ไหน มีผลอะไรกับตลาดในวงการสมาร์ทโฟนและไอทีในโลกของเราบ้าง เช่น Apple iPad Air ตอกย้ำมุมมองการตลาดขั้นเซียน “จี้ถูกจุด”
หลัง Apple ประกาศอุปกรณ์ iPad ตัวล่าสุดของพวกเขา ไม่ใช่ iPad 5 ไม่ใช่ The New iPad แต่มันมีชื่อว่า iPad Air
ทันทีที่ทั่วโลกได้ยินนาม iPad Air เซลล์สมองและสองลูกตาของผมหันไปมองสเปคเครื่องในบรรทัดข้อมูลเกี่ยวกับขนาดน้ำหนักและขนาดตัวเครื่องของอุปกรณ์นี้โดยทันที และ “โป๊ะเช๊ะ” ใช่เลย นี่คือการกลบจุดด้อยที่แนบสนิทหลังเป็นปมคาใจผู้ใช้ iPad มานาน เรื่องของขนาดน้ำหนักตัวเครื่อง iPad มาวันนี้ Apple ไม่ได้แค่ทำได้ แต่ทำได้ดี ด้วยการนำเสนอจุดแข็งใหม่ของพวกเขาได้ด้วยเทคนิคง่ายๆ ที่เรียกให้ทุกคนหันมาสนใจในจุดแข็งนี้ด้วยคำสั้นๆ “เฮ้ นี่ชื่อว่า iPad Air นะ”
“Air” อากาศ นุ่มนวล เบาสบาย คำนี้ Apple เคยนำไปใช้แล้วในเครื่องตระกูล Mac ของพวกเขา นั้นคือ Macbook Air มันเป็นคำที่นับเป็นตัวแทนของเครื่องหรืออุปกรณ์ที่บางและเบากว่าปกติไปแล้วในวันนี้ แม้ถ้าเราจะมองกันจริงๆ ถึงการพัฒนาตามแนวทางที่ควรจะเป็น อุปกรณ์ในรุ่นใหม่ๆ ก็ต้องเบาและบางลงมากกว่าเครื่องรุ่นเก่าอยู่แล้วตามนวัตกรรมการผลิตที่พัฒนากันไปปีต่อปี ถ้าวันนี้ Apple ตั้งชื่อ iPad ตัวใหม่ว่า Apple iPad5 หรือจะเป็น The New iPad ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยทำมา ก็ดูเหมือนว่าเรื่องขนาดเครื่องก็จะเป็นแค่หนึ่งเรื่องที่เรารับรู้เข้าสมองส่วนหนึ่งในสเปคเครื่องเท่านั้นเอง
แต่จากความฉลาดในการเลื่อกใช้คำว่า Air ทำให้วันนี้ ผมเห็นผู้ถือ iPad ตัวใหม่หลายๆ คน โดนคำถามแรกจากเพื่อนๆ ผู้สนใจ “เบาแค่ไหนตัวนี้ ขอลองถือมั้งสิ”
จะว่าไป สิ่งที่ทำให้คำว่า iPad Air มีผลต่อจิตวิทยาของผู้ที่สนใจมากขนาดนี้ ก็ต้องพูดถึงผลงานประสิทธิภาพการใช้งานที่ทำไว้ดีมากในรุ่นเก่าๆ เป็นทุน ทำให้หลายๆ คน ณ วันนี้มีความมั่นใจจนเกือบจะเลิกสนใจมองในสเปคส่วนอื่นๆ ของเครื่อง iPad ไปแล้ว เช่นเรื่อง iPad Air มีขนาดแบตเล็กลง 31% เพื่อน้ำหนักที่เบาขึ้น ส่วนใหญ่ไม่สนใจผมเองยังไม่สนใจ นั้นเพราะความไว้วางใจในประสบการณ์การใช้งานที่ได้รับๆ มา เมื่อรุ่นใหม่เปิดตัวออกมาพร้อมกับกลบจุดอ่อนเดียวที่พอจะนึกได้ในรุ่นเก่า มันจึงกลายเป็นความลงตัวที่คนรอมานานนั้นเองครับ นี่ก็เป็นผลลัพท์จากชื่อเพียงชื่อเดียว ที่เลือกมาได้อย่างลงตัว
ในความเป็นจริง iPad Air ไม่ใช่สุดยอดนวัตกรรมการผลิตที่บางเบาไร้เทียบเทียม ถ้าเราจะมองเทียบกับเครื่อง Tablet ในตลาดที่เป็นคู่แข่ง ยกตัวอย่างเช่น Samsung Galaxy Note 10.1 ตัวใหม่ (2014 Edition) ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่าของ Note 10.1 รวมถึงลำโพงสเตอริโอ ตัวกล้องและขนาดแรมที่มีมาให้มากกว่า iPad Air แต่ขนาดเครื่องและน้ำหนักกลับแตกต่างกันเพียง 66กรัม ก็ถือว่านี่เป็นมาตรฐานการผลิตในปัจจุปันที่เราจะพบเจอได้ในเครื่องอื่นๆ เช่นกันครับ
แต่ด้วยคำว่า Air และคำว่า Note นับเป็นสิ่งเขาเลือกกันแล้วว่า จะชูอุปกรณ์ของตัวเองกันไปในด้านไหน และดูเหมือนทั้งคำว่า Air และคำว่า Note ก็ทำให้ทั้งคู่ประสบความสำเร็จในการดึงความสนใจไปในจุดเด่นของอุปกรณ์ตัวเองด้วยกันทั้งคู่ จากเรื่องของ “ชื่อ” อีกเช่นกัน
จะว่าไป Apple นี่ก็เป็นเจ้าพ่อแห่งการตั้งชื่อมานานแล้วละครับ เราอยู่กับสิ่งนี้มาตั้งแต่ Apple เริ่มใช้คำว่า “S” ต่อท้ายอุปกรณ์ iPhone ของพวกเขา เพื่อชลอการเดินหน้าเร็วเกินไปของชื่อรุ่นที่รันตามตัวเลข เพราะจริงๆ แล้ว จะเป็นการอัพเดทเปลี่ยนแปลงในระดับ Minor Chang หรือ Major Chang ของ iPhone รุ่นใหม่ๆ แต่ชื่อก็คือชื่อ มันจะเป็น iPhone 5S หรือจะเป็น iPhone 6 มันก็ตามต่มติบริษัทจะตั้ง (เช่น iPad) และการเลือกใช้ “S” เข้ามาคั่นจัวหวะได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผู้ที่สนใจติดตามรู้สึกว่ามันเป็นแค่การยกระดับในขั้นกลาง ไม่คาดหวังอะไรมากเกินไป และไม่ทิ้งช่วงยาวนานจนทำให้กระแสตก iPhone ซีรีย์ “S” จึงเป็นตัวเรือธงของพวกเขาที่ไม่ใช่เรือธงจริงๆ ตามความรู้สึกของพวกเรา จากชื่อที่เขากั๊ก “S” ไว้นั้นเองครับ
ทุกวันนี้ เราจะเห็นได้ว่าเครื่องสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่อยู่ในตลาด ต่างเลือกใช้ชื่อรุ่นของผลิตภัณฑ์ในแบบ เท่ๆ เพราะๆ แต่ไม่ค่อยจะสื่อถึงอะไรที่เป็นตัวมันเอง น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะดูจากเครื่องที่ใช้ชื่อสื่อถึงตัวมันเอง มักจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งอยู่เสมอ อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ผู้ที่สนใจรู้ถึงจุดขายของตัวผลิตภัณฑ์นั้นอย่่างง่ายๆ จากคำไม่กี่คำของ “ชื่อ” ครับ