Drakerider ถือเป็นเกมที่มีความน่าสนใจอยู่เหลือล้นเลยทีเดียวครับ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ระบบการต่อสู้แบบใหม่ที่เรียกว่าระบบโซ่เวทย์มนต์ซึ่งทำออกมาได้เข้าทางการใช้งานผ่านการสัมผัสหน้าจอทัชกรีนเอามากๆ รวมไปจนถึงงานด้านกราฟิกที่สวยงานจนอดเอาไปเปรียบเทียบกับเกมจากเครื่องคอนโซลใหญ่ในระดับ PlayStation 2 ไม่ได้ แต่เมื่อได้ลองเล่นไปสักพักหนึ่งแล้วคุณก็จะค้นพบจุดบอดข้อใหญ่ของมันที่อาจทำให้ตัวเกมเปลี่ยนจากนิยามคำว่า “เกมที่เจ๋งมาก” เหลือเพียง “เกมที่พอสนุก” ไปได้เลย จุดบอดที่ว่านั้นก็คือแผนที่ภายที่ในเกมที่เล็กเกินไปสำหรับเกมที่มีการดำเนินเรื่องค่อนข้างยาวมากแบบนี้ เล็กจนในบทหลังๆ นั้นเนื้อเรื่องต้องบังคับให้เรากลับมาเหยียบดันเจี้ยนหรือแผนที่เดิมๆ ที่เคยผ่านไปแล้วอีกหลายต่อหลายรอบแทนที่จะได้ตื่นตาตื่นใจกับสถานที่ใหม่ๆ อย่างที่ควรจะเป็น
เรารับบทเป็น Aran Lawson ผู้ซึ่งแต่เดิมแล้วไม่ได้เต็มใจจะรับหน้าที่ “ผู้ขี่มังกร” หรือ “Dragalier” เลยสักนิด แต่เพราะเหตุการณ์เฉพาะหน้าบางอย่างที่ทำให้เขาจำต้องยอมรับเอาพรสวรรค์พิเศษในการขี่มังกรตัวที่จะเกิดขึ้นจากจินตนาการของเขาเองและแข็งแกร่งมากๆ นี้ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนอกจากความจริงที่ว่ามังกรดังกล่าวถูกถอดแบบออกมาจากจินตนาการของเขาแล้ว เจ้ามังกร Eckhardt และหนุ่มน้อย Aran ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์พิเศษใดๆ ต่อกันมากมายสักเท่าไหร่นัก ยามใดก็ตามที่ Aran ไม่สามารถควบคุมเจ้า Eckhardt ได้ มังกรที่เกิดจากจินตนาการของเขาตัวนี้ก็พร้อมที่จะหวนกลับมาทำร้ายเขาจนเกมโอเวอร์ได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ Aran จึงต้องควบคุมเจ้า Eckhardt เอาไว้ตลอดด้วยสายโซ่กุมบังเหียนเวทย์มนต์และพลังแห่งจิตวิญญาณของเขา
การผสมผสานการควบคุมตัว Eckhardt ด้วยวิธีการที่ว่านี้เองที่ทำให้เกิดเป็นระบบต่อสู้แบบใหม่ที่สร้างสรรค์และสนุกสนานในการควบคุมมาก ในฉากต่อสู้ ส่วนบนของหน้าจอจะปรากฏแถบสีขึ้นมาโดยไล่จากสีฟ้า สีเขียว สีเหลือง และสีแดงเลือดตามลำดับ ยิ่งเราปล่อยให้เกจต่ำลงไปติดสีน้ำเงินมากเท่าไหร่ พลังโจมตีของ Eckhardt ก็จะอ่อนกำลังลงไปเท่านั้น แต่สิ่งที่จะได้กลับคืนมาคือค่าพลังป้องกันที่จะยิ่งสูงขึ้น รวมไปจนถึงความสามารถในการเพิ่มเลือดหากเราติดตั้งความสามารถนี้เอาไว้ในตัว Eckhardt (พลังชีวิตของคุณจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ชนะการต่อสู้) แต่หากยิ่งเราปล่อยให้เกจไหลไปใกล้สีแดงเลือดมากเท่าไหร่ พลังในการโจมตีของ Eckhardt ก็จะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น แต่ถ้าคุณเผลอปล่อยให้เกจวิ่งไปจนถึงโซนแดงเลือดแล้วล่ะก็ Eckhardt ก็จะเป็นอิสระจากการควบคุมของคุณพร้อมกับขุมพลังสูงสุดในตัวมันเองก็จะโดนปลุกขึ้นมาอาละวาดในทันที เจ้ามังกร Eckhardt จะพร้อมทำร้ายทุกอย่างรอบกายมันด้วยพลังสุดยอดนี้ให้ตายเกลี้ยงไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งหน้าที่หนักนั้นตกเป็นของคุณในการบังคับให้เกจกลับมาอยู่ที่ระดับปกติให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อรักษาชีวิตของตนเอาไว้
ส่วนล่างของจอมีโซ่เวทย์มนต์ที่คุณจะต้องใช้นิ้วลากถูเพื่อควบคุมเกจที่กล่าวมาข้างต้นและควบคุม Eckhardt โดยการถูนิ้วลงบนโซ่มาทางซ้ายมือ แต่หากคุณต้องการเพิ่มพลังโจมตีของ Eckhardt ให้หนักขึ้น คุณจะต้องเลื่อนโซ่ไปทางฝั่งตรงกันข้าม โดยต้องระวังไม่ให้โซ่ดังกล่าวหลุดเข้าสู่โซนแดงเลือดหากไม่จำเป็น แต่หากคุณจำเป็นต้องใช้พลังขั้นสุดยอดของ Eckhardt ขึ้นมาจริงๆ (เช่นเจอบอสที่ยากมากหรืออะไรประมาณนี้) คุณก็เพียงแค่ปล่อยโซ่ให้วิ่งไปจนถึงเกจแดงเพื่อปลดแอก Eckhardt แล้วค่อยรีบเลื่อนโซ่กลับมาหลังจากศัตรูโดนโจมตีแล้ว การทำแบบนี้จะสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้สูงมาก เช่นเดียวกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับพลังชีวิตของคุณ (พลังชีวิตที่สูญหายไปจากการปลดแอก Eckhardt จะไม่คืนกลับมาหลังจบฉากต่อสู้ หากคุณต้องการให้พลังกลับมา คุณต้องใช้ไอเท็มราคาแพงมากตัวหนึ่งซึ่งไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปเลย ดังนั้นก่อนจะปล่อยเกจไปจนสุดต้องวางแผนและชั่งใจดีๆ นะครับ)
ระบบการต่อสู้แบบใหม่ที่ว่านี่ล่ะครับที่เป็นเสมือนพระเอกสำหรับเกมเลย เพราะนอกจากจะสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเกมแล้ว มันยังทำให้ผู้เล่นลุ้นไปได้ตลอดเวลาจนบางครั้งมารู้ตัวอีกทีก็นิ้วหัวแม่มือปูดกันไปเป็นที่เรียบร้อย แต่หากตัดเอาระบบการต่อสู้แบบใหม่นี้ออกไป เกมเพลย์ในส่วนอื่นๆ ของ Drakerider ก็ไม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ใดๆ อีกไม่ว่าจะมองในมุมไหน
หลังจากบินโฉบแผนที่โลก 3D เก๋ๆ ไปมาได้สักพัก คุณจะต้องร่อนเจ้า Eckhardt ลงเพื่อทำภารกิจและเพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินต่อไป บ่อยครั้งที่คุณจบลงที่ฉากแผนที่ (ที่ไม่ใช่เวิล์ดแมป) ซึ่งไม่ได้มีอะไรให้น่าจดจำหรือค้นหาสักเท่าไหร่นัก แต่ที่แย่กว่านั้นคือยิ่งคุณเล่นไปหลังๆ ก็ยิ่งไม่มีฉากใหม่ๆ ให้คุณได้เข้าไปผจญภัย ตัวเกมจะเริ่มวนแผนที่ไปมาจนทำให้ผู้เล่นเบื่อเอาได้ในที่สุดตามที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ละฉากที่เราจะได้ออกไปผจญภัยนั้นไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก เส้นทางเองก็ไม่ค่อยซับซ้อนแต่อย่างใด และตัวเกมยังใจดีพอที่จะทำลูกศรชี้ทางที่ถูกต้องไว้ให้ตลอดทาง แต่ในส่วนนี้ APPDISQUS ขออนุญาตแนะนำให้คุณลองไปในทางตรงกันข้ามกับลูกศรดูก่อน เพราะบ่อยครั้งที่เราจะเผลอเจอไอเท็มดีๆ เข้าเพราะการเดินออกนอกเส้นทางแบบนี้
ในฉากเหล่านี้ ศัตรูน้อยใหญ่จะพร้อมปรากฏขึ้นมาให้เราได้ต่อสู่ด้วยอยู่แทบจะตลอดเวลาจนบางทีก็หงุดหงิดใจเหมือนกัน หน้าตามอนสเตอร์เหล่านั้นก็จะเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา เพราะต่อหนึ่งฉากจะมีศัตรูต่างกันออกไปแค่ไม่กี่ตัว ไม่นานคุณก็เริ่มรู้สึกว่ามันจะออกมาเยอะไปไหน…เยอะมากไปจนระบบการต่อสู้เจ๋งๆ ที่ว่ามาข้างต้นยังกลับกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อไปได้เลยทีเดียว
นอกจากนี้แล้ว ศัตรูที่คุณได้เจอระหว่างทางยังแยกออกเป็นสองกลุ่มได้อย่างชัดเจน หนึ่งคือกลุ่มศัตรูที่ง่ายจนไม่ต้องออกแรงสู้ สองคือกลุ่มศัตรูที่ยากจนแทบจะอยากเลื่อนเกจไปโซนแดงเลือดเอาตั้งแต่วินาทีแรก น้อยครั้งมากที่เราจะได้มีโอกาสเจอกลุ่มศัตรูที่กำลังอยู่ในช่วงโซนที่เรียกว่า “พอดี”
ตรงกันข้ามกับหัวหน้าประจำแต่ละแผนที่ ไอ้พวกนี้มากันเป็นมาตรฐานเดียวเลยคือยากลากเลือดมาก ทางเดียวที่ง่ายที่สุด (และก็เปลืองไอเท็มและเงินที่สุด) คือการกระโดดเข้าโหมดแดงเลือดเลยตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้าฉากต่อสู้เพื่อชิงความได้เปรียบจากหัวหน้า การกระโดดเข้าเกจแดงเลือดเลยนั้นบางทีก็ทำให้หัวหน้าตายได้ในคริติคัลเดียว หรืออย่างเลวร้ายที่สุดแล้ว หัวหน้าตัวนั้นๆ ก็พลังชีวิตหายไปมากกว่าครึ่งล่ะน่า แต่หากคุณมีความอดทนสักนิด เราขอแนะนำให้คุณวิ่งวนในฉากนั้นเพื่อเก็บเลเวลไปเรื่อยๆ ก่อนแล้วค่อยเข้าไปปะทะกับหัวหน้าประจำฉากเมื่อพร้อมจะดีกว่า นานหน่อยแต่ประหยัดเงินที่ต้องใช้ซื้อไอเท็มเพิ่มพลังหลอดเลือดหากเผลอกระโดดเข้าเกจแดงเลือดไปได้เยอะเลย
อย่างที่กล่าวไปแล้วในช่วงต้นว่างานด้านกราฟิกของ Drakerider นั้นสวยงามมาก การออกแบบตัวละครก็ทำได้ดีมีสไตล์ มีตัวละครแนวโมเอะกับชุดโป๊เปลือยหน่อยให้ได้กระชุ่มกระชวยหัวใจเล่นตามแบบฉบับของ Square Enix เนื้อเรื่องและจินตนาการที่แทรกอยู่ในเกมถือว่าน่าติดตามทีเดียว และในส่วนงานดนตรีนั้น ต้องยอมรับว่าบางแทร็คก็ทำให้เราหวนคิดกลับไปถึงเกมสมัย SEGA ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เสียงพากย์ภายในเกมทุกเสียงล้วนเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งอาจจะถือเป็นข้อดีและข้อเสียขึ้นอยู่กับมุมมองของบุคคล แต่สำหรับผมที่ไม่รู้เรื่องภาษาญี่ปุ่นเลยสักนิดเป็นทุนอยู่แล้ว ผมกลับชอบที่จะปล่อยให้ตัวละครพูดไปเรื่อยๆ จนจบแล้วคอยอ่านบทแปลด้านล่างจอเอาเพราะคิดไปเองว่าน่าจะเข้าถึงอารมณ์ของตัวเกมได้มากกว่าการอ่านจบแล้วรีบกดข้ามเสียงพากย์ไปเลยน่ะครับ
โดยรวมแล้ว Drakerider ถือเป็นเกม RPG ที่สนุกสนานน่าสนใจและน่าติดตามอีกเกมหนึ่งจากค่าย Square Enix ต้องชื่นชมความกล้าที่จะทำอะไรใหม่ๆ เช่นการบังคับในฉากต่อสู้ให้เกิดขึ้นกับขนบของเกม RPG แต่ที่ต้องติก็มีคือเรื่องของฉากแผนที่ต่างๆ ที่ดูเหมือน Square Enix จะตกมาตรฐานไปเยอะเหมือนกัน
หากคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ Square Enix หรือชอบเล่นเกมแนว JRPG เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เกมนี้น่าจะเป็นเกมที่ทำให้คุณสนุกกับการเล่นได้ไม่ยากนัก แต่หากคุณไม่ได้สนใจอะไรในเกมแนวนี้เลย Drakerider ก็สามารถมองข้ามไปได้อย่างไม่ได้สร้างความรู้สึกเสียดายหรือเสียใจอะไรเช่นกัน
[gradeB]