สวัสดีเช้าวันอังคารผมนาย Joker กลับมาในบทความพิเศษประจำวัน “ชวนคุยยามเช้า” ซึ่งหลังๆมานี่เดี๋ยวก็เขียน เดี๋ยวก็ไม่เขียน ต้องขออภัยในความเรื่อยเปื่อยของผู้เขียนด้วยนะครับ วันนี้นึกอะไรๆไปเรื่อยเปื่อย….ก็ไปสะดุดกับความคิดที่ว่า “หากว่าสมาร์ทโฟน….ไม่มีแรงดึงดูดอย่างที่มันทำได้สำเร็จ?” จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมในตอนนี้ ซึ่งถ้าพูดในประเด็นที่กว้างระดับสังคม ผมว่ามันมีเหตุการณ์สมมุติให้คาดเดากันเพียบเลยละครับ
ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าผู้คนอาจจะยังไม่เข้าถึงสื่อ Social เท่ากับทุกวันนี้ ทุกคนคงรอเวลาปลีกตัวจากงานเข้าสู่ Internet เพื่อผักผ่อนหย่อนใจ หรือเล่น Social บ้างแต่คงไม่เสพติดกันแบบในปัจจุบัน (ซึ่งการเสพติดแบบนี้สำหรับผม ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีนะ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลยกับการที่เราจะมีหลายตัวตน) และอาจจะเล่นเกมค่าเวลาเหมือนกับเมื่อก่อน เพราะการมาของสมาร์ทโฟนนี่ละครับที่ทำให้ตัวตนของเรากับโลกเสมือนนั้นแนบชิดกันเข้าไปทุกทีจนบางคนเผลอลืมว่ามันชัดเจนและดูเป็นเรื่องจริงวะยิ่งกว่า โลกที่แท้จริงที่ตนเองอาศัยอยู่ซะอีก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกและผิดแต่อย่างใดตราบเท่าที่มันไม่ได้ทำร้ายใคร และไม่หลงลืมจนลืมนึกถึงคนรอบข้างที่อยู่เคียงข้างเราอย่างแท้จริง
ทุกคนคงจะยังคงเชื่อในสื่อหลักอย่างทีวีและหนังสือพิมพ์ ซึ่งจำกัดวงการแสดงความคิดเห็นแคบเข้ามาเพียงในร้านกาแฟยามเช้า หรือวงสนทนาในที่ทำงาน หรือร้านเหล้าหลังเลิกงานเท่านั้น การที่เราจะมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างเผ็ดร้อน และเลยเถิดลำพองดั่งพญาสิงค์เพราะไม่เห็นหน้าของอีกฝ่ายที่ร่วมวงสนทนา รวมทั้งตัวตนของเราถูกเก็บซ่อนด้วยตัวตนใหม่บนโลกออนไลน์นั้นจะไม่มีวันได้เห็นกันอย่างแน่นอน และเรื่องราวต่างๆจะจบลงเพียงในวงสนทนา หรือในระแวกนั้นเท่านั้น ไม่เหมือนกับทุกวันนี้ที่แทบจะเรียกได้ว่า “ผีเสื้อขยับปีก” หรือ “Butterfly Effect”
หรืออาจจะก่อให้เกิดความสำเร็จของตลาด Notebook แทนที่จะเป็น Smartphone อันนี้ก็มีความเป็นไปได้ แต่เอาเข้าจริงๆนะ ด้วยความสำเร็จอย่างค่อยเป็นค่อยไป ที่แทรกเข้าไปในทุกส่วนของการใช้ชีวิตมาตั้งแต่สมัยที่ยังมีแต่ฟีเจอร์โฟน ผมว่าสุดท้ายยังไงก็ไม่มีอะไรมาขวางกั้นแรงดึงดูดของสมาร์ทโฟนได้หรอกครับ
ผมก็นั่งคิดให้แคบลงมาว่า ถ้าเป็นเรื่องของผมละ ถ้ากำหนดหัวข้อนี้ให้กับผมเท่านั้น คราวนี้ก็จำกัดลงมาที่ตัวผมแล้วนะครับกับคำถาม “หากว่าสมาร์ทโฟน….ไม่มีแรงดึงดูดอย่างที่มันทำได้สำเร็จ?” ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองชื่นชอบโทรศัพท์มือถือจริงๆจังๆก็ตอนเปลี่ยนมือถือครั้งที่ 2 ครับ
โดยเครื่องแรกของผมคือ Ericsson T29 ที่คุณพ่อผมซื้อให้ หลังจากนั้นผมก็ใช้งานนานมากครับตั้ง 3 ปีแนะเครื่องที่ 2 ที่ผมซื้อเองนั้นก็คือ Nokia NGAGE หลังจากนั้นสำหรับผมมันคือตำนานแห่งความมัวเมาครับ5555 เพราะผมเปลี่ยนมือถือด้วยเงินตัวเองก่อนจะมาเป็น Blogger เยอะมากครับร่วมๆ 200 เครื่องเลยทีดียว มานั่งคำนานเงินดูเล่นเอางงครับ นี่ผมเอางินมาจากไหนกันเนี่ย (ถึงตอนนี้ยังแสนงงครับ ผมทำได้ไงหว่า?) แต่ช่วงที่บ้าครั่งนี่ไม่เคยคิดเสียดายเลย5555 ก็ถือว่าเป็นส่วนนึงในการหล่อหลอมจนเป็นตัวผมในวันนี้ละครับ
แต่นอกจากมือถือแล้วจริงๆ ผมเป็นพวกชอบดูหนังแบบเข้าเลือดเข้ากระดูกนะครับ ยังจำครั้งแรกที่ผมไปนั่งดูหนังในโรงหนังแถวบ้านคนเดียวได้ ที่โรงหนังเพชรรามา ประตูน้ำ (ผมเป็นเด็กประตูน้ำเก่านะ ก่อนที่จะโดนกรมศาสนาไล่ที่เอามาสร้างห้างประตูน้ำคอมเพล็กซ์ จนสุดท้ายกลายมาเป็นห้างพาราเดียมในปัจจุบันนั่นละครับ เหอ เหอ) ตอนนั้นค่าดูหนังยังแค่ 20 บาทเอง ผมเองขนาดตอนนั้นอยู่ชั้นมัธยมต้นได้ไปโรงเรียนแค่วันละ 15 บาท (ตอนนั้นเรียนเซนต์ดอมินิก) ก็เก็บหอมรอมริบจนไปดูหนังได้นี่ละ ตอนนั้นไปดูเรื่อง Dances with Wolves หรือชื่อไทย จอมคนแห่งโลกที่ 5 นำแสดงโดย Kevin Costner เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทหารในช่วงสงครามกลางเมือง ได้รับคำสั่งไปเฝ้าป้อมที่ชายแดน จนไปรู้จักและคุ้นเคยกับชนพื้นเมืองและเข้าถึงจิตวิญญาณ เป็นหนังที่ทรงพลังมากๆ ตอนนั้นผมดูด้วยความสั่งสะท้าน และเป็นจุดเริ่มที่ทำให้ผมชอบดูหนังอย่างเป็นบ้าเป็นหลังจนถึงทุกวันนี้เลยละครับ
แต่เรื่องที่ตรึงใจผมมากที่สุดคือเรื่อง Birdy ที่ผมดูทางรายการ Big Cinema ทางช่อง 7 สมัยผมเรียนประถม ตอนนั้นเรียนที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ เป็นเรื่องของทหารที่กลับมาจากสงคราม และบาดแผลทำให้เขาเป็นบ้า ทีเด็ดคือการแสดง และบทครับรวมทั้งตอนจบที่ยอดเยี่ยม นำแสดงโดย Nicolas Cage ตอนนั้นยังหนุ่มมากๆ และยังไม่ดังเหมือนในตอนนี้เลยครับ แต่ผมชอบมากๆเลย เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอยากเข้าโรงหนังด้วยละ นอกจากไปกับอากงเพราะท่านชอบพาผมไปดูหนังจีนแปลกๆ5555
แต่ช่วงที่บ้าที่สุดก็คือช่วงมหาลัยนี่ละ ตอนนั้นผมเรียนสถาบันราชภัฏสวนสุนันทา ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็น มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา แล้วซึ่งเพื่อนผมแอดมินโลแห่ง AppDisqus ก็เป็นอาจารณ์สอนอยู่ที่นั่นด้วยนะครับ ในตอนนั้นมันช่างสนุกจริงๆผมดูหนังทุกวัน วันละ 2-3 เรื่องไม่เว้นแม้แต่วันเดียวเลย ยืมทุกเรื่องในห้องสมุด รวมทั้งหาหนังที่หาดูยากมาดู โดยตะเวนไปทั่วคลองถม รวมไปถึงตามแหล่งต่างๆที่ขึ้นชื่อในสมัยนั้น ตอนนั้นผมมีม้วนวีดีโอเกือบหลักพันเลยละครับ เปิดร้านได้เลย ทุกันนี้บางส่วนก็ยังอยู่ในห้องเก็บของที่บ้านผมอยู่เลยนะ ตอนนั้นเงินทำงานพิเศษต่างๆก็หมดไปด้วยเรื่องหนังนี่ละ
มันคงเป็นนิสัยผมนะที่สุดโต่ง เวลาชอบอะไรก็ทุ่มเกินร้อย ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนก็คงเคยเป็นกันในช่วงชีวิตใดซักช่วงนึงแน่นอนครับ แต่จะเป็นมากเป็นน้อยและกับเรื่องอะไร อันนี้ก็อยู่ที่ความชอบส่วนตัว
ตอนนั้นผมกับเพื่อนซี้กลุ่มเล็กๆของผมมักจะรวมตัวไปดูหนังกัน (ในภาพไม่ใช่ครับ แต่ผมไม่มีรูปพวกมันอ่ะ เลยเอาภาพผมกับเพื่อนๆสมัยปวชมาใช้แทน (ตอนนั้นเรียนวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมกรุงเทพ ลาดพร้าว) ไม่ก็นั่งเขียนบทหนังกันเล่นๆ เรามีความฝันอยากสร้างหนังกันแต่ตอนนั้นอุปกรณ์ไม่พร้อม ซึ่งต่างจากทุกวันนี้ที่การจะสร้างหนังสั้นเป็นเรื่องง่ายกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งผมว่าเป็นสิ่งที่เตอมเต็มจริงๆ ถ้าถามว่าทำไมตอนนี้ก็ไม่สายลุกขึ้นมาทำตามฝันสิ ก็ต้องบอกว่าไฟมอดไปหมดแล้วครับ5555 ตอนนี้ผมชอบมือถอและเรื่อง IT มากที่สุด และมีความสุขที่สุดก็ตอนมานั่งเขียนเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้อ่านกันนี่ละ เพื่อนๆ AppDisqus ละครับถ้า “หากว่าสมาร์ทโฟน….ไม่มีแรงดึงดูดอย่างที่มันทำได้สำเร็จ?” คุณจะไปทำอะไรและชื่นชอบอะไรกัน มาแชร์กันได้นะครับ ผมอยากรู้จริงๆนะ^__^