ต่อจากนี้ในอนาคตอันใกล้เราคงจะได้เห็น USB-C เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นแน่ๆ จากที่จะเห็นได้ว่าในสมาร์ทโฟน Android รุ่นใหม่ๆหลายๆรุ่นก็เริ่มที่จะมีการเปลี่ยนมาใช้เจ้า USB-C แล้ว ซึ่งคาดว่าคงอีกไม่นานพอร์ท MicroUSB ที่ใช้กันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองตอนนี้จะเริ่มจางหายไป เช่นเดียวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เก่าๆบางชิ้นที่เด็กๆสมัยนี้เห็นแล้วต้องหันไปถามพ่อแม่ว่า..นั่นมันคืออะไรหรอ ?
สำหรับการแพร่ขยายของเทคโนโลยีใหม่อย่าง USB-C นอกจากผู้ใช้อย่างเราๆจะตระหนักถึงการมาของมันแล้ว แน่นอนว่าผู้ที่ทำธุรกิจในวงการนี้อย่างเช่น ผู้ผลิตสายชาร์จก็เริ่มหันมาตื่นตัวกับการมาของมันด้วย จะเห็นได้ว่าในตอนนี้มันไม่ได้ยากเลยที่จะหาซื้อสายชาร์จ USB-C มาใช้
และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นราวกับคลื่นลูกใหม่ที่กำลังจะถาโถมซัดเข้ามาในไม่ช้า ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าแน่ๆที่เราจะเรียนรู้เพื่อที่จะรู้จักคลื่นแห่งเทคโนโลยีลูกใหม่นี้ ก่อนที่มันจะซัดเข้ามาถึงตัวเราโดยที่ไม่รู้ตัว
โดยด้านล่างนี้จะเป็นบทความแปล (FAQ) คำถามที่มักจะถูกถามขึ้นมาบ่อยๆเกี่ยวกับเจ้า USB-C เชื่อว่าใครที่กำลังมีคำถามเกี่ยวกับเทคโนโลยีตัวนี้อยู่น่าจะได้รับคำตอบให้หายข้องใจกันไปถ้วนหน้าครับ
ทำไมถึงเปลี่ยนมาใช้ USB-C ?
ปกติเป็นเวลานานแสนนานแล้วเรามักจะได้เห็นว่าอุปกรณ์ส่วนใหญ่รอบๆตัวเรามักจะใช้พอร์ท microUSB กันเป็นหลัก ซึ่งจริงๆแล้วนั่นก็ดีครับ อย่างน้อยๆมันก็ช่วยให้ผู้ใช้อย่างเราๆไม่ต้องกังวลกับการซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆเข้ามาในบ้าน ว่าจะไม่มีสายชาร์จที่รองรับกับแก็ตเจ็ตใหม่ๆ
ซึ่ง USB-C นั้นก็ใช้ไอเดียเดียวกับเจ้า microUSB เลย เพียงแต่ว่ามันทำให้ไอเดียดังกล่าวนี้ใหญ่ขึ้นไปอีก เพราะ USB-C นั้นจะเป็นพอร์ทที่สามารถใช้ได้กับทุกอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ทุกๆเครื่อง ไม่ใช่พอร์ทที่มีไว้ใช้กับเจ้าอุปกรณ์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเราเท่านั้น โดยเจ้า USB-C นี้ถูกตั้งเป้าไว้ให้มันเข้ามาแทนที่ microUSB, miniUSB และรวมไปถึง USB-A ที่มักจะพบพอร์ทนี้ใน PC และโน้ตบุคอีกด้วย
ทั้งนี้ประโยชน์ของ USB-C ไม่ใช่เพียงแต่การรวมทุกๆพอร์ทไว้ในพอร์ทเดียว เพราะจริงๆแล้ว USB-C มีความสามารถมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งถ่ายข้อมูลที่มันสามารถทำได้เร็วกว่า อีกทั้งมันยังชาร์จอุปกรณ์ต่างๆได้เร็วกว่าพอร์ทอื่นๆแบบมหาศาลด้วย นับเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว แต่ก่อนที่เจ้า USB-C จะถูกบันทึกลงไปนั้น ก่อนหน้านี้ USB พอร์ทอื่นๆได้ถูกบันทึกลงไปแล้ว ดังนั้นการมาของ USB-C อาจจะไม่ได้รวดเร็วจนตามไม่ทัน แต่ยังไงมันก็จะคืบคลานเข้ามาแน่ๆ
แล้ว USB-C จะช่วยให้เราชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้นไหม ?
แน่นอนครับ มันช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่เป็นไปได้รวดเร็วขึ้นแน่นอน
สเปคของ USB-C นั้นถือเป็นเรทที่ดีและเร็วที่สุดในการส่งถ่ายพลังงานในปัจจุบัน ไม่ว่าตอนนี้เราจะใช้พอร์ท USB แบบไหนในการชาร์จสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตอยู่ บอกได้เลยว่าไม่มีพอร์ทไหนที่จะทำงานได้เร็วไปกว่า USB-C อีกแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นการชาร์จ Google Pixel C ที่มีตัวชาร์จ 15W จะสามารถชาร์จได้เร็วกว่าฟีเจอร์ Quick Charge 3.0 ในตัวอแด็ปเตอร์ USB-A อย่างมหาศาล
ทั้งนี้การชาร์จสมาร์ทโฟนด้วย USB-C ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มได้ภายในเวลา 1-2 นาที แต่แน่นอนว่ามันเร็วกว่าพอร์ท microUSB อย่างมาก อย่างน้อยๆมันก็น่าจะทำให้การชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มใช้เวลาน้อยลงเป็นอย่างต่ำ 5-10 นาทีแน่นอน
USB-C จะเห็นผลได้ชัดเจนกว่าเมื่อใช้กับโน้ตบุคหรือแท็บเล็ต
สายที่มี USB-C ทั้งสองด้านกับสายที่มีด้านเดียวแตกต่างกันไหม ?
โดยปกติแล้วสาย USB-C จะถูกจัดส่งมาพร้อมกันเป็นคู่ โดยสายหนึ่งจะเป็น USB-C ทั้งสองด้าน ส่วนอีกสายจะมี USB-C เพียงด้านเดียวและอีกด้านหนึ่งจะเป็น USB-A ซึ่งเหตุผลที่มันมาพร้อมกันเป็นคู่นั้นก็เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะสามารถใช้ USB-C ได้นั่นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะเชื่อว่าผู้ใช้ในปัจจุบันน่าจะยังใช้อแดปเตอร์ที่มีพอร์ท USB-A อยู่นั่นเอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการส่งถ่ายข้อมูลที่เร็วที่สุดที่เป็นไปได้ควรจะเป็นสายที่เป็น USB-C ทั้งสองด้านครับ
จำเป็นไหมที่จะต้องซื้ออแดปเตอร์ตัวใหม่ ?
จริงๆก็จำเป็นครับ เราควรต้องเตรียมตัวได้แล้ว
ถึงแม้ว่าอแดปเตอร์ที่เป็น USB-A จะสามารถทำงานร่วมกับสาย USB-C ได้ แต่เจ้าอแด็ปเตอร์ตัวนี้ก็ไม่ได้สามารถจ่ายไฟได้ดีเทียบเท่ากับอแด็ปเตอร์ที่มีพอร์ท USB-C ครับ พูดง่ายๆว่าถ้าต้องการความสามารถสูงสุดในการชาร์จแล้วล่ะก็ ควรเปลี่ยนมาใช้อแด็ปเตอร์ที่มีพอร์ท USB-C ไปเลยจะดีกว่า
แล้วทำไมผู้ผลิตสมาร์ทโฟนทุกรายยังไม่หันมาใช้ USB-C ?
สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตนั้นโดยปกติมันจะใช้เวลาในการวางแผนและออกแบบอยู่หลายเดือนทีเดียว ดังนั้นคงไม่แปลกอะไรที่ USB-C จะยังไม่ได้อยู่ในแผนที่ถูกคิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งเมื่อเทคโนโลยี USB-C เริ่มโผล่ออกมาในทุกวันนี้ก็มี 2 ทางเลือกให้กับเหล่าผู้ผลิตได้กลับไปคิดกัน นั่นก็คือจะเลือกแก้ไขในส่วนนี้แล้วเปลี่ยนแผนการผลิตใหม่แบบเร่งด่วน หรือจะเลือกใช้แผนเดิมแล้วค่อยว่ากันใหม่ในปีหน้า และนั่นก็เป็นข้อสรุปที่ว่าทำไมยังมีสมาร์ทโฟนหลายๆเครื่องที่ออกมาใหม่แล้วยังไม่หันมาใช้ USB-C นั่นเองครับ
การเปลี่ยนแผนแบบกระทันหันนั้นอาจมีความเสี่ยงสูงเกินไป เพราะการทำอะไรรีบๆร้อนๆเมื่อไม่มีความพร้อมก็อาจนำไปสู่หายนะ
เคยอ่านข่าวเจอว่า USB-C อาจทำเครื่องพังได้ ?
ต้องเรียนแบบนี้ว่าก่อนหน้านี้ผู้ผลิต USB-C บางรายก็พบปัญหาในการผลิตเจ้า USB-C ให้เป็นไปตามมาตรฐานทั้งด้านการทำงานและความปลอดภัย จึงเป็นเหตุให้สินค้าที่ผลิตออกมานั้นไม่ได้คุณภาพและส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันอย่างโน้ตบุคและสมาร์ทโฟนตามที่เป็นข่าว
นอกจากนี้การสั่งซื้อสินค้าจากผู้ขายรายใหญ่ๆอย่าง Amazon โดยเฉพาะการลดล้างสต็อคนั้น ยิ่งมีความเสี่ยงสูงที่สินค้าที่เราสั่งมาจะยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน เพราะ ณ เวลานั้น ผู้ขายน่าจะโฟกัสเฉพาะเรื่องของความเร็วและคู่แข่งในตลาดเท่านั้น จึงไม่แปลกอะไรที่เราจะได้สินค้าราคาถูกที่มาพร้อมของแถมฟรีๆที่มีชื่อว่า “ปัญหา” นั่นเอง
โชคดีที่ตอนนี้ปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้ถูกแก้ไขไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าจะให้มั่นใจคุณภาพของ USB-C ที่ซื้อมากที่สุด เราแนะนำว่าให้ซื้อจากบริษัทผู้ขายแก็ตเจ็ตรายนั้นๆไปเลยครับ อย่างเช่นซื้อสมาร์ทโฟนจากบริษัทไหนก็ใช้ USB-C ของบริษัทนั้นไปเลย นอกจากนี้หากใครที่จะสั่งซื้อ USB-C จากผู้ขายรายอื่นๆก็แนะนำว่าให้อ่านรีวิวของผู้ขายและสินค้าชิ้นนั้นๆให้ดีๆ เมื่อมั่นใจแล้วค่อยสั่งซื้อก็ยังไม่สาย ดีกว่าที่เราจะได้ของไม่ดีราคาถูกมาอย่างแน่นอน
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสาย USB-C ที่กำลังจะซื้อปลอดภัย ?
อย่างแรกเลยตามที่เราแนะนำไปในข้างต้นว่าให้เลือกซื้อสาย USB-C จากผู้ผลิตอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่หรือบริษัทที่น่าเชื่อถือ แนะนำเพิ่มเติมว่าหากซื้อจากตัวแทนจำหน่ายให้พยายามตรวจสอบว่าเป็นของแท้แน่ๆไม่ใช่ของก็อปหรือของเลียนแบบ นอกจากนี้หากต้องการซื้อสาย USB-C จากผู้ผลิตรายอื่นๆก็ควรตรวจสอบรีวิวผลตอบรับของผู้ใช้อย่างละเอียด อย่าไปถูกหลอกล่อด้วยตัวเลขที่อยู่บนป้ายราคา
และเมื่อสั่งซื้อมาแล้วก่อนจะใช้งานก็ควรจะตรวจสอบลักษณะภายนอกด้วยว่ามีรอยหรือมีอาการฉีกขาดตรงไหนหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่ได้รับนั้นปลอดภัยก่อนนำไปใช้งานจริง หากพบว่ามีการชำรุดอยู่แล้วก็อย่าเสี่ยงใช้เลยครับ รายงานปัญหาและส่งกลับไปทางผู้ผลิตเพื่อขอเปลี่ยนสินค้าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
แน่ใจไหมว่า USB-C ไม่ใช่แฟชั่นที่มาเป็นกระแสแล้วจะจากไป ?
บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่จริงแท้และแน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้คือตอนนี้ Apple, Google, LG, HTC, และอีกหลายๆบริษัทก็เริ่มหันมาใช้ USB-C กันแล้ว มันเริ่มกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของหลายๆบริษัท ซึ่งถามว่าวันหนึ่งข้างหน้ามันจะจากเราไปไหม เราขอตอบว่ามันมีโอกาสที่จะจากเราไปแน่นอน แต่จะช้าจะเร็วนั้นขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี หากมีเทคโนโลยีใหม่ๆที่ดีกว่า USB-C เมื่อนั้นมันก็จะจากเราไปแน่ๆ แต่อย่างน้อยๆก็ไม่น่าจะต่ำกว่าปีสองปีนี้ครับ
การเปิดรับสิ่งใหม่ๆอาจมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิต อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่แปลกใหม่…