รายงานนี้มาจากสื่อด้านเทคโนโลยี 404 Midia ที่ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าพวกเขา ได้รับเอกสารมาจาก Cox Media Group (CMG) ซึ่งเป็นบริษัทที่อ้างว่าสามารถให้บริการที่จะดักฟังคำสนทนาผ่านอุปกรณ์อัจฉริยะของผู้ใช้ เช่นการพูดผ่านโทรศัพท์มือถือ ใกล้สมาร์ททีวี, หรือใกล้ลำโพงอัจฉริยะ และจะสามารถนำข้อมูลจากคำสนทนาเหล่านั้นมาใช้เพื่อการยิงโฆษณาได้แบบตรงกลุ่มเป้าหมายได้ในทันที
ความสามารถนี้มันถูกเรียกในชื่อว่า “Active Listening” และได้ถูกพูดถึงครั้งแรกมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วหลังจาก CMG ได้เผยแพร่ข้อมูลการบริการผ่านทางหน้าเว็บไซด์ของพวกเขา ก่อนที่บริษัทจะลบข้อมูลดังกล่าวออกไปจากหน้าเว็บ และเลือกใช้วิธีการจัดส่งข้อมูลให้โดยตรงกับบริษัทที่ CMG ต้องการจะนำเสนอขายบริการเหล่านี้เท่านั้นแทน
โดยพวกเขาอ้างว่าบริการ Active Listening จะสามารถช่วยให้ลูกค้าสามารถทำการโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจน โดยการอ้างอิงจากสิ่งที่ลูกค้าพูดออกมาดังๆ ใกล้กับไมโครโฟนของอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์พกพาติดตัวอย่างสมาร์ตโฟน, หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในบ้านเช่นสมาร์ททีวี หรือแม้แต่ลำโพงอัจฉริยะ ซึ่งควรจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนบุคคลภายในบ้าน แต่กลับกลายเป็นว่ามีโอกาสที่จะเป็นสายลับที่แฝงตัวอยู่ภายในบ้าน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ครับ
เพราะถ้าบริการนี้เป็นเรื่องจริงก็หมายถึงมีการดักฟังคำสนทนาจากชีวิตประจำวันของผู้ใช้ผ่านอุปกรณ์ที่มีไมโครโฟนในตัว และมันได้ถูกใช้งานมานานแล้ว ผ่านการแสดงออกมาเป็นโฆษณาให้เราได้เห็นดั่งที่หลายคนเคยสงสัย
และทาง CMG ยังมีการชี้ไปที่บริษัทยักษ์ใหญ่น่าเชื่อถืออย่าง Facebook, Google, Amazon รวมถึง Bing ของ Microsoft ว่าบริษัทเหล่านี้ก็เป็นกลุ่มพันธมิตรของพวกเขาด้วยเช่นกัน
นี่อาจจะเป็นได้ทั้งหลักฐานว่ามีการแอบฟังโทรศัพท์ของผู้ใช้งานอยู่จริง หรืออาจจะเป็นการระบุชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ รวมถึงอาจจะเป็นแค่การแอบอ้างของ CMG เพียงฝ่ายเดียวก็เป็นได้เช่นกัน
จนถึงขณะนี้หลักฐานที่พบยังเป็นแค่การโฆษณาเพื่อขายบริการของ CMG เพียงเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานอื่นๆ ที่ชี้ชัดอย่างเป็นรูปธรรมว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านั้นได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับ CMG และมีผลประโยชน์ในด้านใดร่วมกันบ้าง
แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ข่าวนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไป บริษัทเทคโนโลยีที่ถูกพาดพิงก็ได้ออกมาตอบสนองในทันที ว่าพวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าวอย่างแน่นอน และคัดค้านการมีส่วนร่วมใดๆ กับบริการ Active Listening ของ CMG อย่างชัดเจน
โฆษกของ Meta เจ้าของ Facebook ที่มักจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยในเรื่องนี้มากที่สุด ได้ออกมากล่าวในแถลงการณ์ว่า “Meta ไม่ใช้ไมโครโฟนของโทรศัพท์ในการโฆษณา และได้มีการอธิบายข้อสงสัยในเรื่องนี้ต่อสาธารณะมาหลายปีแล้ว เรากำลังติดต่อไปที่ CMG เพื่อขอให้พวกเขาออกมาชี้แจงว่าโปรแกรมของพวกเขาไม่ได้อ้างอิงข้อมูลกับบริษัท Meta และกำลังตรวจสอบว่า CMG อาจละเมิดข้อกำหนดและเงื่อนไขของ Facebook หรือไม่ และจะมีการดำเนินการกับ CMG หากพบว่ามีความจำเป็น “
นอกจากนี้ Amazon, Google และ Microsoft ก็ยังออกมาให้ข้อมูลด้วยเช่นกัน
Amazon : “Amazon Ads ไม่เคยทำงานร่วมกับ CMG ในโปรแกรมนี้ และไม่มีแผนที่จะทำเช่นนั้นด้วยเช่นกัน”
Google : “ผู้โฆษณาทั้งหมดต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวมถึงนโยบาย Google Ads ของเรา และถ้าเราพบโฆษณาหรือผู้โฆษณาที่ละเมิดนโยบายเหล่านี้ เราจะทำการดำเนินการที่เหมาะสม” และทาง Google ได้เริ่มให้ CMG ออกจากโปรแกรมพันธมิตรเพื่อตอบสนองต่อเรื่องนี้ด้วยอีกทางหนึ่ง
Microsoft : “เรากำลังดำเนินการสอบสวนและจะดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นตามนโยบายของเรา”
แม้ว่าบริษัทต่างๆ จะออกมาปฏิเสธอย่างชัดเจนแล้วทั้งหมด แต่ความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการดักฟังของอุปกรณ์อัจฉริยะทั้งหลายก็ยังคงมีต่อไปในหมู่ผู้ใช้งานอย่างแน่นอน
แล้วถ้าเป็นเรื่องจริงมันผิดกฏหมายหรือไม่?
จากในเอกสารที่ทาง 404 Media ได้เผยแพร่ออกมา มีส่วนหนึ่งที่ CMG ได้พูดถึงปัญหาด้านข้อกฏหมายของบริการนี้เอาไว้ ว่า
เป็นเรื่องถูกกฎหมายสำหรับโทรศัพท์และอุปกรณ์ที่จะรวบรวมข้อมูลจากการฟังเสียงคุณและบุคคลที่สาม เมื่อคุณซื้ออุปกรณ์ใหม่และ กดยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไข แสดงว่าคุณยินยอมให้โทรศัพท์สามารถฟังเสียงคุณได้ทันทีเมื่อเปิดเครื่อง
เป็นเรื่องพื้นฐานที่สมาร์ทโฟนของคุณจะรับฟังคุณอยู่เสมอในทางเทคนิค อุปกรณ์ที่สามารถเปิดใช้งานด้วยเสียงจะต้องดักฟังตลอดเวลาเพื่อรับ “คำสั่งปลุก” หรือคำสั่งเสียงที่ใช้ในการเปิดใช้งานบริการผู้ช่วยเสมือนต่างๆ เช่นวลีอย่าง Hey Siri และ Ok Google จะสามารถทำงานได้ก็ต่อเมื่อมีอุปกรณ์อัจฉริยะคอยฟังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลที่อุปกรณ์ของเราจะไม่สามารถ “ปิด หรือ เพิกเฉยต่อคำอื่นๆ ที่ไม่ใช่ คำสั่งปลุก”
ตัวอย่างเช่น iPhone ของคุณกำลังทำอะไรกับข้อมูลทั้งหมดนั้น? อุปกรณ์อัจฉริยะจะใช้ข้อมูลทุกประเภทเพื่อสร้าง “โปรไฟล์” ของผู้บริโภคอย่างคุณ เพื่อแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องมากที่สุด
แนวทางปฏิบัตินี้เป็นผลดีต่อทั้งผู้บริโภคและธุรกิจ ในฐานะผู้บริโภคคุณจะเห็นโฆษณาน้อยลงสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการที่คุณไม่สนใจ และได้โต้ตอบมากขึ้นกัยสิ่งที่คุณต้องการ และในมุมของเจ้าของธุรกิจคุณก็จะสามารถลดต้นทุนการโฆษราและเข้าถึงผู้คนใหม่ๆ ในพื้นที่ของคุณได้