ล่าสุดวันนี้ทาง Facebook ได้ออกมาโพสลงในบล็อกของ Facebook ในเรื่องของนโยบายความเป็นส่วนตัวของการใช้งานบน Facebook หลังจากที่มีการร้องเรียนของผู้ใช้งานว่า Facebook ติดตามการใช้งานของผู้ใช้ไปทุกเว็บไซต์
รายงานจากคณะกรรมการด้านความเป็นส่วนตัวของเบลเยี่ยมกล่าวหาว่า Facebook นั้นได้ทำการติดตามผู้ใช้ไปในทุกเว็บไซต์อย่างจริงจัง โดยที่ผู้ใช้ไม่สามารถที่จะเลือก Opt-out (เลือกไม่รับข้อมูล) ได้เลย ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ใช้ที่ไม่เคยใช้ Facebook มาก่อนก็ตาม
โดยยกตัวอย่างว่า หากผู้ใช้ต้องการที่จะไม่รับโฆษณาจาก Facebook เวลาที่ผู้ใช้กดปุ่ม Report/รายงาน จะไม่มีตัวเลือกให้เลือกว่าจะไม่รับโฆษณาได้เลย พูดง่ายๆคือไม่มีทางไหนเลยที่จะทำได้นั่นเองครับ ถึงแม้ว่า Facebook จะมีการแจ้งว่าผู้ใช้สามารถเลือก Opt-out ได้ แต่กลับเป็นการพูดแบบห้วนๆไม่ได้ปุ่มไหนหรือวิธีการไหนที่แสดงอย่างชัดเจนว่าผู้ใช้ สามารถที่จะ Opt-out ได้
โดยทางนักวิจัยผู้ตรวจสอบการใช้งาน Facebook ก็ได้กล่าวว่า Plug-in (ปุ่มไลค์หรือคอมเม้นท์) ของ Facebook จะทำการติดตามผู้ใช้ถึงแม้ว่าผู้ใช้จะลงชื่อออกจาระบบไปแล้ว หรือไม่เคยใช้ Facebook มาก่อนเลยก็ตามในทุกๆเว็บไซต์
ซึ่งหลังจากข้อกล่าวหาข้างต้นได้ออกมาแล้วทาง Facebook จึงไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบออกมาประกาศในบล็อกของ Facebook ว่า เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นแค่ Bug ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกคน แต่เกิดในคนส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งปัญหานี้จะสามารถแก้ไขได้อย่างแน่นอนตามที่ทาง Facebook กล่าว
อย่างไรก็ตามตอนนี้ Plug-in ปุ่มไลค์หรือคอมเม้นต์นั้นได้แพร่กระจายไปอย่างมาก จากการตรวจสอบพบว่ามีมากกว่า 13 ล้านเว็บไซต์ที่ใช้ Plug-in ลักษณะนี้อยู่ ซึ่งในจำนวนนั้นก็รวมถึงเว็บไซต์เกี่ยวกับสุขภาพหรือเว็บไซต์ของรัฐบาลด้วยครับผม
ที่มา – theverge
[divider]
ทัศนะคติผู้เขียน
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักสำหรับกฎหมายในประเทศไทย แต่ทางยุโรปนั้นค่อนข้างจะซีเรียสครับในเรื่องของความเป็นส่วนตัว ซึ่งจากที่สังเกตุก็เป็นไปตามข้อกล่าวหาจริงๆนะครับ ซึ่งการที่ Facebook ออกมาอ้างว่ามันเป็น Bug เนี่ย ส่วนตัวผมแล้วผมมองว่ามันฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไรนะครับผม บริษัทองค์กรชั้นนำระดับนี้ ไม่เจอ Bug แบบนี้ผมว่ามันแปลกๆ หากถามว่าแล้ว Facebook จะทำแบบนี้ไปทำไม คำตอบคือ ยิ่ง Facebook สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้เยอะเท่าไรยิ่งทำให้ผู้ที่ต้องการลงโฆษณาบน Facebook มีมากขึ้นเท่านั้นครับ นอกจากนี้อาจจะเพิ่มมูลค่าของโฆษณาบน Facebook ขึ้นไปอีกด้วยนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น Facebook เดินมาถามคุณว่า “เฮ้ ยู ลงโฆษณากับไอมั้ยล่ะ คนเข้าถึงตั้ง 2,000 คนเลยน้า”กับ”เฮ้ ยู ลงโฆษณากับไอมั้ยล่ะ เข้าถึง 1 ล้านคนเลยนะ” เราก็คงเลือกที่มีคนเข้าถึงเยอะกว่าจริงไหมล่ะครับ ^^