เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2014 ที่ผ่านมา Google ในงาน Google I/O ปี 2014 ที่จัดขึ้น ณ เมืองซานฟรานซิสโก ได้ออกมาบอกเล่าเรื่องราวกับเราหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Android L ที่สุดท้ายกลายมาเป็น Android Lollipop 5.0 นอกจากนั้นก็มี Android Wear, Android TV และ Android Auto โดยเจ้าอุปกรณ์ Android Wear ตัวใหม่นั้นได้มีการเปิดตัวภายในงานเลย ส่วน Android TV ก็ออกมาเป็น Nexus Player ที่ทำงานร่วมกันกับ Nexus 6 และ Nexus 9 นั่นเองครับ
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า Android Auto นั้นจะมาช้ากว่าใครเพื่อน โดยจริงๆแล้วครั้งแรกนั้นได้เปิดตัวในเดือนพฤษภาคมกับ Pioneer แต่จากตอนนั้นก็ยังไม่มีรถยนต์คันไหนที่สามารถใช้ Android Auto วางขายในตลาดเลย และรวมถึงรถยนต์จำนวนมากจาก Volkswagen, Hyandai และ GM ที่ยังรอการอัพเดทของระบบฐานข้อมูลอยู่
อย่างไรก็ตามเราได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้า Android Auto มาเป็นเดือนเรียบร้อยแล้ว และก็มีหลายๆอย่างที่อยากจะมาเล่าให้ฟังมากๆ และแน่นอนว่าสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่นั้นมักจะต้องมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอยู่มากมาย ซึ่งไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นการพัฒนาและปรับปรุงของ Android Auto กันในงาน Google I/O 2015 ที่จะจัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโกนี้เลยก็เป็นได้ครับ
ต้องบอกไว้ก่อนว่าอุปกรณ์ที่เรานำมาใช้ในการรีวิว Android Auto ในครั้งนี้คือ Pioneer AVH-4100NEX ตอนนี้วางขายอยู่ใน Amazon ด้วยราคา 550$ ครับ
การติดตั้ง Android Auto
การติดตั้งนั้นใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ที่ใช้ไปนั้นเกิดจากการรอให้ Anroid Auto อัพเดทให้เสร็จครับ ซึ่งตั้งแต่เริ่มติดตั้งเราจำเป็นต้องเสียบปลั๊กเคเบิ้ลระหว่างโทรศัพท์กับรถของเราตลอดเวลานะครับ สำหรับเจ้า Pioneer ตัวนี้จะมีสายเคเบิ้ลมาให้ด้วยกัน 2 สาย โดยสายหนึ่งนั้นสำหรับ Apple CarPlay (ระบบใช้งานบนรถของทาง iOS) และอีกสายสำหรับ Android Auto ครับ อย่างไรก็ตามเราจะไม่สามารถใช้งานมันผสมกันได้นะครับ
การ Set up Android Auto
ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาอยู่สักนิดในการจะเรียนรู้วิธีตั้งค่าโทรศัพท์กับ Android Auto แต่จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ยุ่งยากเท่าไรนักครับ โดยแน่นอนว่าเราจะต้องดาวน์โหลดแอพ Android Auto มาก่อนจากทาง Play Store จากนั้นก็ทำการจับคู่อุปกรณ์ของเราผ่านบลูทูธ ซึ่งคาดว่าทุกคนน่าจะเข้าใจถึงวิธีการอยู่แล้วนะครับ แต่สำหรับใครที่มีการจับคู่กับอุปกรณ์ของ Android ไว้หลายตัวก็อาจจะเกิดปัญหาขึ้นครับ แนะนำว่าให้ลองเข้าไปลบอุปกรณ์ Android ตัวอื่นออกก่อนที่จะทำการจับคู่ซึ่งก็จะสามารถเชื่อมต่อกันได้แบบปกติแล้วครับ
หลังจากที่เราทำการจับคู่อุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว ก็ทำการเสียบปลั๊กไปอีกครั้งครับ แต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนไปเลือกตัว Input เป็น USB 2 ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานเกินรอครับ จากนั้นก็ทำการเปิดแอพ Android Auto ขึ้นมาซึ่งเท่านี้ก็จะเป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วครับสำหรับการ Set up แต่บางครั้งหากว่าเราไม่ได้จอดรถอยู่อาจจะมีอาการที่ว่า Android Auto ไม่ทำงานนะครับ อาจจะลองทำการจอดรถแล้ว Set up ให้เสร็จก่อนค่อยไปต่อดูครับ
ระบบการนำทาง Navigation
ต้องบอกก่อนว่าจริงๆแล้วผมอาศัยอยู่แถว Detroit มาเกือบจะทั้งชีวิตแล้วล่ะครับ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องใช้ระบบนี้เท่าไร แต่บางครั้งก็เคยลองๆเปิดใช้ดู ซึ่งก็ถือว่าทำงานได้ดีครับ โดยการนำทางผ่าน Google Maps ซึ่งเราก็จะเห็นว่าการจราจรเป็นอย่างไรบ้างด้วย มันสำคัญมากๆสำหรับคนที่ต้องขับรถในเมืองใหญ่ๆที่จะต้องใส่ใจกับสภาพการจราจร แต่ใน Detroit นี้ผมว่าผมคงไม่ต้องใช้มันเท่าไรครับ สำหรับการเปิดใช้งานการนำทางนั้น เราสามารถกดไปที่ปุ่มไมโครโฟนจากนั้นก็พูดไปเลยว่า “Navigate to ….” มันก็จะทำการค้นหาสถานที่แล้วก็นำทางเราไปครับ
และในระหว่างที่เราใช้ระบบการนำทางหากเราทำการหยิบโทรศัพท์ของเราขึ้นมา มันก็จะมีการเตือนขึ้นมานิดหน่อยนะครับ แต่เหนือสิ่งอื่นใดผมอยากเห็นว่า Android Auto จะอนุญาติให้เราใช้แผนที่ตัวอื่นที่ไม่ใช่เพียง Google Maps ครับ เพราะ HERE Maps ก็เป็นตัวเลือกที่ดีใช่ไหมล่ะครับในการใช้มันนำทาง ฟังแล้วก็ดูเข้าท่านะครับถ้า Google น่าจะใจดีเปิดให้ใช้บ้าง
แอพเพลงและ Podcast
หนึ่งในหลายๆฟีเจอร์ที่ไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้ครับสำหรับ Android Auto และแน่นอนว่าแอพจะตั้ง Google Play Music เป็นค่าเริ่มต้นไว้ให้อยู่แล้ว แต่เราก็สามารถที่จะใช้แอพเล่นเพลงตัวอื่นแทนที่ได้เหมือนกันครับ ไม่ว่าจะเป็น Spotify หรือ iHeartRadio โดยการกดไปที่ไอคอนรูปหูฟัง จากนั้นเราก็จะสามารถเลือกได้เลยครับว่าเราอยากจะใช้แอพไหนแทน เตือนไว้ก่อนว่าการเปิดเพลงแบบนี้นั้นทำผ่านโทรศัพท์ของเรานะครับ หากไม่ได้ใช้แพคเกจ Internet แบบ Unlimited แล้วล่ะก็เตรียมตัวไว้เลยครับ
นอกจากนี้ยังมีหลายๆแอพที่รองรับการทำงานร่วมกับ Android Auto อย่างเช่น Pocket Casts, Beyond Pod, Spotify, iHeart Radio และอื่นๆอีกมากมาย จริงๆแล้วมีการลิสท์ไว้ให้แล้วด้วยครับใน Google Play โดยการเข้าไปที่ “Browse Compatible Apps” ครับ ถึงแม้ว่าตอนนี้แอพอาจจะยังมีไม่มากนักแต่เชื่อว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในเร็วๆนี้
ประสิทธิภาพการทำงาน
ประสิทธิภาพของ Android Auto นั้นขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่นำมาใช้นะครับ ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้ผมใช้ LG G Flex 2 และ HTC One M9 กับ Android Auto
สำหรับ HTC One M9 หลังจากลองทดสอบเชื่อมต่อแล้วกลับพบว่าการใช้งานร่วมกับ Android Auto กลับทำได้ไม่ดีนัก มีอาการ Lag และกระตุกเกิดขึ้น เรียกได้ว่าค่อนข้างแย่เลยทีเดียวครับ แต่ถ้าผมลองเชื่อมต่อกับ Google Nexus 6 หรือ ASUS Zenfone 2 กลับสามารถทำงานได้อย่างดีไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น นอกจากนั้นหลังจากที่ผมลองใช้ One M9 ในการทดสอบหลังจากขับรถมาไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็เปิดเพลงจาก Spotiy จากนั้นเปิดแผนที่ขึ้นมาแล้วกดที่ปุ่มไมโครโฟนเพื่อใช้ฟังก์ชั่นการนำทาง แต่มันกลับใช้เวลานานกว่าปกติในการเปิดขึ้นมา และยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผมพูดอีกด้วยครับ
พูดง่ายๆว่าการทำงานของ Android Auto นั้นขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่เรานำมาใช้ในการเชื่อมต่อครับ เพราะถ้าเกิดว่าเครื่องไม่ดีพอนั้นอาจจะเกิดปัญหาได้ง่ายๆ ขนาดใน One M9 ยังเกิดปัญหาได้เลยครับ แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าทาง Google น่าจะเริ่มแก้ไขตรงจุดนี้หลังจากงาน I/O นี้ครับ (หวังว่านะ)
ระบบสั่งการด้วยเสียง – บางครั้งก็ทำงาน แต่บางครั้งก็เหมือนจะขี้เกียจ
ส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ Android และรวมถึงทุกบริการของ Google นั้นก็คือการก้าวเข้าไปสู่การสั่งการด้วยเสียง มีการสั่งการด้วยเสียงมากมายหลายคำสั่งที่เราสามารถใช้บนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตรวมถึงบน PC ของรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรามี Chromebook หรือ Chromebox ที่สามารถใช้คำสั่งอย่าง “OK Google Now” จากที่ไหนก็ได้บนระบบปฏิบัติการ Android แต่กลับไม่สามารถใช้ได้กับ Android Auto จริงๆก็ไม่ได้เป็นข้อเสียเท่าไรนักหรอกครับ แต่มันจะดีกว่าถ้ามันสามารถที่จะใช้คำสั่งนี้ได้เช่นเดียวกัน
ถ้าเราใช้การสั่งการด้วยเสียงบนรถที่มีการเปิดแอร์หรือเครื่องทำความร้อนไว้ มีโอกาสมากๆที่ระบบนี้จะไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติครับ ใช่แล้วครับฟังไม่ผิดเปิดแอร์ก็ทำให้ระบบนี้ทำงานพลาดแล้ว เมืองไทยร้อนขนาดนี้ก็มีหวังได้แดดิ้นกันคารถพอดี จะสั่งการกันทีนึง และถ้าในรถมีคนอยู่ด้วยกหลายๆคนยิ่งหมดหวังครับกับการสั่งการด้วยเสียงผ่าน Android Auto
บทสรุป Android Auto
ผมได้ลองถามผ่าน Google + และ Twitter เข้าไปหลายครั้งแล้วว่าเจ้า Android Auto นั้นคุ้มค่าไหมที่จะลงทุน แต่กลับไม่มีการตอบรับหรือพูดง่ายๆว่าเพิกเฉยต่อคอมเม้นท์ของผมไปซะอย่างงั้น จนกระทั่งรีวิวในครั้งนี้เขียนเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ปกติแล้วผมจะพยายามบอกเพื่อนๆรวมทั้งคนรอบตัวผมว่าให้ออกห่างจากผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ออกมาเป็นรุ่นแรกๆ ยกเว้นว่าใครจจะ Geek ก็แล้วแต่ครับ เพราะแน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ออกมาใหม่ๆรุ่นแรกๆนั้นมักจะไม่ค่อยสมบูรณ์ ไม่วาจะเป็นฟีเจอร์ต่างๆ การแสดงผล และในบาวครั้งมันอาจไม่ทำงานเหมือนกับที่มันควรจะเป็น ซึ่ง Android Auto ก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น เอาจริงๆผมชม Android Auto นะครับอย่าเข้าใจผมผิด แต่ยังไงก็มีเรื่องที่ต้องปรับปรุงอกเยอะ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของ Google ไม่ใช่ของ Pioneer ครับ
หากถามว่าควรจะออกไปซื้อเจ้า Pioneer ที่ว่านี้มาเลยดีไหม เพื่อใช้กับ Android Auto?? ต้องเรียนอย่างนี้ครับว่า หากเราไปซื้อมาจริงๆไม่ได้มีแค่ Android Auto เท่านั้นนะครับที่เราจะได้ใช้ เพราะมาจะมาพร้อมกับ HD Radio และฟีเจอร์อื่นๆอีกมากมายเลยทีเดียว และหากว่าไม่ชอบเจ้ารุ่นนี้ก็ยังมีตัวท็อปที่เหนือกว่าด้วยการใส่ HERE Maps มาให้ด้วยและเรายังสามารถเก็บแผนที่ไว้ดูแบบออฟไลน์ได้อีกนะครับ
และถ้าเราไม่ชอบเจ้าอุปกรณ์ที่เอาไว้ติดตั้งในรถที่กำลังวางขายันอยู่ช่วงนี้ก็แนะนำว่าให้รอไปก่อนก็ได้ เพราะเชื่อว่า JVC Kenwood และ Panasonic กำลังตามมา คาดว่าจะมาในปีนี้ครับผม
ที่มา : Androidheadlines