จีเอเบิล ผนึกกำลัง ไฮเปอร์ คอร์ป เปิดตัวโซลูชั่น “Biometric Authentication Platform”
เสริมเกราะป้องกันองค์กรจากอาชญากรรมในโลกไซเบอร์ด้วยเทคโนโลยีไบโอเมตริก
กรุงเทพฯ (30 มิถุนายน 2559) – จีเอเบิล ผู้นำการให้บริการไอทีโซลูชั่นครบวงจร จับมือ ไฮเปอร์ คอร์ป บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีไบโอเมตริก (Biometric Technology) จากสหรัฐอเมริกา เปิดตัวโซลูชั่นล่าสุด “ไบโอเมตริก ออเธนติเคชั่น แพลตฟอร์ม (Biometric Authentication Platform)” เทคโนโลยีไบโอเมตริกในการยืนยันตัวตนก่อนเข้าระบบเพื่อป้องกันข้อมูลองค์กรรั่วไหลจากอาชญากรรมในโลกไซเบอร์ แนะองค์กรทุกขนาดปรับใช้เพื่อเพิ่มมาตรการความปลอดภัยที่เหนือกว่า ประหยัดกว่า และง่ายกว่า
นายสุเทพ อุ่นเมตตาจิต กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทจีเอเบิล กล่าวว่า “รหัสผ่าน (Password) เป็นเพียงเกราะชั้นแรกและชั้นเดียวที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เพื่อป้องกันข้อมูลและความเป็นส่วนตัวบนโลกอินเทอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์ก ตลอดจนใช้รหัสผ่านเพื่อเข้าระบบการทำงานและเข้าถึงข้อมูลสำคัญขององค์กรธุรกิจบนคลาวด์ บิ๊กดาต้า โมบายล์ คอมพิวติ้ง หรือเครือข่ายภายในบริษัท แต่รหัสผ่านยังคงมีจุดอ่อนตรงที่สามารถคาดเดาได้ง่ายและขโมยไปได้ง่าย ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เหล่าอาชญากรไซเบอร์ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อเข้าไปเอาข้อมูลสำคัญด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลเผยแพร่หน้าเว็บไซต์ เจาะระบบเพื่อยึดข้อมูลสำคัญขององค์กร หรือโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ และวิธีการที่คนร้ายมักจะใช้มากที่สุด คือ การโจมตีแบบ Social Engineering หมายถึง การใช้เทคนิคทางจิตวิทยาหลอกให้คนหลงกลเพื่อเข้าระบบ เช่น หลอกถามรหัสผ่าน หลอกให้ส่งข้อมูลที่สำคัญให้ หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตหรือโทรศัพท์ เป็นต้น ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ทั่วโลกมีคน 2 ใน 5 คนที่ถูกขโมยรหัสผ่านและโดนแฮ็ก แต่สถิติที่น่าตกใจคือประเทศไทยเป็นอันดับ 2 ของประเทศที่ถูกแฮ็กข้อมูลมากที่สุดในโลกและเป็นอันดับ 1 สูงสุดในอาเซียน สำหรับในภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงในการโดนโจมตีมากที่สุด คือ 1) ธุรกิจการเงิน 2) หน่วยงานรัฐบาล และ 3) ธุรกิจด้านสุขภาพ”
“เมื่อจินตนาการถึงความเสียหายที่เกิดจากการโดนขโมยรหัสผ่านเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญและความเป็นส่วนตัว มีตั้งแต่ความเสียหายระดับบุคคล จนถึงความเสียหายระดับองค์กรหรือระดับประเทศ แสดงให้เห็นว่า ระบบรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ (Cybersecurity) เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ดังนั้น จีเอเบิลจึงก่อตั้งกลุ่มธุรกิจ G-Security เพื่อดูแลงานด้านโซลูชั่นระบบรักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะ และจับมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง HYPRCorp. ผู้นำด้านเทคโนโลยีไบโอเมตริกจากสหรัฐอเมริกา ร่วมกันนำเทคโนโลยีไบโอเมตริกมาใช้อย่างถูกวิธี และพัฒนาเป็นโซลูชั่น “Biometric Authentication Platform” โซลูชั่นพร้อมใช้ตัวแรกของไทยที่มีความเป็นส่วนตัว ความมั่นคงปลอดภัย และความน่าใช้งาน ซึ่งต่างจากการใช้เทคโนโลยีไบโอเมตริกทั่วไป ซึ่งโซลูชั่นนี้จะช่วยเสริมเกราะป้องกันข้อมูลสำคัญขององค์กรอีกหนึ่งชั้นให้แข็งแกร่ง” นายสุเทพกล่าวเสริม
ด้าน ดร.ภูมิ ภูมิรัตน ที่ปรึกษาอาวุโส กลุ่มธุรกิจ G-Security เสริมว่า “วิธีป้องกันการคุกคามในโลก ไซเบอร์มีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมการเข้าถึง ซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัย ระบบยืนยันตัวตนด้วย รหัสผ่าน ฯลฯ แต่หนึ่งในวิธีที่ปลอดภัยที่สุด คือ การยืนยันตัวตนก่อนเข้าระบบด้วยเทคโนโลยีไบโอเมตริก ซึ่งเป็นการใช้ข้อมูลทางชีวมิติส่วนบุคคลทางกายภาพ เช่น ลายนิ้วมือ ฝ่ามือ เสียง ม่านตา ใบหน้า ดีเอ็นเอ เป็นต้น หรือทางพฤติกรรม เช่น ลายเซ็น ท่าเดิน เป็นต้น เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนก่อนเข้าระบบ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่กำลังมีการปรับใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกอุตสาหกรรม รวมถึงสามารถเข้าถึงคนทั่วไปมากขึ้น ดังที่ได้เห็นจากสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ที่มีฟังก์ชั่นสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคสมาร์ทโฟนและยืนยันตัวตนเพื่อทำธุรกรรมผ่านโมบายล์ เพย์เมนท์ หรือการยืนยันตัวตนเพื่อสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าที่รองรับ IoT (Internet of Things) โดยเทคโนโลยีไบโอเมตริกจะกลายเป็นอนาคตของมาตรการการรักษาความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ในเร็ววันนี้”
ด้วยความสำคัญและเทรนด์การใช้เทคโนโลยีไบโอเมตริกนี้เอง กลุ่มธุรกิจ G-Security ของบริษัทจีเอเบิลได้ร่วมมือกับ HYPR Corp. เป็นหนึ่งในบริษัทที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตร FIDO Alliance ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการพัฒนาเทคโนโลยีไบโอเมตริก ออเธนติเคชั่น เพื่อพัฒนาโซลูชั่น “Biometric Authentication Platform” ของจีเอเบิล ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่พร้อมใช้งานได้เลย โดยสามารถติดตั้งซอฟต์แวร์เสริมเข้ากับระบบความปลอดภัยเดิมในองค์กร โดยใช้เวลาติดตั้งระบบภายใน 3-6 เดือน พร้อมทั้งใช้เครื่องสแกนลายนิ้วมือ (Token) ที่สามารถพกพา
ได้ง่าย ราคาประหยัด และที่สำคัญยังสามารถใช้งานร่วมกับทุกระบบปฏิบัติการบนทุกดีไวซ์ที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันอีกด้วย โดยผู้ใช้จะสามารถล็อคอินเข้าระบบโดยการสแกนลายนิ้วมือได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงต่อการโดยขโมยรหัสผ่านหรือลดความยุ่งยากในการจดจำรหัสผ่าน เรียกได้ว่าเป็นการเสริมเกราะความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญและความเป็นส่วนตัวขึ้นอีกหนึ่งระดับที่เหนือกว่า ประหยัดกว่า และง่ายกว่า
“ตั้งแต่ต้นปี จีเอเบิลมุ่งลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์อย่างจริงจังจึงเกิดขึ้นมาเป็นกลุ่มธุรกิจ G-Security ที่ยึด 4 นโยบายหลักในการดำเนินธุรกิจ คือ 1) Security Consulting Service 2) Security Implementation Service 3) Security Managed Service และ 4) Security Sustainability Service ซึ่งในครึ่งปีหลังนี้จะมุ่งเน้นไปที่ Security Implementation Service ด้วยการเปิดตัวโซลูชั่น Biometric Authentication Platform เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเบ็ดเสร็จ ครบวงจร พร้อมเตรียมขยายทีมผู้เชี่ยวชาญด้านระบบความปลอดภัยในโลกไซเบอร์กว่า 50 คน พร้อมตั้งเป้าติดตั้งโซลูชั่นนี้ให้กับกลุ่มธุรกิจการเงิน 3-5 รายภายในสิ้นปี” นายสุเทพกล่าวเพิ่มเติม
“การยืนยันตัวตนด้วยเทคโนโลยีไบโอเมตริกเป็นส่วนสำคัญที่จะเสริมเกราะป้องกันองค์กรให้แข็งแกร่งได้สูงสุดเมื่อทำงานร่วมกับระบบความปลอดภัยอื่นๆ สำหรับจีเอเบิลเองที่ได้รับการสนับสนุนทั้งด้านเทคโนโลยีและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทระดับโลกอย่าง HYPR Corp. ก็สามารถมั่นใจได้ว่าเกราะป้องกันทางไซเบอร์นี้จะป็นเกราะที่แข็งแกร่งที่มั่นคง น่าเชื่อถือ ช่วยยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับทุกองค์กรอย่างแน่นอน” นายสุเทพกล่าวสรุป
###
เกี่ยวกับไฮเปอร์คอร์ป
ไฮเปอร์คอร์ปเป็นผู้พัฒนาโซลูชั่นการรับชำระเงินและโซลูชั่นการระบุตัวตนที่มีความปลอดภัยสูง บริษัทฯ นำเสนอแพลทฟอร์ม HYPR ที่ช่วยลดความกังวลจากการถูกปลอมแปลงหรือถูกดักข้อมูลจากผู้ไม่ประสงค์ดีในโลกอินเทอร์เนตด้วยกระบวนการระบุตัวตน การทำรายการด้านการเงิน หรือการถ่ายโอนข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ tokenization ที่มีรากฐานการจากใช้ข้อมูลชีวมิติ (Biometric Tokenization SDK) เพื่อเอื้อให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ภายนอกสามารถพัฒนาแอพลิเคชั่นใหม่ๆ จากรากฐานของกระบวนการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวมิติเพื่อการประยุกต์ใช้ในองค์กรธุรกิจต่างๆ ด้วย บริษัทฯ ก่อตั้งในปี 2014 และมีสำรักงานใหญ่อยู่ที่นครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก
เกี่ยวกับกลุ่ม FIDO Alliance
กลุ่ม FIDO (Fast IDentity Online) Alliance เป็นกลุ่มองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ก่อตั้งขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2012 เพื่อขจัดปัญหาความไม่เข้ากันของระบบสำหรับยืนยันตัวตนที่มีความปลอดภัยสูงต่างๆ รวมถึงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ผู้ใช้งานระบบเหล่านี้เผชิญจากการสร้างและจดจำชื่อผู้ใช้รวมถึงรหัสผ่านเป็นจำนวนมาก กลุ่ม FIDO Alliance ตั้งใจจะเปลี่ยนกระบวนการยืนยันตัวตนสำหรับบริการออนไลน์ต่างๆ ด้วยการพัฒนามาตรฐานกลางที่เปิดกว้าง บริหารจัดการได้ง่าย และรองรับอุปกรณ์ที่หลากหลายเพื่อทดแทนการใช้รหัสผ่าน มาตรฐานกลางนี้เป็นมาตรฐานกลางสำหรับอุปกรณ์ที่รองรับและยังเป็นปลั๊กอินของเว็บบราวเซอร์ด้วย มาตรฐานกลางดังกล่าวจะช่วยให้เว็บไซต์หรือแอพลิเคชั่นคลาวด์ต่างๆ สามารถใช้กระบวนการยืนยันตัวตนนี้กับอุปกรณ์ที่มีในปัจจุบันหรืออุปกรณ์ใหม่ๆ ในอนาคตที่รองรับได้โดยสะดวก