[alert variation=”alert-info” dismiss=”dismiss”]1 พฤษภาคม 2560 – เพิ่มวิดีโอ AppDisqus Hangout : ตะลุย Mauritius ดินแดน Africa ด้วยกล้อง GoPro Hero 5 Black Edition กับ APPDISQUS ฉบับเต็ม[/alert]
เป็นประจำทุกปีที่ต้นปีแบบนี้เราต้องพาเพื่อนๆ ออกไปเอาท์ติ้งต่างประเทศกันแบบมันๆ สนุกๆ ตามประสาคนไอที โดยในปีนี้อเล็กซ์ได้รับภารกิจสุดหินให้พาเพื่อนๆ APPDISQUS เที่ยวประเทศ Mauritius ณ ดินแดนแอฟริกาตามลำพัง (เพราะคนอื่นๆ ป๊อด) ซึ่งจะมีเพื่อนร่วมทางเป็นแก๊ดเจ็ต ไอทีสุดแกร่งอย่าง GoPro Hero 5 Black Edition ที่จะทำหน้าที่เป็นเสมือนตาเก็บภาพและวิดีโอมาฝากเพื่อนๆ กันภายในทริปสุดมันส์นี้ เพราะเหตุนี้จริงเคลมตัวใหญ่ๆ ตรงนี้ไว้ก่อนเลยว่า ทุกรูปและวิดีโอที่จะได้เห็นต่อไปในบทความนี้ถ่ายจาก GoPro Hero 5 Black Edition หมดเลย (ยกเว้นรูปเกาะจากมุมสูงทั้งเกาะ อันนั้นเอามาจากกูเกิล และรูปร่มที่ Port Louis อันนั้นเอามาจากกระทู้ในพันทิพตามเครดิตที่ให้ใต้ภาพครับ) แต่งรูปก็ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่อีก เลยเอาง่ายๆ คือใช้ SnapSeed มาแต่งสีเพิ่มแสงบ้างในบางรูปนะครับ
ทริปนี้เป็นการเดินทางคนเดียว กับกระเป๋าเป้หนึ่งถึงสองใบ และหัวใจปอนๆ เพื่อพาเพื่อนๆ ไปสัมผัสกับความงามของท้องทะเล ภูเขา ป่าไม้ และท้องฟ้า กับกิจกรรมสุดมันส์ตั้งแต่การว่ายน้ำกับโลมาป่าในมหาสุมรเปิด ปีนเขาขึ้นไปดูดินภูเขาไฟเจ็ดสี ไปยันเหินฟ้ากับพาราเซลลิ่ง ณ น่านฟ้าที่ว่ากันว่าเป็นจุดที่สวยงามที่สุดในการเล่นพาราเซลลิ่งของโลกเลยอย่าง Ile Aux Cerfs ว่าไปแล้วก็อย่ารอช้า ตามกันมาเลยดีกว่าครับ
ป.ล. สำหรับใครที่รอวิดีโอรีวิวเพื่อชม Mauritius ในแบบเคลื่อนไหวได้ และดูประสิทธิภาพของ GoPro Hero 5 Black Edition ในแบบใกล้ชิด รับรองว่ามีมาแน่ รออีกไม่นาน ติดตาม APPDISQUS ไว้เลย ตัดต่อเสร็จและพร้อมเมื่อไหร่เราจะแจ้งทุกคน
Mauritius เป็นประเทศที่คิดว่าคงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของชาวไทยสักเท่าไหร่นักครับ การหาข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศนี้เองก็หาได้ค่อนข้างยากทีเดียว โดยส่วนตัวแล้ว อเล็กซ์รู้จักประเทศนี้จากการอ่านหนังสือเรื่อง Me Before You โดย Lou เลือกประเทศนี้เป็นประเทศที่จะไปสร้างแรงบันดาลใจในการอยากมีชีวิตอยู่ต่อให้กับ Will เหตุเพราะเป็นประเทศที่มีกิจกรรมเหมาะกับการแอดเวนเจอร์มากมาย รู้แบบนั้นก็เฝ้าติดตามเส้นทางนี้อยู่ แต่เพราะราคาของ Air Mauritius และ Emirates ที่มันไม่ค่อยน่ารักน่าลงทุนนักกับประเทศที่เราไม่ค่อยจะรู้จักมักจี่เลยแบบนี้เลยทำให้ไม่มีโอกาสได้ไปสักที แต่แล้วก็เป็นโอกาสดี AirAsia X (โดยบิน AirAsia ประกาศเปิดเส้นทางใหม่ไป Mauritius อเล็กซ์ก็เลยรีบปรี่เข้าไปหาตั๋วในทันที ซึ่งทริปนี้ AirAsia X จัดให้ที่ 9200 บาทถ้วน (+300 บาทค่าอาหารสองมื้อ) แต่หากอยากโหลดกระเป๋าเพิ่ม ไป-กลับ ซื้อน้ำหนักเพิ่มแบบต่ำสุดก็เพิ่มอีกประมาณ 4800 บาทโน่นเลย ดังนั้นด้วยความงก เลยบาลานซ์ขนาดและน้ำหนักกระเป๋าสุดฤทธิ์จนรอดมาได้แบบไม่ต้องซื้อเพิ่มในที่สุด
น่าเสียดายที่ ณ ตอนนี้เส้นทาง Mauritius สำหรับ AirAsia X นั้นได้ถูกยกเลิกไปแล้ว (โดยไฟลต์ออกจาก KL ไฟลต์สุดท้ายคือวันที่ 25 มีนาคม 2560 และไฟลต์กลับเข้า KL ไฟลต์สุดท้ายคือวันที่ 26 มีนาคม 2560) ทั้งนี้ ณ ตอนนี้ยังสามารถบินไป Mauritius ได้ด้วยสายการบิน Air Mauritius และ Emirates ซึ่งราคาจะอยู่ที่ประมาณ 30K – 45K ครับผม
เอาล่ะ ในเมื่อตั๋วตอนนี้มันแพง อเล็กซ์ก็ขออนุญาตแชร์แผนการเดินทางของตัวเองเป็นวันๆ ตามสถานที่ เพื่อให้เพื่อนๆ ได้พิจารณากันต่อไปว่า Mauritius คือประเทศที่น่าค้นหา และน่าสนใจเพียงพอต่อราคาตั๋วไหม แต่หาก อเล็กซ์ต้องสรุปความประทับใจของตัวเองแล้วก็ต้องบอกว่ามันคุ้มค่ามากแบบสุดๆ เลยครับ
ทั้งทริป…เสียไปเท่าไหร่?
ขออนุญาตเริ่มที่เรื่องที่หลายๆ คนอาจจะสนใจกันก่อน คือค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทางทริปนี้ครับ
– ค่าตั๋วเครื่องบินไป – กลับ + ค่าอาหาร 2 มื้อ สายการบิน AirAsia X – 9350 บาท
– ค่าโรงแรม (3 – 8 มีนาคม 2560 แต่โรงแรมคิดอเล็กซ์แค่ 3 – 7 มีนาคม (คือถึงคืนวันที่ 6) ส่วนคืนวันที่ 7 นั้นให้อยู่ให้พักฟรีถึงเกือบๆ เที่ยงคืนเลยก่อนจะเดินทางไปสนามบินครับ น่ารักจริงๆ – 4000 บาท (คืนละ 1000 บาท)
– จองทัวร์ ว่ายน้ำกับปลาโลมา + อาหารเที่ยงที่เกาะ ile aux benitiers (คืนพื้นเมืองออกเสียงว่า อิล อู แบนิเตีย์ เหมือนจะต่างจากชาวฝรั่งเศสจริงๆ หน่อยหนึ่งครับ) โดยระหว่างทางไปจะผ่าน Crystal Rock เพื่อให้ดูกันแบบใกล้ๆ – 3200 บาท
– ค่าทัวร์ไปเกาะ ile aux cerfs + ดูน้ำตกในทะเล + อาหารกลางวัน = 950 บาท
– ค่า Parasailing ที่ ile aux cerfs แบบแพ็คเกจ Panoramic View (ประมาณ 8 นาที เป็นแพ็คสูงสุดของผู้เล่น Parasailing คนเดียวครับ) – 3000 บาท
– ค่าเช่ารถ + คนขับ 1 วันเพื่อเดินทางไปทางตอนใต้ของ Mauritius = 2000 บาท (รวมน้ำมันแล้ว)
– ค่าแท็กซี่จากสนามบินไปโรงแรม (ที่ Flic-En-Flac) – 1300 บาท
– ค่าแท็กซี่กลับไปสนามบินจากโรงแรม (ให้ที่โรงแรมไปส่ง) – 1500 บาท (เขาคิดแค่ 1300 แล้วให้เพิ่มไปเพราะเงิน Rupees เอากลับมาใช้ในไทยไม่ได้อยู่แล้ว)
– เงินสดที่ใช้ไปทั้งหมด 2150 บาท (คือกินดีทุกวันนะครับ หมดไปกับเบเกอรี่ ทำไมมันถูกงี้วะเนี่ย ตั้ง 5 วันโดยประมาณ)
รวมทั้งทริป = 27,450 บาท ไม่เลวเลยครับกับการเดินทางคนเดียว ทำทุกอย่างคนเดียว แถม ไม่มีใครช่วยหารเพิ่มเลย หากมีคนช่วยหารอีกก็ถูกเข้าไปอี๊ก
มารู้จักกับ Mauritius กันสักนิด
Mauritius เป็นเกาะๆ หนึ่งที่เป็นประเทศอยู่ในทวีป Africa ครับ โดยเป็นเกาะขนาดเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความปลอดภัยมากที่สุดแล้วใน Africa (แต่ยังเป็นประเทศโลกที่ 3) ที่นี้ใช้เงิน Mauritian Rupee ซึ่งไม่เหมือนกับ Indian Rupee นะครับ โดยเรตค่าเงินเค้าเทียบเท่ากับเงินบาทไทยได้ที่ 1:1 เลย (เขาแพงกว่านิดเดียวจริงๆ เช่นกดเงินออกมา 8000 Maurtitian Rupees อเล็กซ์โดนหักเงินไทยไป 8045 บาท ครับ) ส่วนค่าครองชีพนั้นก็ประมาณเดียวกันบ้านเราใน กทม ครับ ส่วนเมืองหลวงของ Mauritius นั้นชื่อว่า Port Louis ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของย่านนั้น และประชาชนของประเทศนี้เราเรียกว่า Mauritian ครับผม
Mauritius เคยตกเป็นอาณานิคมของ 3 สัญชาติด้วยกัน (ได้ความรู้จากพิพิธภัณฑ์ Blue Penny Museum ใน Port Louis) ซึ่งคือ Dutch, French และ British คร้บ โดยการเข้ายึดครองของชาวอังกฤษในครั้งสุดท้ายนั้นถือว่าเป็นการบรรลุสนธิสัญญาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกฉบับหนึ่ง โดยอังฤษยอมทำสนธิสัญญายึดครองโดยยังคงให้ Mauritius มีอารยธรรมแบบฝรั่งเศสเดิมๆ ขนบธรรมเนียมเดิม ใช้ภาษาเดิมๆ ได้ และจะไม่มีการทำร้ายหรือส่งตัวชาวฝรั่งเศษที่อยู่ที่นั่นไปไหน รวมทั้งอนุญาตให้ทหารที่ยังมีชีวิตอยู่กลับบ้านได้ทั้งหมด หล่อเลยจริงๆ ดังนั้น Mauritius เลยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภาษามาก โดยประชากรสามารถใช้ภาษาได้ถึง 3 ภาษากันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีภาษาหลักเป็นภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ (หลักเลยจริงๆ คือฝรั่งเศสครับ) ส่วนภาษาที่ 3 นั้นคือภาษา Creole ซึ่งเป็นภาษาประจำชาติของบ้านเค้าครับ (และอีกไม่น้อยเลยที่พูดได้ถึง 4 ภาษา ซึ่งคือภาษาอินเดียในแบบที่คนนั้นๆ รู้จัก ขึ้นอยู่กับต้นตระกูลของตนอีกที) ประชากรที่นั้นส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดี่ยนครับ แต่จะมีชาวแอฟริกันไม่น้อยเหมือนกัน มีเอเชี่ยนน้อยมาก ศาสนาหลักคือฮินดู โดยมีอิสลามและคริสต์ตามมาติดๆ จากปากคำให้การของชาวพื้นเมืองครับ (คือสัมภาษณ์ไปเรื่อย เดี๋ยวจะมีให้ดูในวิดีโอนะ 5555+)
Mauritius ขึ้นชื่อมากๆ เรื่องทะเล ชายหาด และแนวปะการังครับ (ซึ่งอเล็กซ์ว่าปะการังไม่สวยเท่าไทยเรา) โดยประเทศนี้มีกิจกรรมมากมายหลายหลากให้ได้ทำกันจริงๆ ตั้งแต่การลงเรือยันขึ้นเขา เหมาะกับผู้ที่แสวงหาการเดินทางแบบผจญภัยครับ
เอาล่ะ พร้อมแล้วไปเที่ยวกันดีกว่า
บันทึกนักเดินทางกับ APPDISQUS OUTING ปี 2560
Mauritius เป้หนึ่งใบ และใจปอนๆ กับ GoPro Hero 5 Black
3 มีนาคม 2560 : Flic-en-Flac Beach
วันแรกที่ไปถึงคือวันที่ 3 มีนาคม 2560 ครับ โดยเดินทางไปที่พักที่ Residence Padma ในย่าน Flic-En-Flac ซึ่งเป้นหาดเงียบ สงบๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปนอนอาบแดดเล่นน้ำทะเลกัน ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินไปประมาณ 1 ชั่วโมง
วันนี้มีความโป๊ะหน่อยตรงที่อ่านรีวิวจากอินเตอร์เน็ตและพันทิพมาเห็นหลายๆ คนบอกว่าไปแลกเงินบาทที่สนามบินได้ เลยเตรียมเงินบาทเพื่อไปแลกเลยครับ ปรากฏที่สนามบินไม่มีเจ้าไหนรับแลกเลย ทำไงดีล่ะทีนี้เพราะว่าค่าแท็กซี่ก็ยังไม่ได้จ่าย ต้องมาจ่ายกับคนขับเอาโดยตรง โชคดีที่มีเงินดอลติดตัวอยู่หน่อยหนึ่ง ก็เลยแลกเงิน Mauritian Rupee มาได้ประมาณเกือบๆ 2000 MUR รอดตายไปอย่างหวุดหวิดครับ ก็คิดว่าเข้าเมืองไปแล้วค่อยไปกดเงินจากตู้ ATM เอาแทนล่ะกัน
ดังนั้นฝากไว้เป็นทริคกับเพื่อนๆ หน่อยหนึ่งตรงนี้เลยว่าใครไป ไปกดเงินเอาปลายทางถูกกว่าเยอะเลยนะครับ เพราะว่าที่ Mauritius การแลกเงินนั้นไม่ได้มีกำหนดเหรียญที่จะได้ตายตัวต่อช่วงเวลาของวันอย่างในบ้านเรา ดังนั้นหากคิดจะไปแลกที่โน่น นอกจากจะไม่รับเงินไทยแล้ว การแลกเงินดอลก็ต้องใช้ด้วยใช้ที่แข็งแกร่งและความสามารถทางการบวกลบเลขที่เร็วมาก เพราะเขาจะกดตัวเลขบอกเรตเราแบบไวๆ และราคาแข่งกันในทุกเจ้าที่อยู่ที่สนามบินครับ
เดินทางถึงที่พักปุ๊ปก็รีบไปหาด Flic-en-Flac ครับ ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักแบบเดินได้ประมาณ 5 – 10 นาที ยอมรับว่าหาดสวย น้ำใสมาก แต่วินาทีนั้นคือคิดกับตัวเองเลยว่าตูบินข้ามโลกมาทำไมฟ้ะในเมื่อของแบบนี้หาจากกระบี่เอาก็ได้ เรียกได้ว่าเริ่มต้นวันแรกได้ไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่นักในความทรงจำเลย T^T
4 มีนาคม 2560 : Dolphins Swim and Benitiers
วันนี้มีการวางแผนมาจากประเทศไทยครับ โดยจะไปว่ายน้ำกับปลาโลมา + ไปทานอาหารกลางวันที่เกาะ Ile Aux Benitiers ซึ่งระหว่างทางไปเกาะนั้นจะได้เห็น Crystal Rock ก้อนหินกลางน้ำชื่อดังของบ้านเมืองเขาที่เราเห็นในโปสการ์ดอยู่บ่อยๆ ด้วย ว่ากันแล้วก้รอรถมารับกันตั้งแต่เช้าเพื่อไปทำกิจกรรมกัน โดยผมซื้อทัวร์นี้มาจากไทยที่เงิน 3200 บาท ซึ่งรวมทุกอย่างรวมทั้งค่ารถไปรับ-กลับมาส่งถึงโรงแรมที่พักด้วยครับ
ไปตามล่าหาปลาโลมาด้วยกันครับ โดยทีนี่ความปลอดภัยทางทะเลถือว่าดีมากกับนักท่องเที่ยวครับ นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับชูชีพก่อนลงเรือคนละตัว และเมื่อลงเรือไปแล้ว ในเรือยังมีสำรองไว้กันเกิดอุบัติเหตุเพิ่มเติมขึ้นอีกอย่างครบครันกัน โดยในเรือที่ผมไปนั้นมีกันทั้งสิ้น 6 ชีวิต โดยมี 2 ชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่ อีก 1 ชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่เก่า และอีก 3 ชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว ส่วนชูชีพนั้นไม่ได้บังคับให้ใส่ครับ (และไม่ควรใส่ถ้าว่ายน้ำได้ เพราะมันจะทำให้เราตะกายไปใต้น้ำไม่ได้ แล้วอดเห็นความสวยงาม) แต่ไกด์จะแนะนำว่าให้ติดไว้ข้างๆ ตัวตอนอยู่บนเรือตลอด และเสื้อชูชีพจะช่วยเราได้หากเกิดตะคิวขึ้นครับ
อุปกรณ์การดำน้ำตื้นทั้งหมดจะถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้แขกอย่างครบถ้วนครับ ตั้งแต่หน้ากากดำน้ำตื้นและท่อหายใจ ไปจนถึงตีนกับ ไม่อยากใช้อะไรก็ไม่ต้องใส่ก็ได้ครับ ทะเลที่นี่เค็มมาก โอกาสจมแทบไม่มีหากไม่เป็นตะคิว เมื่อพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันไปดูฝูงปลาโลมาด้วยกันครับ โดยไกด์จะพาเราไปยังจุดที่ปลาโลมากำลังหากินครับ เป็นฝูงใหญ่มากๆ โอกาสพบเจอจะประมาณ 80% (หากไม่เจอเขาให้มาได้ใหม่ฟรีในวันต่อไป) ซึ่งเริ่มเลยเราจะดูเหนือน้ำก่อน จะเห็นพวกเค้าว่ายกันเป็นฝูง แต่ความน่าอัศจรรย์มันอยู่ตอนไกด์บอกให้เรากระโดดลงน้ำไปได้ครับ โอ้โห ผมนี่เผลอครางออกมาทั้งๆ ที่ยังคาบท่ออยู่ในปากเลย มันสวยงามมากครับ (รูปภาพผมถ่ายมาแครปปี้มาก ขออภัยนะครับ T^T)
ขัดใจตัวเองเหลือเกินที่มัวแต่ตื่นเต้นจนรูปออกมาอะไรก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าอย่าดูแต่รูปภาพเลยครับ ผมตัดวิดีโอท่อนนึงมาให้ดูสั้นๆ เลยดีกว่าความยาวประมาณ 20 วินาที ส่วนวิดีโอท่องเที่ยวด้วย GoPro เต็มๆ จะลงไว้ที่ช่องนั้นล่ะครับอีกทีหลังจากตัดต่อเสร็จ
ต้องขอบอกก่อนเลยว่าโดนส่วนตัว อเล็กซ์ประทับใจกับเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการท่องเที่ยวที่นี่มากทุกคนเลยครับ โดยในวันนั้นไกด์ของเราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้ลูกเรือทุกคนได้สัมผัสกับปลาโลมา โดยบนเรือที่โดยสารนั้นมี ผดส คนหนึ่งเป็นคุณป้าแกไม่ค่อยกล้าจะลงไปว่ายครับ (แกว่ายน้ำได้ แต่แกบอกว่าที่นี่น่ากล้ว และแกเหนื่อย น่าจะเพราะมันใกล้กับโลมามากๆ เลยออกแนวกลัวๆ น่ะครับ แต่โดยส่วนตัว อเล็กซ์คิดว่าทะเลที่นี่มันสุดยอดมาก ว่ายง่าย โอกาสจมแทบไม่มีเลย ยิ่งเจอสัตว์มหัศจรรย์ได้ท้องทะเลอีกยิ่งคุ้มมาก) สุดท้ายไกด์ก็เกลี้ยกล่อมให้แกลงไปสักครั้งโดยมีไกด์ช่วยจับมือดำน้ำลากไปด้วยกันใกล้ๆ เลย เพราะไกด์บอกว่าประสบการณ์นี้ไม่อยากให้พลาด อยากให้ได้สัมผัส น่ารักมากจริงๆ ครับคนที่นี่ นอกจากนั้นกิจกรรมนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่เร่งนักท่องเที่ยวเลยด้วยครับ แกถามผมบ่อยมากว่าพอใจแล้วยัง จะลงไปอีกไหม จนผมต้องบอกว่าไม่เป็นไรเกรงใจคนอื่นเค้า แกก็แซวว่าจริงเหรอ แต่คุณยังใส่ตีนกบคาไว้อยู่เลยเหมือนยังไม่อยากไปนะ แล้วก็หัวเราะ ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ เค้าก็บอกว่าไม่ต้องเกรงใจใคร (ทั้งเรือก็ร่วมกันส่ายหัวว่าไม่เป็นไรจริงๆ) อยากลงก็ลงไป แต่สุดท้ายก็ยืนยันไม่ลงครับ เค้าแคร์ประสบการณ์นักท่องเที่ยวจริงๆ
จบจากตรงนี้ก็ไปดำน้ำดูปะการังกันต่อครับ โดยส่วนตัวคิดว่าตรงนี้ไม่ได้น่าสนใจอะไร เพราะว่าค่อนข้างธรรมดามาก บ้านเราที่กระบี่สวยกว่าจริงๆ นะทั้ง ปลา ทั้งปะการังเลยครับ
หลังจากนั้นเราก็จะได้แล่นเรือผ่านจุดไอคอนิกในโปสการ์ดสวยๆ ที่เค้าถ่ายๆ กันสักทีครับ นั่นก็คือ Crystal Rock ซึ่งเป็นก้อนหินที่ลอยเด่นอยู่ในทะเล (ขนาดประมาณเกาะย่อมๆ) ก็ถ่ายรูปแชะกันไว้ครับ
เสร็จปุ๊ปเราก็จะถึงเกาะ Ile Aux Benitiers เพื่อทานอาหารเที่ยงกัน ที่นี่จะมีคนพื้นเมืองลอยแพขายของกันในทะเลด้วยครับ แอบไปถ่ายรูปกับคุณลุงคนขายไว้หน่อยหนึ่ง 5555+
ชายหาดที่นี่สวยงามมากครับ น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลาแบบสุดๆ จริงๆ (คือจริงๆ ก็ใสทุกที่) และที่นี่ผมได้เจอกับพี่ชาวไทยหนึ่งคน ชื่อว่าพี่เอ โดยพี่เอไม่ได้เดินทางมาจากไทย แต่เดินทางมาจากซานฟรานซิสโกเพื่อมาฮันนีมูน ^^ พี่เอบอกว่าตอนเข้าประเทศเจ้าหน้าที่แอบแซวว่าพี่เอเป็นคนไทยคนแรกในรอบ 6 ปีที่เค้าได้เป็นคนตรวจหนังสือเดินทางให้เลยทีเดียว (ขออนุญาตพี่เอลงรูปเลยนะครับ สาวไทยคนเดียวที่ได้เจอที่ Mauritius 5555+ แถมยังชื่อเล่นเดียวกันอีก เป็นดับเบิลเอเลย และเป็นหนึ่งใน 2 คนไทยที่ได้เจอที่ประเทศเล็กๆ นั้นเลยครับ)
ที่ Mauritius มีเบียร์ประจำชาติชื่อว่า Phoenix Beer นะครับ โดยมีโรงงานอยู่ที่เขต Phoenix เวลาไปกลับสนามบินเราจะเห็นโรงงานของเบียร์นี้ได้เลย
จบวัน เดินทางกลับฝั่งและเข้าโรงแรม ปิดจ๊อบของวันนี้กับท้องฟ้าโปร่งๆ แสงดีๆ และผิวที่เริ่มไหม้ได้ที่แล้ว ณ เกาะ Benitiers ครับ
5 มีนาคม 2560 : South of Mauritius
วันนี้เป็นวันที่เราจะเดินทางลงใต้กันครับ โดยเราจะเดินทางไปเยี่ยมถิ่นที่เป็นมรดกโลกของที่ Mauritius นี้อย่าง 7 Coloured Earths และ Tamarind Falls โดยสองที่นี้อยู่ในพื้นที่อุทยานเดียวกัน ซึ่งสำหรับ 7 Coloured Earths นั้นก็ตามชื่อของมันเลยครับ เป็นพื้นที่ที่มีดินที่มีเฉดสีสันทั้งหมด 7 สีด้วยกัน โดยเกิดจากการปะทุของภูเขาไฟและลาวาเมื่อนานเนิ่นมาแล้ว ทั้งนี้ว่ากันว่าดินทั้ง 7 นี้จะไม่สามารถเอามาเขย่ารวมสีกันได้ครับ ซึ่งหากเราพยายามจะเขย่ารวมสีกัน มันจะแยกตัว แยกสี ออกจากกันเองโดยอัตโนมัติอีกครั้ง (แต่ผมไม่ได้ลองนะ เพราะว่าช่วงเช้ามีฝนตกปรอยๆ ทำให้ดินมันออกเป็นคล้ายๆ ดินเหนียว สีเข้มหน่อย เลยเห็นสีสันไม่ค่อยชัดครับ นอกจากนี้เรายังจะเดินทางไปยังวัด Ganga Talao หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า Grand Bassin ซึ่งเป็นสถานที่ที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาฮินดูในประเทศ Mauritius กันเลยทีเดียว โชคร้ายหน่อยที่วันนี้อากาศไม่ค่อยดี แต่เราจะเดินทางไปด้วยกันครับ
วันนี้ผมตัดสินใจเช่ารถเพราะการเดินทางลงใต้ของ Mauritius นั้นค่อนข้างจะลำบากมากหากจะเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง ตกลงทำสัญญากันเสร็จศัพท์จ่ายค่ารถกันไปที่ 1000 MUR จากนั้นก็ขึ้นรถเตรียมขับออกไปครับ โดยที่ Mauritius นี้ เราสามารถใช้ใบขับขี่ของบ้านเราได้เลย หากใครไม่มีใบขับขี่สากลก็ไม่ต้องกังวลครับ
ยังไม่ทันได้ขับก็เจองานงอก เพราะว่าอเล็กซ์เองขับแต่เกียร์ออโต้ (วอนสังคมเห็นใจ อย่าด่ากันเลย) แต่รถที่ได้คือเกียร์แมนนวล นี่ลืมไปแล้วว่าโลกนี้มีเกียร์แมนนวลอยู่เลยไม่ได้ตรวจสอบให้ดีก่อนเช่าเอง สุดท้ายขับไม่ได้เลยต้องไปขอเปลี่ยนรถครับ แต่ด้วยความซวยรถออโต้หมดเอง ทีนี้เงินก็คืนไม่ได้แล้วเพราะทำสัญญาไปแล้ว เลยต้องลงเอยด้วยการเช่าคนแถวนั้นมาเป็นคนขับให้ เสียค่าใช้จ่ายไปอีก 1000 MUR แต่รวมๆ แล้วก็ยังถูกกว่าเช่า Taxi เพื่อไปชมแดนใต้ ซึ่งคิดค่าใช้จ่ายทั้งวันที่ 2750 MUR ครับ … เอาล่ะ มาทำความรู้จักกับคณะทัวร์กันก่อน
คณะทัวร์ของเราประกอบด้วยสองคนครับ คืออเล็กซ์และไกด์ (โถวววว พูดเหมือนเยอะ) โดยไกด์ของเราก็ไม่ใช่คนพื้นที่ด้วยนะ เป็นคนเนปานทำงานใน Mauritius ดี…หลงไปด้วยกัน
ว่าแล้วก็เตรียมตัวเดินทางไปที่แรกกันก่อน นั่นก็คือ Seven Coloured Earths และ Tamarind Falls ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน (ตอนแรกไม่ทราบว่าน้ำตกนั่นชื่อ Tamarind Falls เลยไปปล่อยไก่ไว้หน่อย 55+) เราเสียค่าเข้ามา 275 MUR ก็เที่ยวได้ทั้งสองจุดครับ โดยทั้งสองจุดไม่ได้ใหญ่อะไร Tamarind Falls เป็นเพียงจุดชมวิวเล็กๆ (แต่สวยงามมาก) ส่วน Seven Coloured Earths นั้นก็เป็นสวนกั้นมีพื้นที่ให้พอเดินเล่นได้พอประมาณ พร้อมกับมีเต่า Tortoise ให้ดูประมาณ 5 ตัวครับ (เค้าบอกว่า Tortoise ว่ายน้ำไม่ได้นะครับ ไม่เหมือน Turtle ดังนั้นเวลาเจอเห็นเป็นเต่าอย่าหวังดีพามันกลับคืนสู่ลำธารไปหมดทุกสายพันธุ์นะครับ)
การเดินทางลงใต้ของ Mauritius นั้นโดยส่วนตัวผมว่าขับรถยากมากๆ เลยครับ ถนนหนทางเป็นป่าเขา ขึ้นเขากันตลอดเวลา และวกวนเวียนไปเวียนมาน่าปวดหัว ถนนเองก็แคบด้วย คิดว่าเป็นการเลือกที่ถูกต้องมากที่ตัดสินใจจ้างคนพื้นที่ (แม้จะไม่พื้นเมือง) มาเป็นไกด์ครับ ซึ่งเสร็จจากตรงนั้นเราก็เดินทางไปที่วันฮินดู Grand Bassin กันต่อ เนื่องจากวันนี้ฝนตก หมอกเลยลงจัดมาก จริงๆ ระหว่างทางผ่านจุดชมวิวของ Black River Gorges ด้วยซึ่งฝนตกหนักมากและหมอกลงหนัก เลยแวะได้ไม่นาน และไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมานะครับ (แต่เดี๋ยวมีให้ดูในวิดีโอเต็มๆ ตอนนะครับ)
Grand Bassin หรือ Hindu Temple วันนี้ก็หมอกลงหนามากเหมือนเช่นทุกๆ ที่ที่ไปครับ ทำให้ได้ฉากหรือวิวในส่วนของวัดที่ไม่สวยมากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเข้าไปแล้วเรารู้สึกได้ถึงความขลังและความและความศักดิ์สิทธิ์จากพลังศรัทธาของผู้ที่เข้าไปสักการะบูชาเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้มีอะไรมาก แต่ก็ถือเป็นการทัวร์ชีวิตความเป็นอยู่และศาสนาหลักของ Mauritius ได้ดีทีเดียวเลยล่ะครับ
จบไปอีกหนึ่งวัน ในวันพรุ่งนี้เราจะพาเพื่อนๆ เข้าเมืองหลวงของ Mauritius กันบ้าง และยังเป็นเมืองท่าสำคัญของแถบนั้นด้วยอย่าง Port Louis โดยเราจะเดินทางอย่างแอดเวนเจอร์กันหน่อยด้วยรถบัสซึ่งเป็นรถโดยสารสาธารณะหลักของที่นั้น เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เอาเวลาของผมไปหมดเลยทีเดียว ^^
6 มีนาคม 2560 : Port Louis – Be My Guest
Port Louis คือเมืองหลวงของ Mauritius ครับ เป็นเมืองท่าสำคัญของผู้คนทางฝั่งนี้ด้วย โดนในเมืองนี้นั้นมีกิจกรรมตามแบบที่เมืองๆ หนึ่งในโลกเสรีจะมีได้ (ไม่คาดคิดว่าจะเห็นในประเทศโลกที่ 3 แบบนั้น) โดยเริ่มตั้งแต่การเดินช็อปปิ้ง (ที่ร้านรวงอาจไม่มากเหมือนบ้านเรา) ตลาดคนเดิน พิพิธภัณฑ์ โบถส์ใหญ่สวยงามประหนึ่งจัตุรัสเมือง ไปจนถึงคาสิโนเลยทีเดียว (ใช่ครับ คาสิโนใหญ่ๆ เขาก็มีนะเออ)
ทั้งนี้การเดินทางมา Port Louis จาก Flic-En-Flac นั้นถือว่าไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากนัก สามารถรอรถได้ที่ป้ายรถเมย์เพื่อโดยสารรถประจำทางมาได้เลย โดยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง พร้อมแล้วอเล็กซ์ก็เตรียมออกเดินทางไปป้ายรถเมย์ครับ (ซึ่งระหว่างที่เดินผ่านป้ายรถเมย์จะต้องผ่านการท่องเที่ยว Maurtitius ด้วยก็เลยแวะเข้าไปซื้อทัวร์ Ile Aux Cerfs + น้ำตก + อาหารเที่ยงไว้เผื่อพรุ่งนี้ซะเลย เพราะอเล็กซ์จะพาทุกคนไป Parasailing ในจุดที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในโลกเลยนะเออ) มาแล้วก็ตามมาครับ เข้าเมืองกัน
รถเมย์จะพาเรามาถึงถนนที่วุ่นวายมากที่สุดย่านหนึ่งใน Port Louis เลยครับ (ก็เน๊อะ เคยเห็นอยู่กี่ถนนมันเอง) โดยหลังจากลงรถเมย์ เราจะอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวหมดเลยทั้ง Le Caudan Waterfront ซึ่งเป็นที่ๆ ผู้ที่มา Port Louis จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเดินทางมาให้ถึงเพื่อดูร่มแขวนหลางหลายสีสันต์ รวมไปจนถึงถนนคนเดิน พิพิธภัณฑ์ Blue Penny House และเดินไปไม่ไกลจากตรงนั้นมากก็จะเป็นจัตุรัส Cathedral ประจำ Port Louis ด้วย วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งมาก ทุกอย่างเหมือนจะไปได้ด้วยดีครับ แต่แล้วก็ต้องมาสะดุดเมื่อพบว่าร่มสีสันต์สวยงามที่เราตั้งใจจะมาดูนั้นมันไม่มีเลยสักอัน T^T
นี่ก็เดินวนไปรอบๆ หวังว่าจะได้เห็นร่มบ้างแม้ว่าความหวังจะริบหรี่เต็มที ท้ายที่สุดเลยตัดสินใจถามคนแถวนั้นดูว่าร่มไปไหน คำตอบที่ได้ก็คือร่มโดยเก็บหมดแล้วเพราะมรสุมเข้า (คือคนพื้นเมืองคนแรกบอกผมว่าทอร์นาโดเข้าเลยทีเดียว – -“ ) นกครับ จะอะไรล่ะ นกตัวเบ้อเริ่มเลย
สิ่งที่คาดหวัง
สิ่งที่ได้เจอ
หายหมดเลย ไม่มีร่มสักอัน T^T เหลือแต่ลวดดดดดดดดด
ไม่เป็นไร มันจะไม่มีอะไรทำลายวันหยุดเราได้เด็ดขาด คิดได้ก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นเดินรอบๆ แทนเพื่อดูว่าตรงบริเวณใจกลาง Port Louis นั้นเป็นอย่างไรครับ ซึ่งค้นพบว่ามันสวยมากกก
ที่นี่มีร้านกาแฟบรรยากาศดีๆ ให้ได้นั่งท่านด้วยนะครับ เอาไว้ระงับความอยากสำหรับคนที่อยากไปทำแบบนี้ที่ปาริส แม้ว่ามันจะอาจไม่ได้อารมณ์เดียวกันเด๊ะๆ แต่ก็พอแก้ขัดได้นิดๆ นะครับ 555+
เสร็จแล้วก็เดินไป Blue Penny House ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ของประเทศนี้ และแม้ว่าข้างในจะไม่ใหญ่ แต่ก็ถือได้ว่ามีข้อมูลที่ครอบคลุมครบถ้วนมากจริงๆ เกี่ยวกับประเทศครับ ต่อไปก็ไปเที่ยวตลาดคนเดินกันหน่อยครับ ที่นี่ชาวพื้นเมืองเตือนว่าอันตรายในเรื่องของทรัพย์สินหน่อย แต่ก็คิดว่าเป็นเหมือนกันกับตลาดที่คนพลุกพล่านทุกที่ครับ ดังนั้นหากใครจะไป เดินกันอย่าระมัดระวังนะครับ และสุดท้ายเราไปเที่ยวรอบโบถส์กันกับที่ Cathedral Square ของ Port Louis ครับ
เนื่องจากรถประจำทางที่นี่หมดไวมากครับ หมดประมาณ 5 โมงเย็น ดังนั้นเราจึงต้องรีบนั่งรถโดยสารกลับไปที่ Flic-en-Flac กันแล้ว แต่แน่นอนว่า The Night is still young ดังนั้นเราเลยต้องไปหาอะไรทำที่ Flic-en-Flac กันหน่อยครับ ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เล่นน้ำที่ชายหาดแถวที่พักในช่วงอาทิตย์กำลังจะลาลับฟ้าไปด้วย แต่ภาพที่ถ่ายมาได้นั้นกลับกลายเป็นเละไปหมด อยากจะได้ความอาร์ต ดันได้ความเบลอมาแทน เป็นการบอกให้ทราบว่าการใช้ Timelapse ในแอ๊คชั่นช็อตเวลามีแสงนั้นถือเป็นเรื่องฉลาด แต่หากเป็นตอนแสงน้อยจะกลายเป็นเรื่องพลาดในทันที
เอาล่ะครับ มาถึงวันสุดท้ายแล้ว วันนี้อเล็กซ์จะพาทุกคนไปบินเหนือน่านฟ้า Mauritius กับกิจกรรม Parasailing ในจุดที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดการเล่น Parasailing ที่สวยงามที่สุดจุดหนึ่งในโลกเลยทีเดียว =)
7 มีนาคม 2560 : Let’s Parasailing!
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อวานเราได้ซื้อทัวร์ Ile Aux Cerfs กันเอาไว้ที่การท่องเที่ยว Mauritius ใช่ไหมครับ เจ้าหน้าที่นัดให้เราไปเจอกับคนอื่นๆ ที่หน้า กทท เวลา 7:30 นาทีตอนเช้า วันนี้เลยตื่นเช้าขึ้นมาเตรียมตัว เก็บของลงกระเป๋ากันน้ำเพื่อพร้อมออกลุยไปกับทัวร์ เดินออกจากโรงแรมปุ๊ปหวั่นใจนิดหน่อยเพราะว่าฝนตกหนักเลยครับ แต่ก็เอาวะ ซื้อไปแล้วนี่หน่า ก็วิ่งตากฝนออกไปรอที่หน้าการท่องเที่ยวก็แล้วกัน
จาก Flic-en-Flac เดินทางไปท่าออกเรือที่ Trou d’Eau Douche ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียวครับ ยิ่งกับตอนเช้าที่การจราจรติดขัดแบบนี้ก็ยิ่งนาน โดย Flic-en-Flac นั้นอยู่ทางตะวันออกของประเทศ ในขณะที่ Trou d’Eau Douche นั้นอยู่ทางตะวันตกของประเทศ และจะเป็นจุดปล่อยเรือไปยังเกาะ Ile Aux Cerfs กว่ารถตู้จะมารับพวกเราก็ประมาณ 8 โมงเช้าแล้ว กว่าจะเดินทางไปถึงท่าที่ Trou d’Eau Douche ก็ปาไปสิบโมงเกือบๆ ครึ่ง จากนั้นก็ฟังบรีฟความปลอดภัยและแผนการเดินทางวันนี้กันหน่อยหนึ่งก่อนจะลงเรือไปยัง Ile Aux Cerfs ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจาก Trou d’Eau Douche ครับ
แม้ว่าตอนเช้าและตอนนั่งเรือมา Ile Aux Cerfs นั้นฟ้าจะไม่ค่อยโปร่งจนแอบกลัวว่าจะไป Parasailing ไม่ได้หรือได้ก็ไม่สวย แต่พอถึง Ile Aux Cerfs เท่านั้นล่ะครับ ความกังวลหายหมดเลย เพราะว่าแดดออกฟ้าใสให้เลยทีเดียว เห็นแบบนั้นก็ไปเสียตังค์ 3000MUR เพื่อทำ Parasailing ครับ ป่ะ ไป Parasailing กัน!
วู๊ววววว ทั้งสนุก ทั้งสวยสมชื่อการเป็นจุด Parasailing ที่สวยที่สุดในโลกจุดหนึ่งเลยครับ ไม่มีวิวเมืองให้รกหูรกตา หมู่เกาะน้อยใหญ่ เรือใบสีขาว และน้ำทะเลสีฟ้ากว้างใหญ่ไฟศาลล้วนๆ คุ้มค่า 3000 บาทมาก (ใครแค่อยาก Parasailing เฉยๆ โดยไม่ได้อยากเห็น Panoramic View ซึ่งกล้องเก็บไม่ได้แน่ๆ แต่ตาจะเก็บได้ก็เลือกแผนที่ถูกลงได้ครับ ซึ่งราคาจะอยู่ที่ 2000 MUR เล่นได้ประมาณ 3 นาที ในขณะที่ 3000MUR นั้นจะได้เล่นอยู่ประมาณ 7 – 10 นาทีครับ)
จบปุ๊ปเค้าก็ปล่อยให้เล่นน้ำต่อที่นั่นไปอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ถึงเวลาเที่ยงครึ่งโดยประมาณก็เดินทางไปดูน้ำตกกันต่อกัน น้ำตกที่นี่แปลกตรงที่มันธรรมาชาติมาก ตกลงมาในทะเลเลย เข้าใจว่าในไทยน่าจะไม่มีแบบนี้ครับ แต่เนื่องจากเรือที่ไปคนเยอะมากก็เลยไม่ได้รูปดีๆ มาเลยครับ T^T
น้ำตกก็อย่างที่เห็นนะครับ ไม่ได้ใหญ่อะไร แต่น้ำแรงมาก คนขับเรือต้องใช้สกิลสุดๆ และที่สำคัญคิดว่าหากเรือล่มจุดนั้นน่าจะอันตรายครับ ด้านล่างน่าจะน้ำวนอยู่จากแรงของน้ำตกที่ตกลงมา ถ้าเป็นคนกลัวน้ำหน่อย ไม่คิดว่าเหมาะที่จะเดินทางไปดูครับ (พลาดไปก็ไม่ได้ถือว่าพลาดอะไรมากด้วย)
เมื่อดูเสร็จก็จะเดินทางไปทานอาหารกลางวันที่เกาะเล็กๆ อีกหนึ่งเกาะครับ ก่อนจะเดินทางกลับไปที่ฝั่งและนั่งรถกลับไปยัง Flic-en-Flac ซึ่งกว่าจะถึงก็เกือบๆ จะหกโมงเย็นแล้ว กลับเข้าโรงแรมอาบน้ำและเตรียมเดินทางกลับสู่ประเทศไทยครับ
บทสรุปการท่องเที่ยว Mauritius และการถ่ายภาพด้วย GoPro Hero 5 Black Edition
Mauritius คือประเทศที่น่าสนใจมากๆ สำหรับคนที่ชอบการผจญภัยและชอบทะเลครับ ส่วนคนที่ชอบท่องเที่ยวที่เน้นความศิวิไลซ์นั้นคิดว่าที่นี่อาจจะไม่เหมาะนัก เพราะว่านอกจาก Port Louis แล้ว ที่อื่นก็ไม่ค่อยจะมีสภาพความเป็นเมืองสวยๆ ให้น่าค้นหาหรือน่าเดินท่องเที่ยวเท่าไหร่นักครับ แต่หากคุณเป็นสายผจญภัย กิจกรรมที่ที่นี่มีนั้นมันเยอะแยะมากมายเลยจริงๆ นอกจากที่ผมเองพาไปทำแล้ว ยังมีการเข้าซาฟารีสุดยักษ์อย่าง Casela ซึ่งโดยส่วนตัวเสียดายมากที่ไม่มีเวลาแล้ว เพราะในนั้นมีกิจกรรมเยอะมาก ทั้งขี่อูฐ เดินกับสิงโต (Walk With Lions นี่เดินจริงๆ นะครับ เดินไปด้วยกันเลยประมาณชั่วโมงกว่าๆ) ให้อาหารยีราฟ และอื่นๆ อีกมากมายเต็มไปหมดเลย หรือหากชอบเที่ยวทะเลก็ยังมีทะเลทางเขตเหนือที่อเล็กซ์ไม่มีโอกาสและเวลาได้ไปอีก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน Mauritius เลยด้วยอย่าง Grand Baie ครับ หรือใครชอบแนว Trekking เดินผ่า ไต่เขา Black River Gorges National Park ก็มีความสวยงามตอบรับกิจกรรมพวกนั้นให้ทำแบบครบถ้วนเลย เรียกได้ว่าหากมีโอกาสอย่าแปลนสั้นๆ แบบอเล็กซ์นะครับ เก็บไม่หมด เสียดายมาก ต้องเอาแบบต่ำๆ ก็ 7 วัน 1 สัปดาห์เต็มๆ ไปเลยเน้อ
ส่วนทางด้าน GoPro Hero 5 Black Edition นั้นต้องถือเป็นกล้องแอคชั่นแคมที่ทำให้ชีวิตของผมมีกับการเดินทางตามลำพังพาหัวใจปอนๆ ออกเดินนั้นเป็นเรื่องสนุกมากขึ้นจริงๆ นอกจากนี้โหมดต่างๆ ที่มีให้ใช้งานบน GoPro นั้นมันเอื้อให้เราสามารถสรรหาวิธีการถ่ายรูปช็อตสวยๆ ดูแปลกตาออกมาได้เยอะแยะ สร้างความสนุกสนานให้กับการถ่ายรูปขึ้นเยอะเลยจริงๆ
ที่จะอดพูดถึงไม่ได้เลยคือความกันน้ำ กันฝน ถึก ทนทายาดของเจ้า GoPro Hero 5 Black Edition ที่ทำให้อเล็กซ์สามารถตัดสินใจกระโดดลงน้ำหรือทำกิจกรรมช่วงเร็วๆ ไวๆ ได้อย่างสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกโดยยังคงได้ภาพสวยๆ มาฝากเพื่อนแบบนี้ เรียกว่าได้ข้อสรุปกับตัวเองแล้วล่ะครับว่ากับสไตล์การท่องเที่ยวอย่างอเล็กซ์นั้น GoPro ตัวนี้ตัวเดียวอยู่จริงๆ นะ