ผู้ให้บริการเช่ารถรายใหญ่ของโลก “Hertz” ได้ประกาศขายรถยนต์ไฟฟ้าที่บริษัทครอบครองประมาณ 20,000 คัน เพื่อนำเงินกลับมาซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิลแทน ด้วยเหตุผลเรื่องต้นทุนการซ่อมบำรุงที่น้อยกว่า และค่าเสื่อมราคาที่อาจจะทำให้บริษัทขาดทุนได้ถึงแปดพันล้านบาท!
สำนักข่าว CNN รายงานสถานการณ์การเคลื่อนไหวของบริษัทเช่ารถรายใหญ่ Hertz ซึ่งเป็นบริษัทที่ตัดสินใจรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการลงทุนครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยการสัมภาษณ์ผู้บริหาร Stephen Scherr ซีอีโอของ Hertz ที่ได้กล่าวถึงการตัดสินใจครั้งนี้ว่า ถึงเวลาที่ต้องลดค่าใช้จ่ายของบริษัทลง พวกเขาจะขายรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทออกไปประมาณ 20,000 คัน ซึ่งนับเป็นจำนวนประมาณหนึ่งในสามของรถ EV ทั้งหมดที่พวกเขามี เพื่อนำเงินกลับไปซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินมาเพื่อให้บริการแทน
ผู้บริหารให้เหตุผลเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ยานพาหนะระบบไฟฟ้าได้สร้างผลกระทบต่อการเงินของบริษัท Hertz อย่างชัดเจน แม้ในระหว่างการใช้งานตัวรถจะมีต้นทุนของการบำรุงรักษาที่น้อยกว่าก็ตาม แต่กลับมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเมื่อเกิดความเสียหายที่สูงกว่ารถยนต์แบบสันดาปมากถึงสองเท่า และยังมีค่าเสื่อมราคาของรถที่สูงมากไปพร้อมๆ กันด้วย
บริษัท Hertz ต้องรีบตัดสินใจขายรถของพวกเขาออกไปเพื่อใช้เป็นทุนจัดหารถใหม่ เพราะด้วยความเสื่อมของราคา EV มือสอง และราคารถรุ่นออกใหม่ในตลาดที่กำลังลดลง จะส่งผลให้มูลค่าการขายต่อของรถ EV มือสองจาก Hertz มีมูลค่าตกลงไปมากกว่าเดิม
โดยคุณ Stephen Scherr ยังกล่าวไว้อีกว่า “การลดลงของราคามาตรฐานในตลาดรถ EV ในช่วงปี 2023 ที่ยังมีรถของ Tesla เป็นหลัก ได้ทำให้มูลค่ารถของเราลดลงไปอีกเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ฉะนั้นการกอบกู้ครั้งนี้ก็ทำให้เกิดการสูญเสียของบริษัทที่มากขึ้น และเป็นภาระที่มากขึ้นอีกด้วย” ซึ่งคาดกันว่าในการดำเนินการครั้งนี้บริษัท Hertz จะขาดทุนรวมเป็นเงินประมาณ 245 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ แปดพันห้าร้อยล้านบาท คิดจากการเสื่อมราคาของรถ EV โดยเฉลี่ย ที่ประมาณคันละ 12,250 ดอลลาร์ต่อคัน
บริษัท Hertz มีจำนวนรถ EV ที่ให้บริการเช่าอยู่ประมาณ 11% ของรถทั้งหมดในบริษัท ซึ่งรถแบรนด์หลักที่ถูกนำมาใช้คือรถของบริษัท Tesla นับเป็นประมาณถึง 80% ของกองยาน EV ที่พวกเขามี และเมื่อผู้ผลิตรถยนต์ Tesla ตัดสินใจลดราคาของรถรุ่นใหม่ๆ ลงไปเพื่อต่อสู้กับแบรนด์รถเจ้าอื่นในตลาด มันจึงส่งผลให้มูลค่ารถรุ่นที่ออกมาในปีก่อนหน้านั้นของตลาดรถมือสอง มีการเสื่อมราคาลงอย่างรวดเร็วตามไปด้วยนั้นเอง
สำหรับบริษัทรถเช่าอย่าง Hertz ธุรกิจของพวกเขาจำเป็นต้องมีรายได้จากการขายรถในสภาพมือสองออกไป ซึ่งเป็นรายได้ในส่วนสำคัญด้วย ฉะนั้นค่าเสื่อมราคาที่ตกลงมากเกินไปจึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจ และเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่เข้ามาให้บริการในบริษัทของตน และอีกหนึ่งเหตุผลคือเนื่องจากเป็นบริษัทรถยนต์ EV ส่วนมากนั้นค่อนข้างที่จะใหม่ แม้แต่แบรนด์ Tesla เองก็ไม่มีอะไหล่ทดแทนให้เลือกนำมาใช้ในการซ่อมบำรุงมากนัก และยังมีช่างซ่อมที่ผ่านการฝึกอบรมมาเพื่อจัดการกับตัวรถได้อย่างชำนาญในจำนวนไม่มากด้วยเช่นกัน จึงเป็นปัจจัยทำให้การซ่อมแซมมีค่าใช้จ่ายที่สูงและยังใช้เวลานาน เป็นจุดแตกต่างที่สำคัญเมื่อเทียบกับรถใช้น้ำมันจากแบรนด์ผู้ผลิตรถที่มีใช้กันอยู่มากมายมายาวนานหลายสิบปี อย่างเช่น GM [และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ]
Hertz ได้เปิดเว็บไซด์สำหรับการขายรถใช้แล้วให้กับลูกค้าโดยตรง บนหน้าเว็บ Hertz Car Sale
ที่มา CNN