เชื่อว่าตอนนี้คงมีหลายๆท่านกำลังเล็งมือถือทั้ง 2 รุ่นที่เรากำลังจะไปพูดถึงกันในวันนี้อยู่แน่ๆเลยครับ เพราะด้วยความที่ว่าตัวหนึ่งก็มีดีเรื่องกล้อง ส่วนอีกตัวหนึ่งก็มีราคาที่ถูกจนเหลือเชื่อ งานนี้จึงไม่แปลกใจเลยที่ Huawei Mate 9 และ Xiaomi Mi 5s Plus จะได้รับความสนใจจากผู้ใช้ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งการจะตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องใดเครื่องหนึ่งมาไว้ใช้งาน แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ ดังนั้นวันนี้เราจึงได้นำข้อมูลดีๆมาฝากเพื่อนๆกัน เผื่อว่าจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของทุกท่านได้ครับ
ด้วยราคาครึ่งเดียว จะเทียบกันได้หรือไม่ ?
อย่างที่ทราบกันเลยครับว่าระหว่าง Huawei Mate 9 และ Xiaomi Mi 5s Plus นั้นมีราคาที่ห่างกันถึง 1 เท่าตัว โดย Mate 9 นั้นเปิดตัวมาที่ราคาประมาณ 26,140 บาท ส่วน Mi 5s Plus นั้นเปิดตัวมาที่ราวๆ 13,070 บาทเท่านั้น หากวัดกันจากเรื่องของราคาแล้วเชื่อว่าหลายๆท่านคงจะตัดสินใจเลือกกันได้ไม่ยากเพราะสเปคของอุปกรณ์ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็เรียกได้ว่า “พอๆกันเลย”
แต่เพื่อไม่ให้หลายๆคนต้องพลาดบางสิ่งอย่างไปจากการเลือกเรือธงที่คุ้มค่ากับเงินมากกว่า เราก็จะไปลงลึกกันในรายละเอียดกันว่าท่านจะได้หรือจะเสียอะไรไปบ้างในการตัดสินใจครั้งนี้
Huawei Mate 9 ปะทะ Xiaomi Mi 5s Plus
สำหรับ Huawei นั้นได้ประกาศเอาไว้แบบนี้เลยครับว่า “Mate 9 เป็นสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในโลก” (ในตอนนี้) ซึ่งจะพูดแบบนั้นก็คงจะไม่ผิดหรอกครับ เพราะเจ้า Mate 9 นั้นมาพร้อมกับคุณภาพแบบคับแก้วจริงๆ แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่าครึ่งอย่างเจ้า Mi 5s Plus ก็อาจจะทำให้หลายคนเริ่มไขว้เขวได้ไม่น้อยแน่ๆ ยิ่งมันมากับชิพเซ็ท Android ที่ดีที่สุดในปี 2016 ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้มันดูน่าสนใจกว่าชิพเซ็ทใน Mate 9 ที่ทาง Huawei ผลิตเอง แต่ก็ต้องไม่ลืมนะครับว่า Mi 5s Plus ไม่ได้มาพร้อมกับกล้องหลังคุณภาพที่ได้รับการการันตีโดยชื่อของ “Leica” ซึ่งในที่นี้เราก็ไม่ได้หมายความว่ากล้องหลัง Dual-camera ใน Mi 5s Plus ไม่ดีแต่อย่างใด
นอกจากเรื่องราวข้างต้นแล้ว Mate 9 ยังมีข้อดีในเรื่องของหน้าจอที่ให้มาใหญ่กว่า (0.2 นิ้ว) แต่ทั้งนี้มันก็ไม่ได้มีความคมชัดเหนือไปกว่า Mi 5s Plus นะครับ เพราะทั้งคู่มีความละเอียดอยู่ที่ 1080p และด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่าจึงไม่แปลกนักที่มันจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุมากกว่านิดหน่อยเพื่อรองรับการสูบพลังงานอันหนักหน่วงของหน้าจอ
และทั้งนี้ถึงแม้ว่า Mi 5s Plus จะมีแบตเตอรี่ความจุน้อยกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่ามันมีความอึดน้อยกว่า Mate 9 เช่นกัน เกริ่นไว้ก่อนตรงนี้เลยว่าผลทดสอบแบตเตอรี่ของ Mi 5s Plus ดูดีกว่า Mate 9 พอสมควรเลยด้วย
ไปดูกันที่บรรจุภัณฑ์ก่อน
ในกล่องของอุปกรณ์ทั้ง 2 รุ่นนี้ นอกจากตัวเครื่องสมาร์ทโฟนที่น่าหลงไหลแล้ว แน่นอนว่าจะมีการแถม Accessories และอุปกรณ์อื่นๆมาให้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นหัวชาร์จและสายที่รองรับการชาร์จเร็ว บวกกับเคส Bumper ซึ่งในจุดนี้คล้ายๆว่า Huawei จะทำคะแนนแซงหน้าไปนิดหน่อยตรงที่มีอแดปเตอร์แปลง microUSB เป็น USB-C รวมทั้งหูฟังแถมมาให้ด้วย ส่วนทาง Mi 5s Plus จะไม่มีแม้กระทั่งหูฟังมาให้ในกล่องนะครับ
ซึ่งอย่างไรก็ตามอยากบอกว่าเรื่องเคส Bumper ที่แถมมาให้ในอุปกรณ์ทั้ง 2 รุ่น อย่าไปซีเรียสเลยครับ โดยเฉพาะถ้าใครต้องการสัมผัสความรู้สึกแบบพรีเมียม ตัวบอดี้โลหะเพียวๆย่อมให้ความรู้สึกที่ดีกว่าอยู่แล้ว แต่การที่สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นมีแถมมาให้ในกล่องก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะอย่างน้อยๆคนที่ซื้อไปก็จะมีเคสไว้ใส่ป้องกันแล้วอันนึง ซึ่งเชื่อว่าคงไม่พ้นต้องซื้อมาเพิ่มอีกเป็นแน่แท้
ณ จุดนี้ การเลือกซื้อ Mi 5s Plus ก็ดูจะโอเคกว่านะครับ เพราะด้วยราคาที่ถูกกว่าครึ่ง เราก็สามารถไปหาซื้อตัวอแดปเตอร์ USB-C หรือหูฟังดีๆอย่าง Xiaomi Pistion มาไว้ใช้งานไปพร้อมกับตัวเครื่องได้สบายๆ
เรื่องของการออกแบบ
ในส่วนของการดีไซน์นั้นทาง Huawei ค่อนข้างจะภูมิใจมากทีเดียวครับกับการย่อขอบจอให้บางลงในรุ่น Mate 9 ซึ่งถ้าดูกันจริงๆแล้วมันก็มีขนาดพอๆกับ Mi 5s Plus จะแตกต่างกันที่หน้าจอของ Mate 9 ใหญ่กว่าอยู่ 0.2 นิ้วเท่านั้น อันที่จริงเราก็รู้สึกชอบในส่วนความโค้งมนบริเวณที่หนาที่สุดของ Mate 9 ด้วยนะ คือจับไปแล้วรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
และตามที่ทาง Huawei เคยนำเสนอไว้คือตัวกรอบโลหะของ Mate 9 นั้นมีขั้นตอนในการผลิตถึง 50 ขั้นตอน กินเวลาหลายชั่วโมงในการผลิตเพื่อที่จะมอบความรู้สึกสุดแสนพรีเมียมให้กับผู้ใช้ แต่ทว่าเท่าที่เราสัมผัสดูมันกลับให้ความรู้สึกที่เรียบเกินไปครับ แน่นอนว่าบางคนอาจจะรู้สึกชอบในจุดนี้ แต่เรากลับรู้สึกว่าเรียบๆแบบนี้อาจไม่เป็นผลดีเท่าไรนัก เพราะด้วยน้ำหนักตัวเครื่องรวม 2 ขีดก็ถือว่าเพียงพอแล้วล่ะครับที่มันจะทำให้เกิดอาการลื่นหลุดมือเราไปได้ง่ายๆ
ส่วนทางด้าน Xiaomi กลับมีไอเดียที่แตกต่างออกไปในเรื่องการออกแบบ โดยจะเห็นว่า Mi 5s Plus มีตัวเครื่องที่แบนทั้งด้านหน้าด้านหลัง แตกต่างจากกระจกขอบโค้ง 2.5D ใน Mate 9 ซึ่งตัวกรอบโลหะของ Mi 5s Plus จะให้ความรู้สึกดีกว่า Mate 9 ตรงผิวสัมผัสที่คล้ายๆโลหะที่ถูกขัดสีดฉวีวรรณมาอย่างดี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราสามารถจับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ได้แน่นขึ้นแต่อย่างใด
ใน Mi 5s Plus มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกใจเราเท่าไรเลยคือ เส้นเสาสัญญาณ Antenna ด้านหลังค่อนข้างจะเห็นได้ชัด ถึงจะไม่ได้ชัดจนเตะตา แต่ยังไงก็สามารถมองเห็นได้
นอกจากนี้สำหรับใครที่ชอบให้กล้องหลังไม่นูนออกมา งานนี้ทาง Xiaomi ทำได้ดีกว่าครับ เพราะทาง Mate 9 ตัวกล้องจะนูนออกมาเล็กน้อย ซึ่งก็น่าจะพอให้อภัยได้หากผู้ใช้เป็นหนึ่งในสาวกของ Leica (555+)
สุดท้ายนี้ในเรื่องของลำโพง ทาง Mate 9 จะมีลำโพง 2 ตัว ซึ่งดูไปดูมาคล้ายๆว่าทาง Huawei จะแอบลักไก่เบาๆ เพราะนับเอาลำโพงที่ใช้ฟังเวลาคุยโทรศัพท์มาเป็นลำโพงตัวที่สอง ซึ่งเสียงที่ออกมามันไม่ได้เทียบเท่ากับลำโพงจริงๆที่อยู่บริเวณด้านล่างตัวเครื่องนะครับ
นอกจากนี้เจ้า Mate 9 และ Mi 5s Plus จะมาพร้อมกับ IR Blaster บริเวณด้านบนและรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งทาง Mate 9 จะเป็นถาดแบบ Hybrid ครับ หมายความว่าจะเลือกใช้งาน 2 ซิมพร้อมกันหรือใช้ซิมเดียวคู่กับ microSD ก็ได้ ส่วน Mi 5s Plus นั้นไม่สามารถเพิ่มความจุจาก microSD ได้เลย
เรื่องของดีไซน์ต้องยอมรับว่าแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน ดังนั้นเรื่องนี้จึงอยากให้ทุกท่านตัดสินใจกันเอง ส่วนเรื่องการขยายความจุภายในด้วย microSD การ์ด แน่นอนว่าถ้าเพิ่มได้ก็น่าจะดีกว่า แต่ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าตนเองจำเป็นต้องใช้พื้นที่มากมายขนาดนั้นหรือไม่ ?
หน้าจอที่คมชัด
ตรงจุดนี้ทั้ง 2 บริษัทเลือกที่จะใช้หน้าจอ IPS LCD ครับ ถึงแม้ว่าทั้ง 2 บริษัทจะเรียกรวมๆว่า AMOLED ซึ่งตรงจุดนี้เราไม่มีอะไรให้ตำหนิเลย ทำมาดีทั้งคู่ครับ
โดยหน้าจอของทั้งคู่มีความสว่างของหน้าจอที่สูงมาก (ประมาณ 650 นิต) พร้อมกับมี Contrast ratio ที่น่าอัศจรรย์อีกด้วย (ประมาณ 1500:1) นอกจากนี้ทั้งคู่ยังสามารถปรับแสงได้ต่ำมากๆเหมาะที่จะใช้ในเวลากลางคืน (แสงจะได้ไม่แยงตาจนเกินไปเนาะ)
หากให้เราเปรียบเทียบหน้าจอของ Mate 9 และ Mi 5s Plus จริงๆ บอกเลยครับยาก!! เพราะ Mate 9 เองก็สามารถใช้งานกลางแดดจ้าได้ดีเสียเหลือเกิน ซึ่งน่าจะเป็นผลพวงมาจากค่า Contrast ที่สูง ส่วน Mi 5s Plus ก็มาพร้อมกับความแม่นเว่อร์ของสี โดยผลทดสอบอยู่ที่ deltaE 3.3 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วน Mate 9 ก็สามารถทำได้พอๆกันอยู่นะครับ แต่ต้องเปิดโหมด Warm (โทนสีอบอุ่น) แต่มันก็ยังสู้ Mi 5s Plus ไม่ได้อยู่ดีครับ
ต้องเลือก ? จริงๆแล้วการให้สีที่แม่นยำนับเป็นเรื่องสำคัญมากๆเรื่องหนึ่ง แต่หน้าจอที่สู้แสงแดดได้ดีก็ดูจะมีภาษีมากกว่านิดหน่อย เพราะแน่นอนว่าผู้ใช้ทุกระดับล้วนแล้วแต่ชอบให้หน้าจอสามารถใช้งานกลางแดดจ้าได้ จริงไหมล่ะครับ ?
ความอึดและถึกของแบตเตอรี่
ตามที่เรียนไว้ข้างต้นเลยครับว่า Mate 9 มาพร้อมแบตเตอรี่ที่มากกว่า Mi 5s Plus อยู่นิดหน่อย โดย Mate 9 จะมีแบตฯอยู่ 4,000mAh ส่วน Mi 5s Plus นั้นจะมีแบตฯอยู่ที่ 3,800mAh หากประเมินจากตัวเลขแล้วแน่นอนว่า Mate 9 จะได้เปรียบกว่าเจ้า Mi 5s Plus แต่ถ้าวัดกันเรื่องการใช้งานจริงๆผลลัพธ์ที่ได้อาจเปลี่ยนไปครับ
โดยในการทดสอบนั้นพบว่า Mi 5s Plus สามารถเอาชนะ Mate 9 ไปได้ในเรื่องความอึดของแบตเตอรี่ ด้วยการทดสอบโทรโดยใช้ 3G, การท่องเว็บไซต์และการดูวิดีโอ จะเห็นได้ว่า 2 การทดสอบแรกทั้ง 2 อุปกรณ์ทำเวลาได้ค่อนข้างสูสีกันเลยทีเดียว แต่ในส่วนของการดูวิดีโอ Mi 5s Plus สามารถเอาชนะไปได้แบบขาดลอย ใช้งานได้นานกว่าเกือบ 4 ชม.เลยล่ะครับ
พูดง่ายๆว่าถึงแม้ Mate 9 จะมาพร้อม Android 7.0 ที่มีฟีเจอร์อย่าง Doze เข้ามาช่วยจัดการการใช้พลังงานก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ Mate 9 เอาชนะ Mi 5s Plus ไปได้เลยครับในส่วนของแบตเตอรี่
ทั้งนี้ในเรื่องการชาร์จแบตฯ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนของ Xiaomi ที่มาพร้อม Quick Charge 3.0 หรือ Huawei ที่มี SuperCharge ก็สามารถชาร์จได้เร็วพอๆกัน แต่ Mi 5s Plus อาจทำได้เร็วกว่าอยู่บ้าง เพราะการจ่ายไฟอยู่ที่ 24W ส่วน Mate 9 อยู่ที่ 22.5W ครับ
ในเรื่องของแบตเตอรี่รอบนี้ยกให้ทาง Mi 5s Plus ไปเลย ถึงแบตฯจะมีความจุน้อยกว่า รวมทั้งไม่มี Doze ฟีเจอร์ของ Android 7.0 มันก็ยังสามารถแสดงศักยภาพการจัดการพลังงานได้เหนือกว่า Mate 9 อย่างเห็นได้ชัด
ซอฟท์แวร์รุ่นใหม่
ในส่วนของซอฟท์แวร์ทาง Huawei จะได้เปรียบกว่าแน่ๆครับ จากการเปิดตัว Mate 9 ออกมาพร้อมกับ Android 7.0 Nougat เลย ในขณะที่ Xiaomi ยังไม่ได้มอบขนมตังเมมาให้กับ Mi 5s Plus ตั้งแต่ในกล่อง ในเรื่องของการทำงานใครจะดีกว่ายังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆผู้ใช้ต้องพึงพอใจกับการได้รับซอฟท์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุดมาไว้ในมืออย่างแน่นอน
คราวนี้เราไปดูเรื่องของการใช้งานด้วยเลยดีกว่าครับ โดยเราจะไปดูในส่วนของ Mate 9 ก่อน จะเห็นได้ว่าหน้า Home ของอุปกรณ์จะเป็นแบบ “Magazine” ซึ่งอธิบายง่ายๆก็เหมือนกับของ iOS นั่นเองครับ เพราะไม่มีปุ่ม App Drawer มาให้ แต่ทั้งนี้ผู้ใช้ก็สามารถไปเลือกสไตล์ได้เองอีกที
นอกจากนี้ใน Mate 9 ยังอนุญาติให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอพเดียวกันได้ 2 แอพ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นการติดตั้งแอพ WhatsApp ไว้ 2 อันในเครื่อง อันนึงไว้ใช้เรื่องการทำงาน ส่วนอีกอันนึงไว้ใช้ส่วนตัวคุยกับเพื่อนและครอบครับ ประมาณนี้ครับ
เกือบลืมบอกไปว่าใน Mate 9 มีการแแสกนลายนิ้วมือที่ค่อนข้างรวดเร็วและแม่นยำเลยทีเดียว อีกทั้งมันยังใช้เพื่อล็อคแอพต่างๆได้ด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเท่าไรนัก
มาถึงในส่วนของ Xiaomi ที่ใช้ MIUI กับ Mi 5s Plus จริงๆแล้วถึงมันจะไม่ได้ครอบทับบน Android เวอร์ชั่นล่าสุดก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสู้ไม่ได้ซะทีเดียว เพราะบางฟีเจอร์ที่ให้มาก็เป็นการพัฒนาขึ้นเองโดยบริษัท ซึ่งไม่มีให้เห็นใน Android 6.0 ในเวอร์ชั่นธรรมดาๆทั่วไปนั่นเอง จะบอกว่ารัน “Android 6.0” ก็ไม่ใช่ทั้งหมดประมาณนั้นครับ
เราไปดูกันที่หน้า Home ของ Mi 5s Plus เลยครับ จะเห็นได้ว่าหน้า Home ของ Xiaomi เป็นแบบเดียวกับ iOS เลยคือไม่มี App Drawer มาให้ ซึ่งจะบอกว่าเราไม่สามารถตั้งค่าได้แบบ Mate 9 ข้างบนนะครับ กล่าวคือให้มาแบบไหนก็ต้องใช้ไปแบบนั้น นอกจากนี้มันก็จะไม่มีการ Split-screen เพื่อทำงานหลายๆงานพร้อมกันด้วย
ในส่วนของเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ Mi 5s Plus ก็สามารถทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำไม่ต่างไปจากของ Mate 9 เลยครับ จะด้อยกว่า Mate 9 นิดหน่อยตรงที่มันไม่สามารถใช้ล็อคแอพหรือไฟล์ได้ ทั้งนี้ในเรื่องการติดตั้งแอพเดียวกัน 2 อันในเครื่องก็จะสามารถทำได้นะครับ แต่ก็ต้องดูว่าทางผู้พัฒนาแอพอนุญาตไว้หรือเปล่าอีกที (Mate 9 เช่นกัน)
สำหรับซอฟท์แวร์ของ Mate 9 นั้นดูจะเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ไม่น้อย ส่วน MIUI ของ Xiaomi เองก็มีผู้ที่ชื่นชอบอยู่เช่นกัน ดังนั้นในส่วนนี้ขอให้เป็นวิจารณญาณของแต่ละท่านนะครับว่าชอบแบบไหนก็เลือกใช้ได้ตามนั้นเลย แต่ต้องไม่ลืมว่า Mi 5s Plus ราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่งนะ ^^
ประสิทธิภาพระดับเรือธง
มาถึงสิ่งที่หลายคนรอคอยกันแล้วครับกับเรื่องของประสิทธิภาพ เพราะแน่นอนว่าการเลือกสมาร์ทโฟนดีๆสักเครื่องหนึ่ง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคงหนีไม่พ้นเรื่องประสิทธิภาพ เพื่อจะได้รู้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นๆเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้หรือไม่นั่นเอง
ซึ่งในการเปรียบเทียบระหว่าง Mi 5s Plus ที่มาพร้อมกับ Snapdragon 821 (Clocked 2.34 Ghz) และ Kirin 960 ใน Mate 9 บอกได้เลยว่าต้องเป็นการปะทะกันที่ดุเดือดแน่นอน อย่างตัว SD821 ก็เป็นชิพเซ็ทตัวแรงที่ทุกคนกล่าวถึงอยู่แล้ว ทั้งนี้จะเห็นว่ามันถูกใช้กับ Google Pixel ด้วย ส่วน Kirin 960 ก็เป็นชิพรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับ GPU Mali-G71 ตัวใหม่ล่าสุดที่พัฒนาขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบใหม่ล่าสุด เรียกได้ว่ากินกันไม่ลงเลย แต่เดี๋ยวเราไปดูการทดสอบกันดีกว่าครับ
AnTuTu 6
Basemark OS 2.0
GeekBench 4 (single-core)
GeekBench 4 (multi-core)
GFX 3.0 Manhattan (onscreen)
GFX 3.1 Manhattan (onscreen)
GFX 3.1 Car scene (onscreen)
Basemark X
Basemark ES 3.1 / Metal
หูยยย !! นับว่าเป็นการปะทะกันที่สูสีจริงๆ ผลัดกันขึ้นนำกันหลายต่อหลายตลบ กินกันไม่ลงจริงๆระหว่าง SD821 และ Kirin 960 โดยผลสรุปแล้วต้องบอกว่าประสิทธิภาพของชิพเซ็ททั้ง 2 รุ่น อยู่ในระดับเดียวกันด้วยราคาของตัวเครื่องที่ต่างกัน 1 เท่าตัวก็คงจะไม่ผิดเท่าไรนักครับ
คุณภาพลำโพงและเสียง
สำหรับเรื่องของคุณภาพเสียงแล้วทาง Huawei Mate 9 สามารถทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว จากที่ได้ลองฟังดูพบว่าเสียงที่ออกมาจากลำโพงค่อนข้างชัดเจนและไม่มีการผิดเพี้ยนของเสียงให้ได้ยิน
ในส่วนของ Xiaomi Mi 5s Plus เองก็ทำได้ไม่แย่เลยนะครับ แต่จะให้ความรู้สึกแบบกลางๆมากกว่า จากการทดลองฟังรู้สึกว่าอุปกรณ์ไม่สามารถแสดงเสียงของมนุษย์ได้ดีเท่าที่ควร แต่โดยรวมแล้วก็ให้เสียงที่ชัดเจนและมีเบสเสริมมาด้วย เพียงแต่มันค่อนข้างจะเบาไปนิด
หากอ่านมาถึงตรงนี้คงพอทราบกันแล้วครับว่า Mate 9 มีคุณภาพเสียงที่ดีกว่าเจ้า Mi 5s Plus แต่ทว่าถ้านำ Mi 5s Plus ไปต่อกับอุปกรณ์ขยายเสียงอื่นๆมันกลับสามารถผลิตเสียงที่ดังกว่า Mate 9 ได้ ส่วนทาง Mate 9 จะมีจุดแข็งเรื่องของความคมชัดของเสียง โดยเฉพาะเมื่อใช้คู่กับหูฟังครับ
ถึง Mi 5s Plus จะไม่สามารถแซงหน้า Mate 9 ได้ในส่วนนี้ แต่สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องคุณภาพของเสียงมาก บอกได้เลยว่า Mi 5s Plus ไม่ได้ทำให้คุณผิดหวังหรอกครับ ยังไงก็ใช้ฟังได้อยู่แล้ว
การถ่ายภาพนิ่ง
เป็นอีกหนึ่งส่วนที่เชื่อว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนหลายๆคนให้ความสำคัญไม่น้อยเลย ซึ่งสำหรับ Mate 9 จาก Huawei แล้ว ต้องบอกเลยว่ากล้องหลังของอุปกรณ์ถือเป็นจุดขายเลยล่ะครับ โดยใน Mate 9 นั้น ทาง Huawei ได้นำแบรนด์ Leica มาใช้ภายใต้เซนเซอร์ความละเอียด 20MP (ขาวดำ) และ 12MP (สี) มีขนาดรูรับแสงที่ f/2.2 พร้อมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS
ซึ่งการทำงานของมันก็จะเป็นเช่นเดียวกับใน P9 ก่อนหน้านี้ คือการนำภาพที่ได้จากเซนเซอร์ทั้ง 2 ตัวมารวมกันเพื่อให้ได้รูปถ่ายที่มีคุณภาพสูงและมีน้อยซ์ (Noise) ไม่มากแม้จะเป็นที่ที่มีแสงน้อย
แต่เราต้องยอมรับตามตรงเลยครับว่าเรารู้สึกไม่ค่อยชอบอินเตอร์เฟซใน Mate 9 เท่าไร เพราะดูเหมือนว่าเราต้องเข้าไปงมลึกๆในหน้า Setting ของกล้อง ทำให้ค่อนข้างจะช้าและลำบากเล็กน้อย
สำหรับ Xiaomi Mi 5s Plus อุปกรณ์รุ่นนี้ก็จะมีกล้องหลังแบบคู่เช่นเดียวกัน โดยการทำงานของเซนเซอร์แต่ละตัวก็จะคล้ายกับ Mate 9 เลยครับ คือตัวหนึ่งถ่ายภาพเป็นขาวดำ ส่วนอีกตัวถ่ายภาพสี จากนั้นค่อยนำมา Process รวมกัน แต่ทว่าใน Mi 5s Plus เซนเซอร์กล้องจะมีความละเอียดอยู่ที่ 13MP และรูรับแสงกว้าง f/2.2 ทั้ง 2 ตัวเลย
หากดูจากสเปคเบื้องต้นตรงนี้หลายๆคนคงต้องมองว่า Mate 9 เหนือกว่า แต่เราจะบอกว่า Mi 5s plus ก็ไม่ได้ถ่ายภาพออกมาเลวร้ายเลยนะครับ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการการันตีจาก Leica ก็เถอะ
ทั้งนี้ในส่วนของอินเตอร์เฟซการใช้งาน เรามองว่า Xiaomi ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว คือเข้าใจง่ายและค่อนข้างสะดวกต่อการเรียกใช้งานนั่นเองครับ
เราลองไปดูตัวอย่างภาพที่ได้จาก Mate 9 ด้านล่างนี้ก่อนเลยครับ เพราะจะเห็นได้ว่าภาพที่ออกมานี้ค่อนข้างจะดูดีเลยทีเดียว เพราะนอกจากรายละเอียดของภาพจะเนียนและคมชัดแล้ว จะเห็นได้ว่าสีของภาพถ่ายค่อนข้างสมจริงเลยล่ะ
นอกจากนี้ใน Mate 9 ยังสามารถปรับรูรับแสงได้อีกด้วย ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้าง Bokeh effect ได้อย่างง่ายดาย โดยจะสามารถปรับได้ตั้งแต่ f/0.95 ถึง f/16 แต่ทว่าฟีเจอร์นี้มันจะเป็นการจำลองเท่านั้นนะครับ กล่าวคือเป็นการสร้างเอ็ฟเฟคจากซอฟท์แวร์ เช่นเดียวกับใน P9 และ iPhone 7 Plus นั่นเอง
สำหรับภาพที่ได้จาก Mi 5s Plus จะเห็นได้ว่าสวยงามไม่แพ้กันเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายละเอียดของวัตถุหรือสี ซึ่งจากที่เราลองประเมินดู ถึงมันจะไม่สามารถเทียบเท่ากล้องหลังของ Mate 9 ได้ แต่เราก็ยังรู้สึกโอเคกับผลลัพธ์ที่ออกมา
ส่วนภาพด้านล่างนี้จะเป็นตัวอย่างภาพที่ได้จาก Mate 9 และ Mi 5s Plus โดยจะเป็นการถ่ายในที่แสงน้อยครับ
ในส่วนของการเซลฟี่ Mate 9 ก็ถือเป็นอุปกรณ์ที่ทำออกมาได้น่าชื่นชมไม่เบา ด้วยกล้องหน้าความละเอียด 8MP ที่ให้ Autofocus มาด้วย บวกกับรูรับแสงขนาด f/1.9 ส่วนใน Mi 5s Plus จะเลือกใช้กล้องความละเอียด 4MP ที่มีรูรับแสง f/2.0 โดยมีพิกเซลขนาดใหญ่ 2µm ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเห็นได้จากภาพด้านล่างนี้ครับ
สำหรับผู้ใช้ทั่วไป Mate 9 เป็นตัวเลือกที่ดีมากครับหากต้องการถ่ายรูปสวยๆหรือสร้าง Bokeh effect แบบง่ายๆ ส่วน Mi 5s Plus ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่แย่เสียทีเดียว ตรงจุดนี้แล้วแต่ความพอใจของแต่ละท่านแล้วกันเนอะ ^^ แต่ถ้าถามว่าใครทำได้ดีกว่าก็คงต้องยอมรับว่าเป็น “Mate 9” ครับ
การถ่ายวิดีโอ
มาพูดกันต่อในเรื่องของการถ่ายวิดีโอครับ สำหรับสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้ ความสามารถในการถ่ายวิดีโอสูงสุดจะอยู่ที่ความละเอียด 2160 ที่ 30fps ครับ แต่ Huawei Mate 9 จะสามารถอัดวิดีโอ 60fps ได้ด้วย แต่จะมีความละเอียดที่ 1080p เท่านั้น ทั้งนี้ Mate 9 จะสามารถอัดเสียงได้ดีมากๆอีกด้วย (192Kbps vs. 96Kbps) จากการที่มีฟีเจอร์การป้องกันเสียงลมก็ยิ่งทำให้เสียงของวิดีโอมีคุณภาพทีดีขึ้นไปอี๊ก
นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า Mate 9 ถือไพ่เหนือกว่าในเรื่องของการอัดวิดีโอครับ เพราะเท่าที่เราทดสอบดู รู้สึกว่าวิดีโอความละเอียด 2160p ใน Mate 9 มีคุณภาพที่สูงกว่า แต่สำหรับใครที่ชอบอัดวิดีโอลง YouTube ความละเอียดเยอะๆแบบนี้จริงๆแล้วไม่เหมาะกับ YouTube เท่าไรครับ เพราะที่เหมาะจริงๆคือ 1080p ทั้งนี้เราขอเสริมไว้ด้วยว่าระบบป้องกันภาพในวิดีโอสั่นไหวจะทำงานที่โหมดความละเอียด 1080p เท่านั้น
สำหรับ Mi 5s Plus ตรงจุดนี้ถือเป็นจุดอ่อนเลยครับ แน่นอนว่ามันอาจจะถ่ายวิดีโอได้ดีกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆอีกหลายรุ่น แต่การแข่งขันกับ Huawei Mate 9 ในตอนนี้คงไม่ใช่สิ่งที่มันสามารถเอาชนะไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Dynamic range ที่ต่ำกว่า Mate 9 หรือเรื่องของนอยซ์ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่ แม้ว่าจะมีการตัดออกไปบ้างแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำให้สะอาดหมดจดได้ครับ
ทั้งนี้เจ้า Mi 5s Plus สามารถอัดวิดีโอที่ความละเอียด 1080p ได้ค่อนข้างดีทีเดียว แต่ทว่าเรื่องของ Dynamic range และ Noise ก็ยังคงเป็นปัญหาที่ควรเร่งแก้ไขอยู่เช่นเคย
ในส่วนของกล้องนี่บอกเลยครับว่า Mi 5s Plus นั้นสู้ทาง Mate 9 ไม่ได้จริงๆ ซึ่งจุดๆนี้น่าจะเป็นความแตกต่างที่เห็นชัดที่สุด จากการที่มันมีราคาถูกกว่า 1 เท่าตัวนั่นเอง
สรุปส่งท้าย
Xiaomi Mi 5s Plus สามารถเอาชนะ Mate 9 ได้หรือไม่ ? คงเป็นคำถามที่หลายๆคนรอฟังคำตอบอยู่ใช่ไหมล่ะครับ…
เอาเป็นว่าเราขอตอบแบบนี้แล้วกันนะครับว่า… Mi 5s Plus สามารถให้หน้าจอที่สวยสดงดงามกับคุณได้ นอกจากนี้มันยังมีแบตเตอรี่ที่อึด และมันยังสามารถมอบประสิทธิภาพระดับเรือธงให้คุณได้ใช้งานกันแบบฟินๆ แต่สำหรับส่วนอื่นๆที่เหลือแล้ว ” คุณจะได้ในสิ่งที่คุณจ่ายไป ”
ตามความคิดเห็นของเรานะครับ เรามองว่าหากใครที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่สามารถถ่ายวิดีโอได้ดีและสามารถมอบเสียงเพลงที่ไพเราะให้ได้ (ใส่/ไม่ใส่หูฟัง) บอกตรงนี้เลยว่าควักเงินลงทุนนิดนึงในการซื้อ Mate 9 ไปเลย เพราะว่าเรือธงรุ่นนี้สามารถตอบโจทย์คุณได้ดีกว่า Mi 5s Plus แน่นอน และนอกจากนี้มันยังมาพร้อมกับรายละเอียดยิบย่อยที่ดีกว่าอีกมากมาย อย่างเช่นหน้าจอที่สู้แสงแดดได้ดีกว่า หรือแม้กระทั่ง Android เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด
แต่อย่างไรก็ตามเราอยากบอกทุกคนว่าการเลือกสมาร์ทโฟนมาใช้งาน “สิ่งที่ควรคำนึงถึงที่สุดคือความต้องการของตนเองครับ” เพราะแน่นอนว่าสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในโลกก็อาจไม่ได้เหมาะกับผู้ใช้ทุกคน ดังนั้นอย่างแรกเลยให้ถามตัวเองก่อนว่าต้องการสมาร์ทโฟนมาใช้งานอะไรบ้าง เพราะนอกจากเรื่องของกล้องและเสียงแล้ว เจ้า Mi 5s Plus ก็ทำได้ดีไม่แพ้ Mate 9 เลย แต่มันกลับมาในราคาที่ถูกกว่าอย่างมหาศาล
ดังนั้นเอาเป็นว่าถ้าใครมีงบประมาณจำกัดหรือต้องการประหยัด การเลือกซื้อ Mi 5s Plus มาใช้ก็ถือเป็นคำตอบที่คุ้มค่าที่สุดเลยครับ ส่วนใครมีงบมากหน่อยและรักการถ่ายรูปหรืออัดวิดีโอ การจับจอง Mate 9 มาไว้ใช้งานก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง…