เมื่อวานนี้ Apple มีการประกาศผลประกอบการของตัวเองในไตรมาสสุดท้ายของปี 2016 ออกมาพร้อมกับที่ IDC ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับอันดับต้นๆ ของสงครามมือถือที่เป็นที่น่าจับตามองมาตลอดทุกปี โดยในครั้งนี้ Apple สามารถครองแชมป์เฉือนนำ Samsung ไปได้หากมองกันแค่ไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปี 2016 โดยมียอดจำหน่ายเครื่องสูงกว่า Samsung มาประมาณ 800,000 เครื่องด้วยกัน
ทั้งนี้หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจจากตารางที่เปิดเผยโดย IDC ข้างต้นคือยอดจำหน่ายเครื่องของ Samsung ที่ลดลง -5.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2015 ซึ่งตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าแม้ว่า Samsung Galaxy Note 7 มือถือยอดปัญหาของ Samsung อาจไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับกำไรรวมของบริษัทในรอบปีที่ผ่านมา แต่ก็ส่งผลกระทบต่อจำนวนยอดขายเครื่องของบริษัทซึ่ง Samsung เองไม่สามารถทำยอดได้ตามเป้าหมายในช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน
แต่หากมองในภาพรวมตลอดทั้งปีแล้ว แม้ว่าในไตรมาสสุดท้าย Apple จะสามารถครองตำแหน่งแชมป์จำนวนเครื่องที่ถูกจำหน่ายออกไปได้สูงสุด Samsung เองก็ยังคงตำแหน่งแชมป์ยอดจำนวนเครื่องที่จะหน่ายออกไปได้สูงสุดในปี 2016 องค์รวมตลอดทั้งปีอยู่ดี โดยสามารถจำหน่ายเครื่องไปได้สูงกว่า Apple ซึ่งตามมาเป็นอันดับสองถึง 96 ล้านเครื่องเลยทีเดียว
แต่ความน่าสนใจที่มากไปกว่านั้นคือตัวเลขจำนวนยอดขายตัวเครื่องที่เปลี่ยนแปลงไปของทั้งสองแบรนด์ ซึ่ง Apple นั้นยอดขายรวมในปี 2016 เมื่อเทียบกับปี 2015 แล้วออกมาเป็นตัวเลขติดลบถึง -7.0% ด้วยกัน ในขณะที่ Samsung นั้นเองก็ติดลบเช่นกันที่ -3.0% ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผลกระทบโดยตรงจากการระงับการขาย Galaxy Note 7 นั่นเอง ทั้งนี้ ตลาดสมาร์ทโฟนในปีที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นตลาดที่แบรนด์จีนสามารถสร้างความเติบโตได้อย่างมากมายมหาศาลทีเดียว และที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งคือ OPPO ที่เป็นแบรนด์ที่สามารถเติบโตขึ้นจากเดิมได้ถึง 132.9% และ vivo ที่ตามมาติดๆ ด้วยยอดการเติบโตขึ้นที่ 103.2% หากว่ากันที่ยอดตัวเครื่องที่จำหน่ายออกไปเลยทีเดียว ทั้งนี้ Huawei ยังคงมีความเข้มแข็งด้านจำนวนตัวเลขเครื่องที่จำหน่ายออกไปโดยเกาะกลุ่มบนไว้มาเป็นท็อป 3 ที่เข้าวิน พร้อมเป็นแบรนด์เดียวในท๊อปสามที่แสดงยอดอัตราการจำหน่ายที่เติบโตขึ้น โดยเติบโตขึ้นที่ 30.2%
รายงานยังระบุว่าการมาของแบรนด์จีนทั้งหลายนี้ รวมไปจนถึงการยกเลิกการจำหน่าย Galaxy Note 7 ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของ Samsung เองตกลงต่ำกว่า 20% เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีเลยทีเดียว