iPhone X คือมือถือเรือธงตัวล่าสุดจาก Apple ที่สร้างกระแสเป็นวงกว้างไปทั่วโลก สร้างปรากฏการณ์เครื่องขายหมดกันเป็นว่าเล่นจากทุกที่ APPDISQUS เองมีโอกาสได้ใช้และเป็นเจ้าของเครื่อง iPhone X 256GB สี Silver มาสักระยะแล้ว ได้พบความประทับใจมากมายที่คงร่ายยังไงก็ไม่หมด (ในฐานะของแฟนตัวยงของ Apple อย่างอเล็กซ์ นี่ขอประกาศไว้ตัวใหญ่ๆ ตรงนี้ก่อนเลย) แต่ทั้งนี้ iPhone X เองก็มีข้อควรระวังก่อนการซื้อที่ทุกๆ คนควรรู้ และนี่คือสิ่งที่ APPDISQUS อยากบอกก่อนการตัดสินใจสั่งจองกัน
https://www.youtube.com/watch?v=mW6hFttt_KE
Face ID จะทำให้คุณขัดใจในช่วงแรก (หนักมาก)
Face ID คือฟังก์ชั่นใหม่ที่มีบน iPhone X ที่ว่ากันลึกลงไปถึงระดับฮาร์ดแวร์เลยทีเดียวที่ทำให้ไม่มีใน iPhone ตัวอื่นๆ โดยเจ้า Face ID นี้ทาง Apple เคลมเรื่องความแม่นยำเอาไว้ที่ 1:1000000 ซึ่งมากกว่า Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือที่มีความแม่นจำ 1:50000 อยู่สูงมาก
Face ID นั้นจะใช้เทคโนโลยีการสแกน “เบ้าหน้า” ไม่ใช่การสแกนแค่ “หนังหน้า” โดยจะมีการสาดรังสี Infrared ออกไปบนหน้าของคุณประมาณ 30,000 จุดเพื่อทำการแมฟกล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณออกมาเป็นชุดรหัสตัวเลขที่จะไม่สามารถเอากลับไปจำลองกลับเป็นใบหน้าของคุณได้ต่อไป (ทั้งหมดทำบนชิปเซ็ตของ iPhone X อย่าง A11 Bionic โดยมี TrueDept Camera เป็นเครื่องมือหลักในการแมฟ และไม่มีการเก็บไว้ที่อื่นนอกจากบนเครื่องของคุณเอง) แน่นอนว่านี่คือเทคโนโลยีที่ดีมากที่ได้จากเจ้า TrueDept Camera ที่ทำให้พร้อมต่อยอดไปทำงานล้ำอนาคตได้ต่อไป เป็นผลให้เกิดลูกเล่นสนุกๆ มากมายเช่น Animoji (ซึ่งสนุกมาก) การสแกนใบหน้าเพื่อการจ่ายเงิน และที่สำคัญคือฟังก์ชั่นการป้องกันคนสอดรู้ที่เป็นอะไรที่ปังมาก เพราะเจ้า iPhone ของเราจะไม่โชว์ข้อความนอติฟิเคชั่นใดๆ ให้คนอื่นเห็นเด็ดขาดนอกจากคำว่า Notification หากคนที่เอาหน้าสองหน้าจอมือถือไม่ใช่เจ้าของเครื่อง และทันทีที่เจ้าของเครื่องเอาหน้าส่อง เจ้าคำว่า Notification เหล่านั้นก็จะเปลี่ยนรูปเป็นข้อความที่ต้องการแจ้งเตือนนั่นเอง เก๋สุดพลัง
แต่ทั้งนี้บนเรื่องดีก็ต้องมีข้อเสียกันบ้าง โดย Face ID นั้นจะสร้างความหงุดหงิดให้เกิดขึ้นระหว่างการใช้งานในช่วงแรกๆ อย่างแน่นอน เพราะเทคโนโลยีนี้ต้องอาศัยการใช้บ่อยๆ เพื่อให้ Siri ค่อยๆ จดจำใบหน้าได้แม่นยำยิ่งขึ้นจึงจะค่อยใช้งานได้แม่นมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในช่วงสองสามวันแรกที่คุณใช้งาน Face ID คุณจะพบว่ามีบ่อยครั้งที่คุณต้องส่องหน้ามากกว่า 1 รอบเพื่อการปลดล็อก หรือไม่ก็ต้องใช้การคีย์พาสโค๊ดบ่อยกว่าปกติเพื่อการเข้าใช้งาน iPhone ของคุณนั่นเอง ดังนั้นขอเตือนให้ทำใจกันไว้ก่อนตั้งแต่ต้นนะ
ใส่แว่นกันแดดไหม? เตรียมตัวปวดหัวกับการปลดล็อก iPhone X ของคุณได้เลย
เพราะการที่เจ้า Face ID อาศัยการแมพใบหน้าเราจากการยิง Infrared ออกมานี่เอง ทำให้มันมีปัญหากับแว่นกันแดดบางประเภทที่มีการเคลือบสารป้องกันรังสี Infrared เอาไว้ หนึ่งในนั้นคือเข้า Ray-Ban Aviator ที่อเล็กซ์ใช้งานอยู่ในปัจจุบันซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ใส่มันไว้ อเล็กซ์จะไม่สามารถสแกนใบหน้าด้วย Face ID เพื่อการปลดล็อกเครื่องได้เลย
ปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนมีปัญหาแพ้แสงอย่างผม ท้ายที่สุดทางแก้คือการเข้าไปตั้งค่าใน FaceID เพื่อปิดการตรวจจับความสนใจจากสายตา หรือ “Require Attention For Face ID” ไปเพื่อให้ Face ID ไม่ต้องใช้ดวงตาในการตรวจสอบว่าเรากำลังมองหน้าจออยู่จริงๆ และพร้อมสำหรับการอ่านข้อความหรือใช้งานมือถือหรือไม่ ซึ่งการปิดส่วนนี้ทำให้ Face ID ไม่ต้องตรวจจับดวงตา และอนุญาตให้เราเข้าใช้งาน iPhone X ได้แม้จะใส่แว่นกันแดดที่มีการป้องกันรังสี Infrared
แต่ทางออกของปัญหานี้กลับทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาอื่นเพิ่มเติมตามมาได้ นั่นก็คือการแอบปลดล็อก iPhone X เราในขณะที่เราหลับนั่นเอง เพราะในเมื่อเจ้า Face ID ไม่สนใจดวงตาแล้ว ต่อให้คุณกำลังหลับตา มันก็จะสแกนใบหน้าของคุณแล้วปลดล็อกได้อยู่ดีนั่นเอง
นอกจากนี้มันยังทำให้เกิดปัญหาการปลดล็อกทันทีที่เห็นใบหน้าของเราโดยไม่ได้สนใจเลยว่าเราต้องการใช้งาน iPhone X จริงหรือไม่ ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นได้ไม่บ่อย แต่ก็เห็นมีพลาดอยู่บ้างเหมือนกันทันทีที่ปิดการตรวจจับด้วยตาเมื่อมีการใช้ Face ID
อย่างไรก็ตามในต่างประเทศมีรายงานว่าหากคุณฝืนใช้งานต่อไปเรื่อยๆ แบบใส่แว่นกันแดดแล้วกดรหัสปลดล็อกเมื่อไม่สามารถสแกนใบหน้าได้ ไม่กี่วันต่อมาเจ้า iPhone X และ Siri จะเรียนรู้และเข้าใจว่านี่คือหน้าตาของคุณในยามใส่แว่นและจะอนุญาตให้ใช้งาน Face ID ได้แม้จะไม่สามารถสแกนดวงตาของคุณได้ก็ตาม ซึ่งในจุดนี้ตัวผมเองยังไม่สามารถทำได้เพราะปิด Require Attnetion For Face ID ไปตั้งแต่วันแรกที่เจอปัญหาเลยเนื่องจากเป็นคนขับรถตลอดและไม่สามารถที่จะใส่พาสโค๊ดได้ตลอดเวลาเพราะต้องละสายตาจากถนน
*จากการค้นหาอเล็กซ์พบว่าแว่นจำพวกเลนส์ Polarized นั้นจะไม่ค่อยเจอปัญหาดังกล่าวนี้ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ทุกรุ่นที่ไม่เจอ ของอเล็กซ์เองเจอปัญหากับ Ray-Ban Aviator แต่สามารถใช้กับแว่นตากันแดด Playboy ได้
การใช้ Gesture หรือท่าทางการสัมผัสแทนปุ่มเดิมๆ ที่คุ้นเคยทั้งหมด
อย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ Apple ได้คิด วิเคราะห์ แยกแยะ การใช้งาน Gesture ต่างๆ เอาไว้อย่างดีมากๆ แล้ว เพราะ Gesture เหล่านั้นสนุก คุ้นมือ และใช้งานได้ง่ายมากเมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะจนเราเริ่มปรับตัวได้ แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกๆ นั้นมันก็จะขัดๆ ใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะบางกิจกรรมที่เราเคยกดปุ่มโฮมปุ่มเดียวก็ทำให้ มาในครั้งนี้กลับต้องเปลี่ยนเป็นการรูดนิ้วแทนซึ่งมันก็จะรู้สึกขัดๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว
ดังนั้นในช่วงต้น iPhone X จะสร้างความหงุดหงิดใจให้กับคุณมากอย่างไม่ต้องสงสัยจากการตัดปุ่มโฮมที่เป็นเยี่ยงชีวิตของ iPhone รุ่นที่ผ่านๆ มาทิ้งไปแบบนี้ แต่ใครที่ถนัดใช้ปุ่มโฮมบนหน้าจอ หรือ Assistive Touch ก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะฟังก์ชั่นนั้นยังสามารถใช้งานได้เหมือนบน iPhone รุ่นอื่นๆ ต่างกันนิดตรงใช้งานได้ดีกว่ามากเพราะมีตัวเลือกให้เล่นและทำได้มากขึ้นเยอะนั่นเอง
UI ใหม่ ดีไซน์อนาคตที่ไม่มีโอกาสได้เห็นเปอร์เซ็นต์แบตเตอร์รี่ในหน้าหลัก
หากคุณเป็นคนติดการเปิดเปอร์เซ็นต์แบตเตอร์รี่ให้แสดงผลบนสเตตัสบาร์ตลอดเวลาบน iPhone รุ่นที่ผ่านๆ มาแล้วล่ะก็ บน iPhone X นั้นเราคงต้องขอแสดงความเสียใจอย่างเป็นทางการด้วย เพราะ Apple ได้ปิดฟังก์ชั่นการใช้งานแสดงผลแบตเตอร์รี่บนสเตตัสบาร์ออกเป็นที่เรียบร้อย ทำให้เราไม่สามารถมีเปอร์เซ็นต์แบตเตอร์รี่ไว้ดูได้ในทุกหน้าเหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งเหตุผลนั้นก็มาจากเนื้อที่บริเวณสเตตัสบาร์ที่น้อยลงนั่นเอง แต่หาก Apple จะมองหาหนทางการแก้ปัญหาก็คงไม่ยาก เพียงออก UI ในส่วนของการแสดงผลแบตเตอร์รี่ใหม่ก็คงแก้ปัญหาตรงนี้ได้
แต่ ณ ตอนนี้หากคุณต้องการดูเปอร์เซ็นต์คงเหลือแบตเตอร์รี่นั่น คุณจะต้องปัด Control Center ลงมาจาก “หู” ด้านขวาขอ iPhone X ซึ่งจะมีเปอร์เซ็นต์แบตเตอร์รี่แสดงผลอยู่ในส่วนนั้น หรืออีกทางก็คือการถาม Siri ไปเลยว่าตอนนี้แบตเตอร์รี่เหลือเท่าไหร่แล้ว
แต่อย่างหนึ่งที่ถือเป็นเรื่องดีคือแบตเตอร์รี่ของ iPhone X นั้นอึดมากสำหรับการใช้งานวันต่อวัน วันไหนที่ใช้งานโหดๆ หน่อยก็อยู่ได้ถึงช่วงค่ำแบบสบายๆ ส่วนวันไหนใช้งานทั่วไปก็ยาวไปได้เกินเที่ยงคืนหลังจากถอดที่ชาร์จตั้งแต่หกโมงเช้าเลยทีเดียว ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องดีที่จะช่วยลดการระแวงแบตเตอร์รี่ของเราไปได้ไม่น้อยเลย
แม้จะอธิบาย 4 ข้อด้านบนที่สร้างความขัดใจระดับหน้าสั่นไปให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่พัฒนาขึ้นบน iPhone X นั้นมันช่างดีงามสุดพลัง ซึ่งในเวลาต่อมา 4 เรื่องที่เคยน่าขัดใจนี้ บางเรื่องก็กลายมาเป็นสิ่งสุดประทับใจเมื่อค่อยๆ เข้าใจเจ้า iPhone X ในมือเรามากขึ้นจากการใช้งานอย่างต่อเนื่องต่อไป และทั้งสามเรื่องนี้ไม่ควรจะทำให้คนที่รอคอย iPhone X ต้องกังวล เพียงแค่อยากให้ทำใจเอาไว้เล็กน้อยเพื่อการรับมือเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้อเล็กซ์จะชื่นชอบ iPhone X มากขนาดไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่า iPhone 8 Plus ที่ใช้เป็นตัวหลักก่อนหน้าที่จะได้ iPhone X มานั้นก็ยังไม่มีอะไรเสียหายที่ทำให้ไม่น่าใช้เลย ตรงกันข้ามมันกลับเป็น iPhone รุ่นมีปุ่มโฮมที่ดีที่สุดและทำให้ผมหวนคิดถึงได้อยู่เสมอเลยตลอดระยะเวลาที่เปลี่ยนมาเป็น iPhone X นี้ ดังนั้นสำหรับใครที่ไม่ได้ติดใจเรื่องรูปลักษณ์ที่อาจดูโบราณไปแล้ว อเล็กซ์ว่า iPhone 8 Plus ก็คือหนึ่งในตัวเลือกที่ยังคงน่าสนใจมากจริงๆ ในสนนราคาที่ต่ำลงเยอะ
ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าและความพร้อมและความชอบของคุณเอง ดังนั้นในเมื่อคุณมีสิทธิ์เลือก ก็ขอให้เอาข้อมูลในส่วนนี้มาประกอบการตัดสินใจบ้าง และหวังว่ามันจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ แล้วรอติดตามรีวิว iPhone X จาก APPDISQUS กันได้เร็วๆ นี้เลย
- พรีวิว Apple iPhone X ทดลองใช้เครื่องจริงจาก Apple Store เซี่ยงไฮ้!
- รีวิว iPhone 8 Plus: เร็วขึ้น แรงขึ้น สวยขึ้น แต่ควรเปลี่ยนหรือไม่?
- โปรโมชั่น Apple iPhone X มาแล้ว! True ลดโหดกว่าหมื่น ส่วน dtac จัดโปรเบาๆ เริ่มที่แพ็กเกจเพียง 599 บาท