iPhone 5S เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ววันนี้พร้อมด้วยหน้าจอเรติน่าขนาด 4 นิ้วและการออกแบบและดีไซน์ในรูปแบบเดียวกับ iPhone 5 ทั้งสิ้น (ซึ่งรายหลังนี้ต่อมาถูกถอดออกจากการขายเป็นที่เรียบร้อย) แต่ถึงจะว่าอย่างนั้น ฟีเจอร์ด้านในรวมไปจนถึงสเป็กต่างๆ นั้นกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
และนอกเหนือไปจากสีสองสีที่ถือเป็นสีมาตรฐานของ iPhone อยู่แล้วอย่างขาวและดำ (อันหลังมาในชื่อใหม่ว่าสีเทาอวกาศซึ่งเปลี่ยนโทนสีไปจากเดิมเล็กน้อย) Apple ยังเปิดตัวสีใหม่อีกสี นั่นก็คือสีทองนั่นเอง และสีขาวเดิมของตนก็โดนจับมาโมโทนสีใหม่เล็กน้อยให้ดูหรูหรามาระดับยิ่งขึ้นไปอีก
แต่สิ่งที่ใหม่กว่าเดิมคือเจ้า iPhone 5S มาพร้อมกับ WiFi แบบดูอัลแบรนด์ 802.11 a/b/g/n (กอปรกับ Bluetooth 4.0 ที่มีมาตั้งแต่ iPhone 5 แล้วนั่นเอง)
และสำหรับผู้ซื้อ iPhone 5S พวกคุณจะได้รับสิทธิ์ใช้งาน iPhoto, iMovie, Pages, Numbers และ Keynote ไปแบบฟรีๆ ไม่มีเงื่อนไขเลย
ชิปเซ็ตประมวลผลและชิปเซ็ตด้านงานกราฟิกของ iPhone 5S
iPhone 5S มาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผล 64 บิตตัวแรกของโลกในวงการมือถือภายใต้ชื่อชิปเซ็ตว่า A7 ซึ่งมีตัวถ่ายโอนข้อมูลเล็กๆ อยู่มากกว่าพันล้านตัวด้วยกัน (รองรับการใช้งานทั้งแอพพลิเคชั่นที่ออกแบบมาเพื่อ 32 บิต และ 64 บิต) ซึ่งนั่นทำให้ความไวของตัวประมวลผลของ iPhone 5S นั้นไวกว่าเจ้า iPhone ตัวแรกถึง 56 เท่าเลยทีเดียว โดยเจ้าชิปประมวลผลตัวนี้จุเอาตัวถ่ายโอนข้อมูลเล็กๆ ไว้มากกว่าใน A6 ที่ใช้ใน iPhone ตัวก่อนหน้าถึงสองเท่าด้วยกันโดยมีขนาดตัวซีพียูประมวลผลเท่ากับ A6 ตัวเดิมเด๊ะๆ คือที่ 102 ตารางมิลลิเมตร นั่นเอง
แน่นอนว่า iOS7 จะรองรับการทำงานบนชิปเซ็ตประมวลผล 64 บิต และนั่นหมายความว่าทั้งไดรฟ์เวอร์และสิ่งละอันพันละน้อยต่างๆ บน iOS7 เองก็ต้องได้รับการอัพเกรดให้ใช้งานบนเคอร์เนล 64 บิตได้อย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นอาจเป็นนัยกลายๆ ว่า iOS7 บน iPhone 5S นั้นจะเป็นระบบปฏิบัติการ์ที่สมบูรณ์ รวดเร็ว และว่องไวอย่างที่วงการมือถือไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยก็เป็นได้ (ซึ่งของเก่าอย่าง iPhone 5 บน A6 ก็เร็วจนหัวแตกอยู่แล้ว)
งานด้านกราฟิกเองก็จะโดดเด้งขึ้นไปกว่าเก่าด้วยการผนวกเอา OpenGL ES 3.0 มาไว้บนชิปประมวลผลด้านกราฟิกของ iPhone 5S ซึ่ง Apple กล่าวว่าจะมีความไวกว่าตัวเก่าถึงสองเท่า และแน่นอนว่า Apple ไม่ได้กล่าวอย่างเดียว แต่ยังเล่นเกม Infinity Blade 3 ที่เผยให้เห็นอนาคตของวงการเกมบน iOS ได้อย่างชัดเจนบนชิปเซ็ต A7 และ OpenGL ES 3.0 นี้ให้ดูเพื่อเรียกน้ำลายกันก่อนอีกด้วย
แบตเตอร์รี่และตัวจับสัญญาณ LTE บน iPhone 5S
ทางด้านของแบตเตอร์รี่นั้น iPhone 5S สามารถใช้งานสนทนาได้ต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงบนความถี่ 3G และอีก 10 ชั่วโมงสำหรับการท่องอินเตอร์เน็ตบนความถี่สัญญาณ LTE ซึ่งจุดที่น่าสังเกตคือเจ้า iPhone 5S นี้สามารถใช้งานท่องอินเตอร์เน็ตบน LTE ได้ยาวนานกว่าบน 3G เสียอีก โดยบน LTE นั้นจะสามารถใช้งานท่องอินเตอร์เน็ตต่อเนื่องได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง ส่วนบน 3G นั้นจะสามารถใช้งานอินเตอร์แบบต่อเนื่อง (ไม่ใช่สนทนานะครับ) ได้ 8 ชั่วโมง เพียงแค่นี้เราก็ได้เห็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญด้านแบตเตอร์รี่บน iPhone กันแล้ว
นอกจากนี้ Apple ยังใส่ใจพอที่จะออกขายเจ้า iPhone 5S ของตัวเองบนย่านสัญญาณ LTE ที่แตกต่างกันออกไปถึง 4 ย่านด้วยกัน โดยเริ่มตั้งแต่ A1533, A1453, A1456 และ A1530 โดยคุณสามารถศึกษาข้อมูลเรื่องย่านสัญญาณ LTE เพิ่มเติมได้จากลิงก์นี้เลย http://www.apple.com/iphone/LTE
กล้องของ iPhone 5S
กล้องถ่ายรูปของ iPhone 5S ยังมาพร้อมกับความละเอียดเท่าเดิมที่ 8 ล้านพิกเซล โดยมีขนาดรูรับแสงที่ f/2.2 และมีเลนส์ 5 ชั้นด้วยกัน การถ่ายวิดีโอสามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดระดับ 1080p แต่หากต้องการถ่ายแบบสโลโมชั่น (ฟังก์ชั่นใหม่ของ iPhone 5S) จะสามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดระดับ HD 720p ทั้งนี้ Apple ยังมีการผนวกเอา Burst Mode มาไว้ในเจ้า iPhone 5S นี้ด้วย
นอกจากนี้ iPhone 5S ยังสามารถ่ายภาพพาโนราม่าระดับ 28MP ได้รูปจะค่อยๆ เก็บไปในระหว่างที่ผู้ใช้งานแพนกล้องไปในทิศทางการถ่ายรูปแบบพาโนราม่าช็อตเรื่อยๆ และอีกอย่างที่อดพูดถึงไม่ได้คือแฟลชแบบ True Tone ที่จะช่วยคุณปรับค่าสีและความเข้มข้นด้วยสมการแสงกว่า 1000 สมการด้วยกัน นั่นหมายความว่ารูปถ่ายที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องภาพเบลอเวลาถ่ายเปิดแฟลชในที่แสงน้อยอีกต่อไป
และเซ็นเซอร์กล้องตัวนี้ยังมีพื้นที่ใช้งานจริงใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก 15% และมีความละเอียดพิกเซลอยู่ที่ 1.5 ไมครอน ทำให้ไม่เจอปัญหาภาพแตกแม้ว่าจะถ่ายภาพใหญ่
และอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญคือสิ่งที่ลือกันมานานอย่างดูอัลแฟลชที่ใน iPhone 5S ตัวนี้ก็มีใส่มาให้อย่างเรียบร้อย พร้อมกับระบบป้องกันการสั่นไหวของภาพแบบอัตโนมัติด้วย
Touch ID ปุ่มโฮมฟังก์ชั่นใหม่สแกนลายนิ้วมือได้ของ iPhone 5S
Apple ยังแนะนำให้เราได้รู้จักกับเทคโนโลยีการสแกนลายนิ้วมือด้วยปุ่มโฮมของ iPhone 5S ซึ่งถือเป็นนวตกรรมใหม่ของวงการมือถืออีกหนึ่งอย่าง โดยเจ้าเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือนี้สามารถสแกนลึกลงไปได้ถึงชั้นผิวหนังล่างเลยทีเดียว และความละเอียดในการสแกนนั้นอยู่ที่ 500ppi และมีขนาดความหนาเพียงแค่ 170 ไมครอนเท่านั้นเอง
และความสมบูรณ์ในเทคโนโลยีนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดวงแหวนสีเงินรอบๆ ปุ่มโฮมที่จะทำหน้าที่ตรวจจับนิ้วมือของเราว่าอยู่ในจุดปุ่มโฮมหรือไม่ นั่นทำให้เราไม่จำเป็นต้องสั่งมือถือของเราให้สแกนเองเหมือนอย่างที่หลายๆ คนเป็นกังวลแต่อย่างใด ไอ้ที่เหนือไปกว่านั้นคือเจ้าเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือตัวนี้ยังเก๋และเก่งพอที่จะสแกนนิ้วมือของคุณได้จากทุกองศาเลยเพียงคุณวางสัมผัสลงบนปุ่มโฮมเท่านั้น และระบบนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้รองรับการใช้งานบน iOS7 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ข้อมูลลายนิ้วมือทั้งหมดจะถูกเข้ารหัสและเก็บเอาไว้อย่างแน่นหนาและปลอดภัยสูงสุดภายในคลังข้อมูลของเจ้าชิปเซ็ตอัจฉริยะตัวใหม่ที่เราพูดถึงไปข้างบนอย่าง A7 โดยคลังข้อมูลตัวนี้มีชื่อเรียกว่า Secure Enclave นั่นเอง
ระบบ Touch ID นี้จะถูกนำมาประยุคใช้กับระบบรักษษความปลอดภัยในการจับจ่ายซื้อของเดิมบน iTunes Store, App Store และ iBooks Store รวมถึงการใช้งานเพื่อล็อกการเปิดปิดหน้าจอด้วย
M7 ชิปเซ็ตอัจฉริยะตัวใหม่บน iPhone 5S เพื่อการใช้งานที่สมบูรณ์ขึ้น
iPhone 5S ยังมาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวใหม่อีกหนึ่งตัวที่ชื่อว่า M7 โดยชิปเซ็ตนี้ทำหน้าที่เป็นโปรเซสเซอร์เสริมในการตรวจจับการเคลื่อนไหวที่จะคอนคำนวนค่าความเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเสริมการทำงานของ Accelerometer และ Gyroscope นั่นเอง ประโยชน์ของมันที่จะได้ หากลองมองง่ายๆ ให้เห็นชัดๆ แล้วก็คือการนำไปประยุกต์ใช้กับการเล่นเกมที่ต้องอาศัย Motion Sensor ได้อย่างละเอียดและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ไปจนถึงแอพพลิเคชั่นที่มีประโยชน์อย่างพวกฟิตเน็ตแอพที่จะสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวและการใช้งานพลังงานของเราได้อย่างแม่นยำและถูกต้องมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ผู้พัฒนาจะสามารถเข้าถึง CoreMotion API และเรียกเอาประสิทธิภาพของ M7 ออกมาใช้งานเพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นของตนให้แหล่มเป็ดมากยิ่งขึ้นได้มากกว่าที่เราเคยสัมผัสมา โดย Apple ให้คำจำกัดความไว้ว่ามัน “เริ่ดกว่าที่มือถือทุกเครื่องเคยมีมา” แต่ถึงอย่างนั้นก็คงต้องบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่ออะไรก่อนจนกว่าจะได้สัมผัสจริงต่อไป
นอกจากนั้นชิปเซ็ต M7 ยังจะมาช่วยเรื่องการประหยัดการดูดซดพลังงานแบตเตอร์รี่ของพวกแอพพลิเคชั่นทางฝั่งฟิตเนสที่จำเป็นต้องมีการเปิดทิ้งไว้ตลอดทั้งวันเพื่อการคำนวนพลังงานร่างกายที่แม่นยำอีกด้วย
วันเปิดจำหน่ายและราคาของ iPhone 5S
The iPhone 5S release date is September 20 and you can pre-order from September 13. US pricing is set at $199 for the 16GB model, $299 for 32GB and $399 for 64GB.
iPhone 5S จะเปิดจำหน่ายในวันที่ 20 กันยายน 2556 นี้ และเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2556 โดยจะเริ่มจากในอเมริกาและกลุ่มประเทศที่จะได้ขายก่อนเป็นอันดับแรก และสำหรับราคาที่เปิดเผยออกมาแล้วในอเมริกาแบบติดสัญญา 2 ปีนั้นอยู่ที่ $199 สำหรับเครื่องรุ่น 16กิ๊ก $299 สำหรับเครื่องรุ่น 32กิ๊ก และ $399 สำหรับเครื่องรุ่น 64กิ๊ก ตามลำดับ
สำหรับราคาเครื่องแบบไม่ติดสัญญาณนั้นเปิดเผยออกมาแล้วผ่านทางหน้าเว็บ Apple Store โดยจะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ $649 (20,848 บาท) สำหรับ 16กิ๊ก $749 (24,060 บาท) สำหรับเครื่อง 32กิ๊ก และ $849 (27,272 บาท) สำหรับเครื่อง 64กิ๊ก ตามลำดับ
ทั้งนี้จากประวัติที่ผ่านมาแล้ว APPDISQUS เชื่อว่าราคาเปิดตัวจริงกับทางค่ายผู้ให้บริการในไทยเรานั้นจะสูงกว่าใน Apple Store เล็กน้อย (ถึงปานกลาง) และหากเอาข้อมูลของ iPhone 5 มาเป็นเกณฑ์แล้ว ประเทศไทยน่าจะได้นำเข้ามาจำหน่ายประมาณช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่าเร็วกว่าในหลายๆ ประเทศเล็กน้อย และอยู่นอกเหนือแพลนประกาศของ Apple เอง ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะขั้นตอนการขออนุมัตินำเข้าอุปกรณ์มือถือพกพามาจำหน่ายในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายนั่นเอง
[divider]
และนี่คือรายละเอียดของ iPhone 5S แบบละเอียดยิบที่เรานำมาฝากเพื่อนๆ กันอ่านตรงนี้ไปรับรองว่าครบทุกอย่างสำหรับ iPhone 5S อย่างแน่นอน ส่วน iPhone 5C นั้น เดี๋ยวจะมีบทความบทสรุปเจาะลึกแบบนี้ตามออกมาให้ได้อ่านกันอีกแน่ โดยเป็นคุณต้นที่จะมาสรุปให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันนะครับ รอคอยกันอีกหน่อยเดียวเท่านั้นเน้อ