Surface Pro ใหม่เป็นแล็ปท็อปที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด และแบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานที่สุด รูปลักษณ์บาง น้ำหนักเบา และทำงานได้อย่างเงียบกริบ ทั้งยังมีการพัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น ด้วยพลังแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานถึง 13.5 ชั่วโมง[1] ส่งผลให้มีสมรรถนะสูงกว่า Surface Pro 3 กว่า 2.5 เท่า
ตอบโจทย์การใช้งานเอนกประสงค์และโมบิลิตี้ ด้วยการออกแบบให้บางเบาและประณีตยิ่งขึ้น Surface Pro ไม่ใช่แค่แล็ปท็อปที่ทรงพลัง แต่ยังเป็นสตูดิโอสร้างสรรค์ผลงานแบบเคลื่อนที่ ด้วยจอสัมผัส PixelSense™ ขนาด 12.3 นิ้ว ที่รองรับการใช้งาน Surface Pen ใหม่ที่เร็วขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน และ Surface Dial[2] ที่สามารถใช้ได้ทั้งตอนเปิดและปิดหน้าจอ
ด้วยคุณสมบัติของ Surface Pen ใหม่ ซึ่งมีความแม่นยำขึ้นเป็น 2 เท่าของเวอร์ชันเดิม และยกระดับขึ้นไปอีกด้วย PixelSense Accelerator ที่ทำจากซิลิโคนพิเศษ ซึ่งทำให้การตอบสนองเร็วขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับ Surface Pro ผลก็คือการวาดเขียนที่ลื่นไหลขึ้น ทั้งยังสามารถเอียง[3] เพื่อแรเงาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้น Surface Pen ใหม่ยังสามารถใช้ได้ดีกับแอปพลิเคชันในแพลตฟอร์มทั้ง Windows 10, Microsoft Office 365 และแอปพลิเคชันใหม่ Microsoft Whiteboard นับเป็นการปลดล็อคการรังสรรค์ชิ้นงานวาดภาพรูปแบบดิจิทัลจากการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
“ด้วย Surface Pro เราได้สร้างแล็ปท็อปรูปแบบใหม่ ที่ฉีกกฎแล็ปท็อปแบบเดิมๆ ออกมา” พานอส พาเนย์ รองประธานฝ่ายองค์กร ไมโครซอฟท์ ดีไวซ์ กล่าว “การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกครั้ง นับตั้งแต่ที่เราเริ่มขยายตลาดมาเรื่อยๆ สร้างสรรค์นิยามใหม่ของสุดยอดแห่งแล็ปท็อปกับ Surface Book และทำให้แล็ปท็อปแบบคลาสสิคกลับมาสดใสอีกครั้งด้วย Surface Laptop และการเปิดตัว Surface Pro ใหม่ในครั้งนี้ จึงถือเป็นอีกครั้งที่เราพัฒนารูปแบบของแล็บท็อปให้ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการรวมความสามารถที่หลากหลายของแล็ปท็อปอันทรงพลัง และสตูดิโอสร้างผลงานแบบเคลื่อนที่ มาไว้ในอุปกรณ์ที่ทั้งบางและเบาในหนึ่งเดียว”
แล็ปท็อปที่มากความสามารถที่สุด
Surface Pro ใหม่ ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งจากภายในสู่ภายนอก เพื่อประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และมีระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องนานกว่า Surface Pro 4 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ทุกๆ ส่วนถูกปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยและประณีต ตั้งแต่ขอบที่โค้งมน ไปจนถึงกล้องบิลท์อินที่กลมกลืนไปกับตัวเครื่อง ด้วยความบางเพียง 8.5 มิลลิเมตร และน้ำหนัก ที่เริ่มต้นเพียง 0.76 กิโลกรัม (1.69 ปอนด์)[4] ทำให้ Surface Pro ใหม่นั้นเบากว่ากระเป๋าสำหรับใส่แล็ปท็อปเสียอีก พร้อมบรรจุชิปประมวลผลอินเทล® คอร์™ รุ่นที่ 7 ด้วยดีไซน์ไร้พัดลม[5] จึงทำให้การทำงานเงียบสนิท
สำหรับ Surface Pro Signature Type Cover ใหม่นั้นมีกลไกพิเศษแบบขากรรไกรคุณภาพสูงพร้อมระยะจังหวะการพิมพ์ 1.3 มิลลิเมตร ทำให้การพิมพ์รวดเร็วและแม่นยำขึ้น ส่วนแทร็กแพดที่เป็นกระจกทั้งแผ่นและรองรับการใช้งานนิ้วมือทั้ง 5 นิ้วได้นั้นยังมีไว้เพื่อการใช้งานที่แม่นยำถึงที่สุด ขณะที่คีย์บอร์ดทั้งหมดถูกหุ้มไว้ด้วยวัสดุที่ทั้งนุ่มและทนทานของ Alcantara® ทำให้มีที่รองมือซึ่งนุ่มสบายและสวยงาม
Surface Pro ใหม่ยังพร้อมรองรับเทคโนโลยี LTE Advanced ที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ เพื่อตอบสนองให้ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันและสรรค์สร้างผลงานได้ทุกที่ทุกเวลา
สตูดิโอสร้างสรรค์ผลงานแบบเคลื่อนที่
Surface Pro ใหม่นำรูปแบบการสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงผลแบบเสมือนจริง (immersive) แบบเดียวกับ Surface Studio ในรูปแบบที่สามารถพกพาไปที่ไหนก็ได้ ด้วยบานพับใหม่ที่ปรับเอนได้ถึง 165 องศา ผู้ใช้จึงสามารถใช้ Surface Pro ในโหมด Studio ได้ทันที ทำให้ได้ตำแหน่งที่เหมาะสมในการเขียนหรือวาดภาพ ขณะที่จอแสดงผล PixelSense™ ความละเอียดสูง ขนาด 12.3 นิ้ว ก็ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับ Surface Pen ปากกาดิจิทัลที่เร็วที่สุดที่เคยมีมา เพื่อมอบประสบการณ์การเขียนอันน่ามหัศจรรย์ และเมื่อนำ Surface Pen ใหม่มาใช้งานกับ Surface Pro ใหม่ จะสามารถตอบสนองเร็วขึ้นเป็น 2 เท่าจากเวอร์ชันเดิม พร้อมการตอบสนองต่อแรงกดถึง 4,096 ระดับ เพิ่มความแม่นยำยิ่งขึ้น และด้วยการทำงานแบบใหม่ของ Surface Pen ที่ปรับเอนปากกาได้ ช่วยให้การแรเงาดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น อีกประสบการณ์ที่ดึงมาจากความสำเร็จของ Surface Studio คือ Surface Dial ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานบนหน้าจอ Surface Pro ได้อย่างง่ายดาย เข้าถึง shortcut ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและทำงานได้อย่างราบรื่นขึ้น
Surface Pro ใหม่เปิดตัวในราคาเริ่มต้นที่ 799 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 27,500 บาท พร้อมทั้งเปิดให้ผู้ใช้เลือกปรับแต่งรูปแบบได้ตามความพึงพอใจ ทั้งคีย์บอร์ด Signature Type Cover, Surface Pen ใหม่ และเมาส์ Microsoft Surface Arc ที่มีสีสันให้เลือกเพิ่มขึ้น เพื่อให้เข้ากับความชอบของแต่ละบุคคล ได้แก่ สีแพลตินัม สีแดงเบอร์กันดี และสีน้ำเงินโคบอลต์
ทั้งนี้ Surface Pro ใหม่จะวางขายในวันที่ 15 มิถุนายน 2560 ใน 25 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย ออสเตรีย เบลเยียม แคนาดา จีน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮ่องกง ไอร์แลนด์ อิตาลี เกาหลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ โปรตุเกส สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยจะประกาศวันวางจำหน่ายอีกครั้งเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ Surface Pen ใหม่จะวางจำหน่ายในภายหลัง
วาดเขียนอย่างมีชีวิตชีวาด้วย Inking บน Microsoft Office 365 และ Microsoft Whiteboard ใหม่
การทำงานร่วมกันของ Surface Pro และ Surface Pen ใหม่ ทำให้ Digital Inking หรือหมึกดิจิทัลเหมือนมีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยมือของศิลปิน เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานทั่วโลก แต่ผู้ใช้ Surface Pen ไม่ได้ใช้เพื่องานวาดหรือระบายสีเท่านั้น แต่ใช้เพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการแสดงความคิดเห็นในเอกสาร เพื่อจดโน้ต หรือแม้แต่ร่างแบบบนไวท์บอร์ด เพราะเราต้องการดึงพลังแห่งการสร้างสรรค์ของ Surface Pen ให้สามารถใช้งานได้ยอดเยี่ยมบน Microsoft Office โปรแกรมที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลก
มากไปกว่านั้นฟีเจอร์ Inking ใหม่ใช้งานได้ทั้งใน Microsoft Word, Excel และ PowerPoint รวมถึงบันทึกรูปแบบการใช้ ไม่ว่าจะเป็น ลายเส้นปากกา ดินสอ หรือปากกาไฮท์ไลท์ ไว้ในรายการโปรดได้ โดยการตั้งค่าเหล่านั้นจะติดตามไปในทุกแอปพลิเคชั่นของ Office และทุกดีไวซ์ เช่นเดียวกับรองรับการเอียงและความสามารถในการแรเงาด้วย Surface Pen ใหม่ โดยผู้ใช้งาน Office 365 จะได้ทดลองความสามารถเหล่านี้เร็วๆ นี้ ซึ่งหมายถึงการเพิ่มความสามารถให้กับผู้ใช้งานประจำเชิงพาณิชย์ที่มีมากกว่า 100 ล้านคนและผู้ใช้ทั่วไปอีกราว 26 ล้านคน
การใช้ Inking ในรูปแบบอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากนี้จะทยอยออกมาให้ได้สัมผัสกันในอนาคต อาทิ การใช้งานบนแอปพลิเคชั่น Microsoft Whiteboard ซึ่งผู้ใช้สามารถวาดเขียนแบบแคนวาสบนผ้าใบดิจิทัลได้อย่างไม่จำกัดและยังรังสรรค์ผลงานไปพร้อมกับนักวาดอื่นๆ ทั่วโลกได้ในเวลาเดียวกัน และภายในปลายปีนี้ คาดว่าผู้ใช้แอป Microsoft Whiteboard จะสามารถเสนอไอเดียและโครงการต่างๆ ร่วมกันได้ผ่านอุปกรณ์ Windows 10 ทีมาพร้อมคุณสมบัติหมึกวาดเขียนหรือ Inking ได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยสมาชิก Office 365 จะได้รับสิทธิพิเศษก่อนใคร
[1] เล่นวิดีโอได้ยาวนานถึง 13.5 ชั่วโมง ทดสอบโดยไมโครซอฟต์ในเดือนเมษายน 2560 โดยใช้อุปกรณ์ก่อนการผลิตจริง พร้อม Intel Core i5, 256GB, 8 GB RAM โดยทำการทดสอบเมื่อแบตเตอรี่เต็ม โดยไม่เสียบสายชาร์จ ขณะเล่นวิดีโอ ตั้งค่าทั้งหมดเป็นตัวเลือกอัตโนมัติ ยกเว้นมีการเชื่อมต่อไวไฟ และปิดการทำงาน Auto-Brightness อายุของแบตเตอรีนั้นจะสั้นหรือยาวแตกต่างไปตามการตั้งค่า การใช้งาน และปัจจัยอื่นๆ อีก
[2] จำหน่ายแยกต่างหาก
[3] ฟังก์ชันการเอียงของ Surface Pro ปัจจุบันใช้งานได้กับ Surface Pro ใหม่เท่านั้น
[4] เวอร์ชัน Core m3
[5] เวอร์ชัน Core m3 และ Core i5