มาระลึกถึงภาพในอดีต ไปกับภาพยนตร์ไทยน่าประทับใจจากยุค 2000 ที่ทำให้คนไทย “อิน” กันไปตามๆ กับเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ด้วยการนำภาพยนตร์คุณภาพจากค่ายจีดีเอช 559 ตั้ง 26 เรื่องกลับมาโลดแล่นบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมให้ผู้ชมได้ย้อนรอยความทรงจำกับเรื่องราวสุดประทับใจได้แล้วบนเน็ตฟลิกซ์ แพลตฟอร์มที่สืบต่อชีวิตชีวาของภาพยนตร์ไทยคุณภาพ และรวบรวมภาพยนตร์ดั้งเดิมจาก “ยุคจีทีเอช” จนมาสู่ยุค “จีดีเอช 559” ในทุกๆ วันนี้ ไว้ครบครันกว่าใคร
เมื่อมองย้อนกลับไปในยุค 2000 ค่ายจีทีเอชได้สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการภาพยนตร์ไทยด้วยผลงานมากมายที่ยังคงอยู่ในใจของแฟนๆ หนังไทยจวบจนปัจจุบัน โดยภาพยนตร์ที่กล่าวได้ว่าเป็นตำนานแห่งโมเดิร์นซีนีม่าของไทย และเป็นต้นกำเนิดของค่ายจีทีเอช คือ แฟนฉัน (พ.ศ. 2546) ที่ทำให้ผู้ชมทุกรุ่นทุกวัยได้ย้อนอดีตไปสัมผัสกับ “ความรักครั้งแรก” ผ่านตัวละครรุ่นจิ๋วอย่าง “เจี๊ยบ” และ “น้อยหน่า” เพื่อนซี้ที่โตมาด้วยกัน และมีความรู้สึกให้กันและกันมากกว่าเพื่อน โดย “แฟนฉัน” ประสบความสำเร็จทั้งด้านกระแสตอบรับและรายได้อย่างท่วมท้น และกลายเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงสุดในปีนั้น ด้วยมูลค่าถึง 137 ล้านบาท
คุณเอส คมกฤษ ตรีวิมล ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องแฟนฉัน กล่าวถึงเรื่องราวความรักใสๆ ของตัวละครอันเป็นที่รักว่า “ผมเชื่อว่าคนทุกคน ณ วินาทีแรกที่สนใจเพศตรงข้าม เราอาจจะรู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดี แต่เอ๊ะ มันมีอะไรแปลกๆ หรือเปล่า เหมือนเขาไม่ใช่เพื่อน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทัช (ประทับใจ) ทุกคน ไม่ว่าคุณจะเคยฟังเพลงเก่า หรือดูละครเก่าๆ หรือไม่ก็ตาม องค์ประกอบทั้งหมดที่เราทำ นอกจากจะทำให้คนสนุกสนานแล้ว มันทำให้คนเอาตัวเองเข้าไปแทนได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ก็ตาม เพราะความรักเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้ว”
แฟนฉัน นำเสนอความผูกพันของทั้งสองตัวละครหลักได้อย่างมีเสน่ห์ ผ่านบริบทของชีวิตเด็กไทยยุค 80s ได้อย่างสมจริงทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพลงประกอบจากวงสาวสาวสาว ศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปวงแรกของเมืองไทย และการสะท้อนชีวิตของเด็กยุคนั้น ผ่านการละเล่นต่างๆ เช่น การที่เด็กผู้หญิงเล่นโดดยาง เล่นดาวพระศุกร์ ในขณะที่เด็กผู้ชายจับกลุ่มเล่นเป็นตัวละครจากเรื่องกระบี่ไร้เทียมทาน ที่ได้นักแสดงในเรื่องแต่งคอสเพลย์จากภาพยนตร์จีนสุดฮิตในการถ่ายทำฉากนี้ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงภาพจินตนาการของเด็กจริงๆ และเป็นฉากคลาสสิกที่เรียกเสียงฮาได้จากผู้ชมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะดูซ้ำกี่ครั้งก็ตาม
คุณเอสฝากถึงวัยรุ่นที่ยังอาจยังไม่เคยได้ชมภาพยนตร์เรื่องแฟนฉันว่า “ถ้าน้องๆ ดูเรื่องแฟนฉัน ก็คงจะได้ประสบการณ์ใหม่จากเหตุการณ์เก่าๆ อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น การที่เราเล่นเกมกดแล้วมีปุ่มๆ เดียว ในแง่หนึ่งก็เหมือนเราดูสารคดีย้อนยุคไปด้วยครับ”
“ในที่สุดแล้วผมว่าคนเราก็ต้องมีความรัก คุณจะเห็นเรื่องความรักของคนสองคนที่ได้เจอกัน เป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่เด็ก และรู้สึกดีที่ได้มีกันและกัน ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม คนเราก็ต้องมีความรัก และเจอคนที่ทำให้หัวใจของเราเต้นผิดปกติ เป็นประสบการณ์ที่ดีนะครับ อยากให้ดูครับ” – เอส คมกฤษ ตรีวิมล
จากเรื่องราวของความรักในวัยเด็ก สู่วัยความรักในวัยมหาวิทยาลัยกับภาพยนตร์เรื่อง เพื่อนสนิท (พ.ศ. 2548) ที่กำลังจะครบรอบ 15 ปีเร็วๆนี้ โปรเจกต์ถัดมาของคุณเอสที่เล่าถึงช่วงวัยแห่งการค้นหาตนเองได้อย่างน่าติดตาม ภาพยนตร์เปิดเรื่องด้วยการออกค้นหาตนเองของ “หมู” หรือที่เพื่อนๆเรียกว่า “ไข่ย้อย” ผู้มุ่งหน้าสู่ชีวิตใหม่บนเกาะพะงัน ในขณะเดียวกันที่บ้าน เขาคือหนุ่มเชียงรายขี้อายที่แอบหลงรักเพื่อนสนิทหน้าตาน่ารักที่ชื่อ “ดากานดา” และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปกว่า 15 ปี เนื้อหาและกลิ่นอายจาก เพื่อนสนิท ก็ยังคงสอดแทรกอยู่ในวัฒนธรรมในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนยังแสดงความคิดเห็นตามกระทู้ออนไลน์ต่างๆ ว่าตนเองยัง “อิน” กับความสัมพันธ์ของไข่ย้อยและดากานดาไม่เสื่อมคลาย
“ผมไม่คิดหรอกนะครับว่ามันจะเป็นประเด็นให้พูดถึงเยอะ แสดงว่าประเทศเราเนี่ย มีพลังแฝง มีคนแอบรักเพื่อนเยอะอยู่เหมือนกันนะครับ” คุณเอสกล่าว และด้วยการชูประเด็นของ การแอบรักใครสักคน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องเพื่อนสนิทเป็นปรากฏการณ์ของวงการบันเทิงไทย ที่สร้างชื่อและรางวัลมากมายให้กับนักแสดงนำอย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ (ไข่ย้อย) นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา (ดากานดา) เอ๋-มณีรัตน์ คำอ้วน (พยาบาลนุ้ย) รวมถึงนักแสดงผู้สร้างสีสันอย่าง โอปอล์-ปาณิสรา อารยะสกุล ที่รับบท “พี่แตน” พยาบาลสาวสุดฮา
“ในสมัยนั้น หนังรักเป็นหนังที่คนมักมองว่าจะไม่ได้รายได้ ไม่ประสบความสำเร็จในแง่การแสดงหรือรางวัล แต่อย่างน้อยเพื่อนสนิทก็ทำให้คนประทับใจและตั้งคำถามตนเอง ส่วนทั้งนักแสดงและตัวหนังเองก็ได้รางวัล ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ว่าคุณจะทำหนังประเด็นอะไรก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องที่คุณอยากเล่า ก็จะกลายเป็นหนังที่คนดูเก็บไว้ในใจ ผมว่าเพื่อนสนิทคือหนังที่ทำเช่นนั้นได้”
นอกจากสองภาพยนตร์รักปนซึ้งของคุณเอส คมกฤษแล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์จากยุคจีทีเอชที่เน็ตฟลิกซ์นำกลับมาให้ได้ประทับใจกันอีกครั้งคือ กวน มึน โฮ (พ.ศ. 2553) ผลงานแนวโรแมนติก-คอมเมดี้เรื่องแรกของผู้กำกับมือฉมัง โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล ที่สร้างชื่อจากภาพยนตร์แนวสยองขวัญอย่าง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ โดย กวน มึน โฮ ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่วัฒนธรรมเกาหลีเริ่มก้าวขึ้นสู่ความนิยมสูงสุดในสังคมไทย หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ครั้งที่คนไทยเริ่มแห่ไปเที่ยวกรุงโซลเพื่อตามรอยซีรีส์เกาหลีสุดโปรด
ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงตัวละครที่เพิ่งผิดหวังกับความรักครั้งแรกในวัยผู้ใหญ่ สู่ความรักแบบอุดมคติเหมือนในซีรีส์เกาหลี กล่าวคือ การที่ “ชายหนุ่ม” และ “หญิงสาว” พบกันโดยไม่คาดคิด และใช้ชีวิตแบบที่ตนเองอยากทำมาตลอดในช่วงเวลาสั้นๆ ที่อยู่ด้วยกันในฐานะ “เพื่อนเที่ยว” ไม่ว่าจะเป็นการเสี่ยงโชคในบ่อน หรือการเช่ารถปอร์เช่มาขับสักครั้งให้สะใจ ส่งผลให้ กวน มึน โฮ ทำรายได้ถล่มทลายรวมกว่า 125 ล้านบาท คว้าตำแหน่งแชมป์บ็อกซ์ออฟฟิศไทยประจำปีนั้นไปครอง และทำให้ประโยคโดนใจในภาพยนตร์ “ยินดีที่ไม่รู้จัก” เป็นคำพูดที่ฮิตในหมู่วัยรุ่นสมัยนั้น
“คนที่เพิ่งเจอกันไม่นาน ทำไมเราถึงกล้าแชร์ความในใจอันลึกซึ้งกับเขา? ผมเลยรู้สึกว่าอยากผลักดันไอเดียนี้ให้ยิ่งใหญ่ขึ้น เลยคิดคอนเซ็ปต์ขึ้นมาได้ว่าคนสองคนตกลงว่าจะไม่รู้จักกัน ตลอดทริปจะได้กล้าทำอะไรสุดเหวี่ยง มันก็เป็นอารมณ์โรแมนติกแบบใหม่ดีครับ การที่เน็ตฟลิกซ์จะนำกวน มึน โฮมาฉาย ผมรู้สึกดีครับที่คนจะได้ดูหนังเรามากขึ้น บางคนก็อาจจะอยากดูซ้ำครับ” คุณโต้ง-บรรจง ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องกวน มึน โฮกล่าว
นอกเหนือจาก แฟนฉัน เพื่อนสนิท และ กวน มึน โฮ แล้ว ผู้ชมยังสามารถรับชมภาพยนตร์ไทยเรื่องอื่นๆ จากค่ายจีดีเอช 559 ได้แล้ววันนี้บนเน็ตฟลิกซ์ แพลตฟอร์มที่เป็นเสมือนเป็นคลังเก็บภาพยนตร์ที่น่าประทับใจไว้ให้ดูตลอดกาล
“ผมดีใจและภูมิใจมากครับ เพราะโลกตอนนี้เป็นโลกสตรีมมิ่ง และเน็ตฟลิกซ์เป็นแพลตฟอร์มที่คนทั่วโลกดู อยากดูเมื่อไหร่ก็ดูได้ เช่น นั่งรถเมล์อยู่แล้วอยากดูฉากบอกรักก็เปิดดูได้ทันที ทำให้สิ่งที่เรารัก และสิ่งที่ทีมงานทุกคนทำมาได้อยู่ใกล้ชิดคนมากขึ้น … ที่สุดตั้งแต่ภาพยนตร์เกิดขึ้นมา” – เอส คมกฤษ ตรีวิมล