ต้องบอกเลยว่าการมาของเจ้า OnePlus 2 ได้เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนๆได้ไม่น้อยเลยครับ คือตั้งแต่ช่วงที่มีข่าวลือหรือภาพหลุดออกมาก็เริ่มมีคนให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมากแล้ว ถึงแม้ว่าภาพหลุดเหล่านั้นหรือข่าวที่ลือๆกันจะตรงบ้างไม่ตรงบ้างก็ตาม แต่ด้วยสเปคของมันนั้นนับว่าเป็นสเปคที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “Flagship Killer” (นักฆ่าเรือธง) ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะมีผู้ให้ความสนใจ แต่ทว่าการที่เราจะบอกว่าอะไรดีหรือไม่ดี เราก็จำเป็นต้องมีการพิสูจน์จริงไหมล่ะครับ ซึ่งจากที่ดูแล้วในตอนนี้เรือธงที่ดูจะเห็นภาพกันมากที่สุดคงจะไม่พ้นเจ้า Galaxy S6 ครับ ดังนั้นวันนี้เราเลยจับเอาเจ้า OnePlus 2 และ Galaxy S6 มาเปรียบเทียบกันให้เห็นกันชัดๆไปเลยว่า สรุปแล้ว OnePlus 2 จะเป็น Flagship Killer ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างจริงๆหรือไม่
OnePlus 2 VS Samsung Galaxy S6
การออกแบบ
เรื่องของการออกแบบนั้นถือเป็นเรื่องหลักๆเลยครับสำหรับทั้ง 2 อุปกรณ์ เพราะแน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกคือสิ่งแรกที่คนเราจะมองเห็น แต่ขอพูดถึง Galaxy S6 ก่อนแล้วกันนะครับ
สำหรับการมาของ Galaxy S6 หากยังจำกันได้ล่ะก็ ก่อนหน้านี้เคยมีดราม่าให้เป็นที่พูดถึงกันอยู่พักหนึ่งเลย ตรงส่วนของการออกแบบที่ยังคงหน้าตาคล้ายๆกับเครื่องในตระกูล Galaxy S อยู่ ซึ่งไม่มีอะไรให้แฟนๆต้องร้อง”ว้าว”ตรงจุดนี้เลยครับ แต่ทั้งนี้ Galaxy S6 ได้เลือกใช้โลหะในการนำมาทำเป็นตัวเครื่อง รวมทั้งมีกระจกรอบตัวเครื่องทั้งสองด้าน ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนเลยทีเดียว เพราะ Galaxy S6 ได้กลายเป็นเครื่องแรกในตระกูล Galaxy S ที่ทำจากโลหะ แต่นั่นก็นำมาซึ่งดราม่าอีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องของฝาหลังที่ไม่สามารถเปิดออกได้อีกต่อไป ถึงขั้นที่มีผู้ใช้บางรายมองว่า การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็นการก้าวถอยหลังเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกจากฝาหลังจะเปิดไม่ได้แล้ว ฟีเจอร์สำคัญๆอย่างการถอดแบตเตอรี่หรือการเพิ่มความจุก็ได้จางหายไปพร้อมกับการมาของตัวเครื่องที่เป็นโลหะอีกด้วยครับ
นอกจากนี้ในส่วนขของหน้าจอขนาด 5.1 นิ้วทำให้สมาร์ทโฟนเครื่องนี้ให้ความรู้สึกที่ไม่เล็กไปหรือไม่ใหญ่ไปเวลาใช้งานครับ เรียกว่าเป็นความพอดีคงจะไม่ผิดนัก และหากใครที่กำลังกังวลกับเรื่องกระจกรอบๆตัวเครื่องที่อาจทำให้มีแต่รอยนิ้วมือเต็มไปหมดอยู่ล่ะก็ ไม่ต้องเป็นกังวลไปครับ เพราะจากที่ได้ลองใช้งานดูแล้ว มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นแน่ๆ
คราวนี้เรามาพูดถึง OnePlus 2 กันบ้าง หลังจากที่เราดูๆไปแล้วจะเห็นได้ชัดว่า OnePlus 2 เครื่องนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าครับ หากนำมาเทียบกับตัวออริจินอลของมันนะครับ และด้วยการที่มันมาพร้อมกับความเป็นโลหะในตัว ทำให้สมาร์ทโฟนเครื่องนี้ให้ความรู้สึก”พรีเมี่ยม”กับผู้ใช้ได้ไม่น้อย อีกทั้งฝาหลังอันเป็นเอกลักษณ์ที่คล้ายกับหินทรายสีดำ ทำให้มันโดดเด่นและดูมีความแตกต่างจากสมาร์ทโฟนทั่วๆไปในตลาดครับ ถึงแม้ว่ามันจะมีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วเหมือนกับบรรพบุรุษของมันก็ตาม แต่เจ้า OnePlus 2 เครื่องนี้จะมีรอยเท้าที่เล็กกว่าแน่ๆ เพราะว่ามันถูกพัฒนาให้จับถนัดมือขึ้นนั่นเองครับ
ในส่วนของการออกแบบและจัดวางปุ่มต่างๆรอบๆตัวเครื่องนั้นถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี อย่างปุ่ม Alert Slider ที่เป็นปุ่มใหม่อยู่บริเวณด้านซ้ายของตัวเครื่องนั้นจะทำหน้าที่เป็นที่เปิด/ปิดเสียง ทำให้เราเปลี่ยนไปสู่โหมดสั่นได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีปุ่ม Back และ Recent Apps อยู่เคียงข้างกับปุ่ม Home ที่มาพร้อมกับเซนเซอร์ที่ทำให้เราสามารถปลดล็อคหน้าจอได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าหน้าจอจะดับอยู่ก็ตามครับ
และสุดท้ายในส่วนล่างของตัวเครื่องเราจะเห็นว่ามีการนำ USB Type-C มาใช้เป็นช่องเสียบสายชาร์จแล้ว ซึ่งนี่อาจจะเป็นข่าวร้ายของใครหลายๆคนที่มีสายชาร์จ microUSB อยู่เยอะๆครับ เพราะมันจะไม่สามารถใช้งานกับเครื่องนี้ได้เลย
หากจะให้สรุปเรื่องของการออกแบบ คงต้องบอกว่าทั้งคู่ถูกแบบมาอย่างดีทีเดียวครับ หากเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนๆของทั้งคู่ เพราะจะเห็นได้ว่าทั้งสองเครื่องนั้นมีการเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่พรีเมี่ยมขึ้น โดย Galaxy S6 จะรู้สึกได้เลยว่าเครื่องนี้แตกต่างจากรุ่นก่อนๆหากเปรียบเทียบกันด้วยความรู้สึกเวลาสัมผัส ถึงแม้จะต้องเสียฟีเจอร์สำคัญๆไปบางอย่าง แต่มันก็แลกมาด้วยความงามที่คุณคู่ควร ส่วน OnePlus 2 หากมองในแง่ของ Android ถือว่าเสียเปรียบที่ไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือเพิ่มความจุได้ แต่ฝาหลังของมันสามารถถอดเปลี่ยนได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเลิอกใช้ฝาหลังในสไตล์ที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด
จากที่เคยเป็นพลาสติกกันมาก่อน ถึงเวลานี้มันทั้งคู่ได้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นโลหะที่ดูหรูหราไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่า OnePlus 2 จะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ แต่ใช่ว่ามันจะจับไม่ถนัดมือซะทีเดียว การจะตัดสินใจในเรื่องของการออกแบบภายนอกดูจะไม่ใช่โจทย์ที่ง่ายเลยครับ เพราะทั้งสองเครื่องนั้นถูกออกแบบมาได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ
หน้าจอ
สำหรับ Galaxy S6 จะมาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED 5.1 นิ้ว Quad HD ซึ่งทำให้ได้ความหนาแน่นของพิกเซลสูงถึง 577 ppi และอย่างที่เราทราบกันดีว่าเทคโนโลยีหน้าจอแบบ Super AMOLED นั้นจะช่วยให้หน้าจอสามารถแสดงสีต่างๆได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งยังช่วยให้ตัวหนังสือ วิดีโอหรือเกมส์ออกมาคมชัดอีกด้วย บวกกับความลละเอียด Quad HD และความหนาแน่นของพิกเซลในหน้าจอขนาดกลาง ทำให้การแสดงผลและคุณภาพของภาพที่ได้ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน ไปจนถึงขั้นดีเยี่ยมเลยครับหากเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอืนๆ
แต่ในทางกลับกันหน้าจอ OnePlus 2 จะเป็นหน้าจอ LTPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว 1080p ซึ่งการเลือกใช้หน้าจอแบบนี้ อาจจะไม่ได้ดีเทียบเท่ากับ Galaxy S6 ครับ แต่ที่แน่ๆมันทำให้ราคาของเครื่องดูน่าครอบครองมากขึ้น ถึงแม้ว่าผู้ใช้หลายๆคนอาจจะมองว่าตัวเลือกนี้เป็นข้อด้อยของ OnePlus 2 เมื่อเทียบกับ Galaxy S6 แต่เอาจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้มีการแสดงผลที่แย่เลยนะครับ เพียงแค่มันมีความสว่างมากขึ้น บวกกับสีที่อาจจะฉูดฉาดขึ้นมานิดหน่อย เชื่อว่ามันไม่ได้ทำให้หน้าจอดูแย่แน่นอน เพราะปกติแล้วมนุษย์ปุถุชนคนเดินดินอย่างเราๆยังไม่สามารถบอกความแตกต่างได้เลยระหว่างหน้าจอแบบ Full HD และ Quad HD ดังนั้นจึงบอกได้เลยครับว่า หน้าจอของ Galaxy S6 และ OnePlus 2 มันไม่ได้ไกลกันแบบที่หลายคนคิด
ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณเป็นคนที่ดซีเรียสมากๆเรื่องสเปค OnePlus 2 อาจจะต้องตกไปในส่วนของหน้าจอ แต่ถ้ามองเรื่องของการใช้งานแล้วนั้น OnePlus 2 ไม่ได้แย่เลย เพราะมันแค่มีความอิ่มตัวของสีที่มากกว่า ซึ่งนั่นก็หมายถึงชีวิตที่มีสีสันมากกว่านะครับ ดังนั้นขอสรุปว่า OnePlus 2 มอบหน้าจอทีดีมาพร้อมกับราคาที่เหมาะสม แต่ Quad HD เป็นอะไรที่เหมาะกับการถูกเรียกเป็นเรือธงมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่า Galaxy S6 เหมาะกับคำนี้ครับ
การแสดงผล
ในส่วนของการแสดงผลดูเหมือนจะเป็นการฟาดฟันกันของ The Best เลยครับ ระหว่าง octa-core Qualcomm Snapdragon 810 และ Samsung octa-core Exynos 7420
โดยทาง OnePlus 2 จะเลือกใช้เป็น octa-core Qualcomm Snapdragon 810 ที่ Clocked ไปถึง 1.8 Ghz มาพร้อมกับ Adreno 430 GPU และ RAM 4 GB เรียกได้ว่าแรงสุดๆครับ หากจะตำหนิคงเป็นเรื่องของ Oxygen OS ที่ทำให้เกิดบั้กขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งน้อยมากๆจนถึงไม่มีเลย หลังจากที่ลองทดสอบแล้วพบว่า การเล่นเกมส์ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น รวมถึงการใช้งานในการทำงานต่างๆ หรือการสลับแอพก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเลยครับ เร็วตามที่คาดไว้
ในทางกลับกันทาง Samsung มอบความเชื่อมั่นให้กับการผลิตชิพเซทด้วยตัวเองครับ เพื่อให้ได้มาซึ่งการแสดงผลที่เหล่าผู้ใช้ต้องการ Samsung ได้เลือกใส่ octa-core Exynos 7420 ลงไปใน Galaxy S6 ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า มันทำหน้าที่ของมันได้ดีเลยทีเดียว นอกจากนี้มันยังมาพร้อมกับ RAM 4 GB ดังนั้นการใช้งาน Multitasking จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับมันแน่นอน หากกังวลเรื่องของความเร็วละก็ Galaxy S6 ก็ไม่ต่างอะไรกับซุปเปอร์คาร์ในตลาดสมาร์ทโฟนเลย เพราะมันได้ถูกตัดฟีเจอร์บางอย่างที่เคยเป็นที่กังขาเรื่องความเร็วของเครื่องก่อนหน้านี้ออกไปบ้างแล้ว หรือไม่มันอาจจะถูกซ่อนมาอย่างดีก็เป็นได้
ในส่วนของการทำงานและการแสดงผล OnePlus 2 ถือเป็นคู่แข่งชั้นยอดของเหล่าเรือธงในตลาดได้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันเลยครับ ขนาดว่าคู่แข่งเป็น Galaxy S6 ดูแล้ว OnePlus 2 ก็ไม่ได้หวั่นอะไรเลย อาจจะมีเฉียดๆกันไปบ้างในส่วนของ Oxygen OS ที่ต้องมีการแก้บั๊กนิดหน่อย แต่หากจับมาลงสนามแข่งแล้วเชื่อว่า OnePlus 2 จะเป็นเหมือนพระเอกที่ไม่ได้ร่ำรวยเท่ากับตัวร้าย ถึงมันจะไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งที่พระเอกจะชนะ แต่การได้ที่สองด้วยเวลาอันฉิวเฉียดเพียงเสี้ยววินาที เชื่อว่าฉากแบบนี้เรียกน้ำตาใครต่อใครไหลท่วมจอกันมาแล้วนักต่อนัก
ฮาร์ดแวร์
หากเราตะเรียกสมาร์ทโฟนสักเครื่องว่าเป็น Flagship Killer แล้วล่ะก็ แน่นอนครับว่ามันควรจะต้องมาพร้อมกับฟีเจอร์ทั้งหมดที่สูสีหรือดีกว่า และ OnePlus 2 ก็เป็นเครื่องหนึ่งครับที่มาพร้อมกับอะไรหลายๆอย่างภายใน อย่างแรกเลยในส่วนของตัวสแกนลายนิ้วมือที่อยู่ภายใต้ปุ่ม Home จริงๆแล้วมันทำงานได้ค่อนข้างจะดีทีเดียว แต่บางครั้งมันก็มีปัญหาเกิดขึ้นขณะที่เราพยายามกดปุ่ม Home หรือขณะที่เราจะสแกนลายนิ้วมือ แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไปเพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครับ มาในบางโอกาสเท่านั้น
อีกส่วนหนึ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือเจ้า Alert Slider หรือปุ่มที่มีไว้เปิด/ปิดเสียงแจ้งเตือนต่างๆที่เราเคยกล่าวถึงในช่วงแรกๆนั่นแหละครับ ซึ่งเจ้าฟีเจอร์นี้จริงๆแล้วเป็นฟีเจอร์ที่เหมาะมากๆกับการจัดการกับเสียงการแจ้งเตือนใน Android Lollipop ครับ หากว่าคุณไม่ใช่คนที่จะเปิดสั่นตลอดเวลาแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าฟีเจอร์นี้จะช่วยพิสูจน์ได้เลยว่ามันมีประโยชน์มากๆครับ นอกจากนี้การใช้งานมันก็ง่ายมากๆ แทบไม่ต้องมองเลย หากเราคลำไปเจอมันก็สามารถจัดการกับเสียงแจ้งเตือนต่างๆได้แล้ว แบบว่าไม่ต้องหยิบออกจากกระเป๋าเลยด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ OnePlus 2 ยังรองรับการใช้งาน 2 SIMs ถึงแม้ว่าฟีเจอร์นี้จะไม่สำคัญเท่าไรนักสำหรับบางคน แต่การต้องเดินทางบ่อยๆฟีเจอร์นี้ถือเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ได้ค่อนข้างดีทีเดียว โดยเฉพาะการเดินทางไปต่างประเทศนะครับ
USB Type-C เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมครับสำหรับการชาร์จ แต่ทว่ามันยังไม่ได้มาพร้อมกับเทคโนโลยี Fast-charging ซึ่งมันขัดกันกับ Snapdragon 810 นิดหน่อยที่มันรองรับ Quick Charging 2.0 นอกจากนี้ OnePlus 2 ยังไม่รองรับการชาร์จแบบไร้สาย ดังนั้นเก็บสายชาร์จของคุณไว้ดีๆครับ ในส่วนของแบตเตอรี่ OnePlus 2 มาพร้อมกับความจุ 3,300 mAh ทำให้สามารถใช้งานแบบเปิดหน้าจอได้ติดต่อกันนาน 5 ชม.ครับ
คราวนี้มาดูในส่วนของ Galaxy S6 กันบ้างครับ อย่างแรกเลยมันมาพร้อมกับ Wireless Charging หรือการชาร์จแบบไร้สายที่ถูก Built-in มาไว้ในเครื่องเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Fast-charging ทำให้การชาร์จแบตเต็มสามารถทำได้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ด้วยความที่มันมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 2,550 mAh นั่นอาจจะไม่เพียงพอให้ผู้ใช้อย่างเราๆ พา Galaxy S6 เดินทางไปกับเราได้ตลอดวัน
์NFC อาจจะไม่ใช่อะไรที่สำคัญที่เราต้องพูดถึงมากนัก แต่ด้วยการมาของ Samsung Pay มันจะทำให้ NFC เริ่มมีบทบาทขึ้นมาครับ ซึ่งแน่นอนว่า Galaxy S6 รองรับ NFC และที่น่าประหลาดใจอย่างมากคือ OnePlus 2 กลับไม่มี เอาเป็นว่าหากใครที่ไม่ต้องการใช้ NFC แล้วล่ะก็ใช้ OnePlus 2 ได้เลยครับ แต่ด้วยการที่ OnePlus 2 ไม่รองรับการใช้งาน NFC นั้นทำให้มันไม่สามารถรองรับการใช้จ่ายในทุกๆระบบเลยนั่นเองครับ (ในไทยตอนนี้อาจยังไม่สำคัญมากนัก) แต่หากใครที่ซื้อไว้เผื่ออนาคตล่ะก็ Galaxy S6 น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าตรงจุดนี้
ในส่วนของเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่อยู่บริเวณส่วนบนของปุ่ม Home ใน Galaxy S6 มีความเร็วพอๆกับใน OnePlus 2 ครับ หลังจากที่เราได้ทดสอบดูแล้วพบว่ามีความเร็วพอๆกันทีเดียว และอย่างที่เรารู้กันว่า Samsung ต้องการให้สมาร์ทโฟนทำอะไรได้ทุกอย่าง ดังนั้นใน Galaxy S6 เครื่องนี้จึงมาพร้อมกับเซนเซอร์ Heart rate ที่อยู่ด้านหลังตัวเครื่อง ซึ่งจะถูกใช้ในส่วนของ S Health ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่เลวเลยกับการวัดจังหวะการเต้นของหัวใจ แต่ก็ต้องบอกว่า Galaxy S6 ไม่ได้เป็นอะไรที่เหมาะกับการเป็นเครื่องมือด้านสุขภาพและฟิตเนส สำหรับใครที่ซีเรียสหรือจริงจังเรื่องฟิตเนสมากๆนครับ
สำหรับฮาร์ดแวร์นั้น จริงๆแล้วมีข้อดีข้อเสียต่างกันนะครับ อยู่ที่ผู้ใช้แล้วว่าจะชอบแบบไหน อย่างเซนเซอร์วัดระดับการเต้นหัวใจ VS ปุ่มเปิด/ปิดเสียง, ชาร์จเต็มเร็ว VS แบตความจุมากกว่า และ 2 SIMs VS NFC แต่อย่าลืมมองเรื่องราคาด้วยนะครับ
กล้อง
มาถึงจุดนี้กันแล้วครับในส่วนของกล้อง เชื่อว่าคงมีหลายๆคนที่ให้ความสำคัญตรงส่วนนี้อย่างมาก และการที่จะเป็น Flagship Killer ได้ OnePlus 2 ก็ควรที่จะต้องผ่านตรงจุดนี้ไปให้ได้ครับ
อย่างแรกเลยต้องเรียนแบบนี้ครับว่ามันไม่เหมาะที่จะเริ่มการใช้งานในส่วนของกล้องใน OnePlus 2 ด้วยแอพกล้องที่ให้มากับตัวเครื่องเลย เพราะจริงๆแล้วมันเป็นแอพ Google Camera ที่ถูกโมดิฟายมาแล้วเท่านั้น ซึ่งทำให้โหมดต่างๆหายไปบ้าง และนั่นก็ทำให้การตั้งค่าต่างๆแบบ Manual เข้ามาแทนที่ ซึ่งจริงๆแล้วเรือธงหลายๆรุ่นในปีนี้เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ Manual control มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ เรียกว่าเป็นแบบ RAW เลยน่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะนั่นจะทำให้ผู้ที่ชื่นชอบหรือจริงจังกับการถ่ายรูปได้จัดหนักกับเต็มกับกล้องในสมาร์ทโฟนได้มากที่สุดนั่นเอง
ทั้งนี้ Auto focus ใน OnePlus 2 ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน แต่ OIS กลับถูกคั่นไว้ด้วยแอพกล้องทำให้ Shutter speed ช้าลงไป ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ขัดแย้งกับการรักษาความเสถียรอย่างมาก ถึงแม้ว่าเราจะได้รับรายงานมาว่าแอพกล้องจะได้รับการอัพเดททั้งในส่วนของ Manual control และการตั้งค่าต่างๆ แต่เอาจริงๆนะครับมันจะยังไม่ได้รับการอัพเดทในวันสองวันนี้แน่นอน
ซึ่งหากจับกล้องของ Galaxy S6 มาเทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องของการรักษาความเสถียรของแสงและความละเอียดระดับ 16MP ที่ไม่ได้มีแต่ Manual control นั้น เรามองว่า Galaxy S6 นาจะดูดีกว่า ไหนจะมีโหมดต่างๆเข้ามาช่วยบวกกับเซนเซอร์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมคุณภาพของภาพถ่ายได้อย่างใจนึกเลยทีเดียวครับ พูดง่ายๆว่าภาพที่ได้มานั้นแทบไม่ต้องเอาไปผ่านแอพต่างๆในท้องตลาดก็ยังอยู่ได้สบายๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใด กล้องของ Galaxy S6 นั้นมาพร้อมกับความเร็วในการเข้าถึงเพียงไม่ถึงวินาที โดยการกปุ่ม Home 2 ครั้งติดกัน เท่านี้เหล่าช่างภาพทั้งหลายก็พร้อมจับภาพช็อตเด็ดๆได้แล้ว
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก OnePlus 2
แน่นอนครับสำหรับภาพถ่ายแล้วคุณภาพย่อมสำคัญที่สุด แต่น่าเสียดายที่ OnePlus 2 อาจทำได้ไม่ดีเท่าไรนัก จริงๆแล้วภาพที่ได้จากกล้องของ OnePlus 2 นับว่ามีความคมชัดในระดับหนึ่งเลยทีเดียวครับ แต่ดูจะเหมาะกับการโพสต์รูปในโซเชียลมีเดียต่างๆมากกว่า เพราะหากเราลองซูมเข้าไปใกล้ๆนิดเดียว เราก็จะเริ่มสังเกตุเห็นว่าภาพเริ่มแตกแล้วครับ ซึ่งแตกต่างจากภาพที่ได้จาก Galaxy S6 ที่เหมาะกับนักถ่ายภาพทั้งหลาย แต่ทั้งนี้ภาพแบบ Oversaturation ที่ได้จากกล้องของ OnePlus 2 ก็ถือเป็นจุดเด่นสำหรับใครที่มองหาความสดครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Galaxy S6
ปกติแล้วทุกๆบริษัทจะให้ความสำคัญในส่วนของ HDR อย่างมาก และ OnePlus 2 ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน แต่ในทางกลับกันมันก็ไม่สามารถต้านทานความรุนแรงของ HDR ใน Galaxy S6 ได้เลย เพราะภาพที่ได้จาก Galaxy S6 ในโหมด HDR นั้นเก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างเยอะกว่า อย่างที่เราบอกไปในข้างต้นว่าทาง OnePlus 2 มี Shutter speeds ที่ช้า..ถึงช้ามาก ดังนั้นทำให้เจ้า OIS ไม่สามารถทำงานตามหน้าที่ของมันได้ดีเท่าที่ควร การถ่ายภาพในพื้นที่ที่มีแสงน้อยจึงเป็นไปด้วยความยากลำบากกว่าปกติครับ เพราะเราต้องถือมันค้างไว้แบบนั้นสักแปปนึงก่อน ที่สำคัญหากว่าเราจับเครื่องไม่นิ่งล่ะก็ ภาพที่ได้จะมีโอกาสเบลอสูงมากๆ แตกต่างจากใน Galaxy S6 ที่สามารถถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีกว่า ถึงแม้จะไม่ใช่กล้องที่ดีที่สุด แต่มั่นใจได้เลยว่ามันไม่ยากเท่ากับการใช้ OnePlus 2
ดังนั้นตรงจุดนี้สรุปได้ว่ากล้องของ OnePlus 2 ฆ่า Galaxy S6 ไม่ตายรับประกันเลย
ซอฟท์แวร์
เดินทางกันมาจนถึงในช่วงท้ายกันแล้วในส่วนของซอฟท์แวร์ ขอเริ่มด้วย Samsung ก่อนเลยนะครับ หลังจากที่ทาง Samsung ได้เอาอะไรหลายๆอย่างที่เราเรียกว่า Bloatware ออกไป อีกทั้งแอพ Built-in ต่างๆยังสามารถเลิอกที่จะปิดการใช้งานได้ งานนี้ก็เลยกลายเป็นหมือนกับสวรรค์ของผู้ใช้เลยทีเดียวครับ เรียกได้ว่าเป็นซอฟท์แวร์ที่น่าเข้าถึงที่สุดของ Samsung เลย และด้วยการทำงานของ Lollipop เบื้องหลังและเบื้องหน้าที่สามารถปรับแต่งได้ ยิ่งทำให้มันเข้าถึงได้ง่ายกว่ารุ่นก่อนๆมากขึ้นมากทีเดียว
และพูดถึงซอฟท์แวร์ก็คงจะต้องพูดถึงฟีเจอร์อย่าง Multitasking ด้วยครับ สำหรับใครที่ต้องการทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกันฟีเจอร์อย่าง S Window นับเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์คนเหล่านี้ได้ดีที่สุด
มาพูดถึงซอฟท์แวร์ของทาง OnePlus กันบ้างดีกว่า ในส่วนของ Oxygen OS ถือเป็นซอฟท์แวร์ที่ดีในระดับหนึ่งทีเดียว เพราะมันประกอบไปด้วย Gesture ต่างๆและความสามารถในการสั่งการและเข้าถึงที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งมันยังจะมาพร้อมกับ Marshmallow หากว่าทาง Google ปล่อยออกมาแล้ว ซึ่งหากใครที่เป็นห่วงหรือกังวลเรื่องความปลอดภัยก็นับว่าเหมาะทีเดียว นอกจากนี้มันยังมีฟีเจอร์อย่าง Shelf ที่เปรียบเหมือน Homescreen เสริม ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถกำหนดแอพและคอนแทคต่างๆที่ใช้เป็นประจำไว้ที่นี่ได้นั่นเองครับ
หากเทียบกันตรงนี้ OnePlus ทำได้ไม่เลวเลยครับในส่วนของ Oxygen OS แต่ TouchWiz จาก Samsung อาจจะทำได้ดีกว่าตรงที่มันมาพร้อมกับประโยชน์ใช้สอยที่มากกว่า อีกทั้งตอนนี้ทาง Oxygen OS ยังมีปัญหาอยู่เล็กน้อยในส่วนของบั๊ก แต่เชื่อว่าหลังจากการอัพเดทแล้วบั๊กดังกล่าวน่าจะถูกแก้ไขไปในที่สุดครับ
ราคาและบทสรุป
ราคาถือเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของทุกผลิตภัฑฑ์ ซึ่ง OnePlus ทราบถึงจุดนี้ดี แต่หากเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ OnePlus 2 ถือว่ามาในราคาที่สูงกว่า แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนักโดยจะมาที่ราคา 329$ หรือประมาณ 11,000 บาท ซึ่งมันยังเป็นอะไรที่ถูกมากนะครับหากนำมาเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับ High-end อื่นๆ ซึ่งนั่นรวมถึง Galaxy S6 ด้วย นอกจากนี้ราคาของ OnePlus 2 หากนำไปเทียบกับสมาร์ทโฟน Mid-range จากค่ายอื่นๆแล้ว ก็ต้องยอมรับครับว่า OnePlus 2 กินขาดทำลายเรียบ
เรามาสรุปกันเลยดีกว่าครับ จากที่เราอธิบายไปด้านบนทั้งหมดระหว่าง OnePlus 2 และ Galaxy S6 เราคงจะพอได้เห็นภาพกันบ้างแล้วใช่ไหมครับ ถึงแม้ว่า OnePlus 2 จะมาพร้อมกับราคาที่ถูกกว่า Galaxy S6 มาก แต่การที่จะต่อกรกับเครื่องระดับเรือธงอย่าง Galaxy S6 อาจจะยังไม่ใกล้เคียงเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพของทั้ง 2 เครื่องนั้นจะพอๆกัน แต่ในส่วนของฮาร์ดแวร์และหน้าจอ ทำให้ทาง Galaxy S6 ได้ขึ้นมานำหน้าอยู่นิดหน่อย แต่พอมาจนถึงเรื่องของกล้องแล้ว OnePlus 2 ได้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเรียบร้อย ตรงนี้เรายังไม่ได้รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆที่สมาร์ทโฟนจาก Samsung มีมากกว่าอย่างพวก Fast charging, Wireless charging และประโยชน์การใช้จ่ายผ่าน NFC นะครับ
ที่มา : androidauthority