OPPO Reno13 F 5G และ Reno13 5G สมาร์ตโฟน AI Photography พร้อมฟีเจอร์ถ่ายภาพใต้น้ำ IP69 และ AI Livephoto ที่ดีที่สุดที่เคยมี
OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมซอฟท์แวร์ใหม่ล่าสุดของ OPPO ที่ภายในไม่มีแอป Fineasy และไม่มีการแนะนำแอปสินเชื่อที่ไม่ถูกต้องตามกฏหมายไทยอีกต่อไป
ทั้งสองรุ่นเป็นสมาร์ตโฟนที่มีฟีเจอร์ถ่ายภาพล้ำสมัยที่สุดด้วยระบบ AI Photography โดดเด่นมากด้วยฟีเจอร์ใหม่อย่าง "AI Livephoto" ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมและคุณภาพสูง สามารถเพิ่มความสนุกในการถ่ายภาพได้มากเลยทีเดียว พร้อมโหมดถ่ายภาพใต้น้ำที่สามารถไล่น้ำออกจากช่องลำโพงได้ด้วยตัวเอง
ภายในยังใส่เทคโนโลยีการปรับแต่งภาพผ่านความสามารถของ AI Editor และแอป AI Studio ที่ใช้ง่ายและสนุดซึ่งมีมาให้ในตัวเครื่องเรียบร้อยแล้ว
โดยในรุ่น OPPO Reno13 F 5G เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสมาร์ตโฟนราคาประหยัด แต่ยังคงได้ฟังก์ชันครบครัน ดีไซน์ขอบเหลี่ยมสุดอินเทรนด์ น้ำหนักเบา จอ AMOLED คมชัด รองรับการชาร์จไวและแบตเตอรี่ที่อึด ทนต่อการใช้งานหนัก
และสำหรับรุ่น OPPO Reno13 5G ยกระดับประสิทธิภาพด้วยชิปเซ็ตแรงกว่า รองรับงานหนัก เช่น เล่นเกม AAA ได้ไหลลื่น มีฟีเจอร์ AI ช่วยเสริมการใช้งานทั้งในด้านกล้อง การทำเอกสาร และการถ่ายภาพในสถานการณ์พิเศษ
จุดเด่นทั้งสองรุ่น คือระบบกันน้ำและฝุ่นระดับ IP69 ที่ช่วยเพิ่มความทนทาน พร้อมกล้องคุณภาพสูงที่เหมาะกับสายถ่ายภาพ รวมถึงการออกแบบที่โดดเด่นและสวยงามในลวดลาย "ปีกผีเสื้อ"
OPPO Reno13 F 5G ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปในราคาที่เข้าถึงได้ ส่วน OPPO Reno13 5G เหมาะกับผู้ที่มองหาสมาร์ตโฟนระดับกลาง-บน ที่มีฟีเจอร์และประสิทธิภาพที่เหนือกว่า
The Good
- กล้องคุณภาพสูงด้วย AI - ถ่ายภาพได้สวยทั้งกลางวันและกลางคืน
- ฟีเจอร์ AI Livephoto – เก็บภาพนิ่งพร้อมภาพเคลื่อนไหว เลือกช็อตสำคัญใน 3 วินาที มาใช้ได้ไม่จำกัด
- กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP69 – และครั้งแรกกับโหมดถ่ายภาพใต้น้ำในระดับช่วงราคานี้จาก OPPO
- AI Editor - เครื่องมือปรับแต่งภาพด้วย AI แบบจัดเต็ม แก้ภาพเบลอ, เพิ่มความคมชัด, ลบเงาสะท้อน และลบวัตถุ
- ดีไซน์สวยงาม – ลวดลายปีกผีเสื้อ น้ำหนักเบาและบาง
- จอ AMOLED คมชัด – รีเฟรชเรท 120Hz สีสันสดใส
- แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ – ใช้งานได้นาน พร้อมระบบชาร์จไว SUPERVOOC
- AI Studio ในตัว – ปรับแต่งภาพถ่ายได้ง่ายและสนุกด้วยฟีเจอร์ AI
- ส่งไฟล์ข้ามแพลตฟอร์มได้ – รองรับการแชร์ Live Photo ภาพนิ่งและวิดีโอไปยัง iPhone
The Bad
- ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. บนตัวเครื่องโดยตรง
- ไม่รองรับการใส่ microSD Card เพิ่มเติม
-
ความคุ้มค่าต่อราคา
-
ประสิทธิภาพ
-
วัสดุและการประกอบ
-
กล้องถ่ายรูป
-
ฟังก์ชันและประโยชน์ในการใช้งาน
OPPO Reno 13 5G และ Reno 13 F 5G สองสมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุดที่เปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ที่ไม่มีแอป Fineasy รวมถึงแอปสินเชื่อที่ไม่ถูกต้องตามกฏหมายของไทยใส่มาในระบบของเครื่องอีกต่อไป โดยทั้งสองรุ่นเป็นสมาร์ตโฟนที่ใช้ระบบใหม่ล่าสุดที่มีฟีเจอร์ AI ใส่เข้ามาเยอะมากๆ โดยเฉพาะในด้านการถ่ายภาพและการจัดการภาพหลังการถ่าย
ทาง OPPO ได้อัดฟีเจอร์ด้านนี้มามากที่สุด และใหม่ที่สุด และจากที่ทดลองการทำงานของมันมา ต้องบอกกันตรงนี้เลยว่าน่าสนใจและใช้ง่ายมากๆ เลยทีเดียวครับ
OPPO Reno13 Series จะมีการเปิดตัวออกมาในประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น นั้นคือ OPPO Reno13 Pro 5G และ OPPO Reno13 5G และ OPPO Reno13 F 5G แต่ในบทความนี้เราจะพูดถึงในสองรุ่นหลังเป็นหลักนะครับ มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ถูกใส่เข้ามาให้เราได้ใช้งานในสมาร์ตโฟนสองรุ่นใหม่จาก OPPO
OPPO Reno13 F 5G เป็นรุ่นที่ราคาดีที่สุด เปิดตัวออกมาราคาเริ่มต้นเพียง 12,999 บาท ได้การออกแบบตัวเครื่องใหม่ และฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ๆ ใส่เข้ามาให้เต็มเครื่องไม่ต่างจากรุ่นพี่ในซีรี่ส์ของมันมากนัก
- OPPO Reno13 F 5G รุ่นหน่วยความจำ 12GB+256GB ราคา 12,999 บาท
- OPPO Reno13 F 5G รุ่นหน่วยความจำ 12GB+512GB ราคา 14,999 บาท
OPPO Reno13 5G จะเป็นรุ่นมาตรฐานที่ยกระดับขึ้นมาอีกเล็กน้อย ได้ทั้งความสามารถเเพิ่มขึ้นในการจัดการภาพ และความแรงของชิปเซ็ตที่ทรงพลังมากขึ้น เปิดตัวมาในราคาเริ่มต้น 17,999 บาท
- OPPO Reno13 5G รุ่นหน่วยความจำ 12GB+256GB ราคา 17,999 บาท
- OPPO Reno13 5G รุ่นหน่วยความจำ 12GB+512GB ราคา 19,999 บาท
กล้องถ่ายภาพชั้นเลิศ ประสิทธิภาพสูง และการทำงานร่วมกับ AI ที่ดีที่สุดในวงการ
OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G เป็นสมาร์ตโฟนในกลุ่มสายถ่ายภาพครับ มีคุณภาพของกล้องที่สูงมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นจุดเด่นของซีรี่ส์นี้เสมอมาหลายรุ่น แต่สำหรับ OPPO Reno13 Series ที่ได้มาถึงยุคของ AI แบบเต็มตัว มันจึงไม่ได้มีดีแค่เรื่องของคุณภาพเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะนี่คือสมาร์ตโฟน “AI Photography” ที่มีการพัฒนาระบบ AI เข้ามาเสริมในด้านการถ่ายภาพและการจัดการภาพในแบบที่ต้องเรียกว่า ไอเดียดีมากๆ เลยครับ
มาดูกันในด้านสเปกของกล้องกันก่อน
OPPO Reno13 F 5G จะมาพร้อมกับกล้องหลักด้านหลัง 3 ตัว ได้แก่
- กล้องหลังตัวหลัก : 50MP; f/1.8 ติดตั้งกันสั่น OIS
- Ultra-wide angle: 8MP; f/2.2; มุมกว้าง 112 องศา
- Macro: 2MP; f/2.4
- กล้องหน้า 32 MP, f/2.4 รองรับการสแกนใบหน้าเข้าใช้งาน
OPPO Reno13 F 5G ก็จะมาพร้อมกับกล้องหลักด้านหลัง 3 ตัวเช่นกัน แต่จะมีความแตกต่างกับ OPPO Reno13 F 5G เล็กน้อย และได้อัปเกรดกล้องหน้ามาเป็นความละเอียดที่สูงกว่า
- กล้องหลังตัวหลัก : 50 MP; f/1.8 ติดตั้งกันสั่น OIS
- Ultra-wide angle: 8 MP; f/2.2; มุมกว้าง 116 องศา
- Monochrome: 2 MP; f/2.4
- กล้องหน้า 50 MP, f/2.0,
AI Livephoto ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
คุณสมบัติเด็ดของสมาร์ตโฟนสองรุ่นนี้ที่ถูกเพิ่มเข้ามาล่าสุด คือ AI Livephoto เป็นการถ่ายภาพนิ่งผสมการเคลื่อนไหว ทีถูกออกแบบใหม่ให้เป็นระบบ AI Livephoto ที่ดีที่สุดที่เคยมีมาเลยครับ
AI Livephoto คือการถ่ายภาพที่จะมีการเก็บบันทึกเป็นภาพนิ่งผสมกับวีดีโอสั้น 3 วินาที ผสมอยู่ในไฟล์ภาพเดียวกัน ทำให้เราได้ภาพนิ่งที่สามารถทัชค้างเพื่อรับชมเป็นภาพเคลื่อนไหวได้
แต่ข้อดีของ AI Livephoto ใน OPPO Reno13 Series ที่มันพิเศษกว่านั้น ก็คือการที่เราสามารถกลับมาเลือกภาพที่ต้องการจากช่วง 3 วินาทีที่ถ่ายไปได้ใหม่แบบไม่มีจำกัด เลือกเซฟภาพจากแต่ละเฟรมที่ถ่ายไปขึ้นมาแทนภาพเดิม หรือจะเซฟแยกออกมาเป็นภาพใหม่ก็ได้เช่นกัน ลองคิดดูว่า 3 วินาทีที่นางแบบมีการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะ หรือสะบัดผมสักหนึ่งครั้ง เราจะสามารถสร้างภาพจาก AI Livephoto ของ OPPO Reno13 Series กันได้มากขนาดไหน
อีกข้อพิเศษของ AI Livephoto ของ OPPO Reno 13 Series ก็คือมันรองรับการใช้งานได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง แค่กดเปิดก่อนเมื่อต้องการใช้งานที่ไอคอนด้านบนเท่านั้นเอง
หลังจากนั้นแค่กดถ่าย ถ่ายได้ทุกจังหวะ จะกดรัวหรือกดเว้นระยะห่าง เรียกได้ว่าจะกดถ่ายในแบบใดก็ตาม เราจะได้โมเมนต์ของภาพที่สามารถเซฟออกมาได้ไม่อั้น กลับมาเลือกใหม่ได้ตลอดจากใน 3 วินาทีที่ถ่ายไปได้ ทำให้สามารถเก็บซีนที่สำคัญที่สุดในขณะนั้นๆ ได้ง่ายมากครับ
และที่สำคัญคือทุกภาพ ทุกซีน และทุกเฟรมที่เราเลือก มีความคมชัดสูงมาก ด้วยอัลกอริทึม AI และเทคโนโลยี Pro XDR ของ OPPO ทำให้ทุกภาพที่เซฟออกมาอยู่ในระดับเดียวกับภาพถ่ายปกติทุกประการ ภาพดูมีชีวิตชีวา มีความสดใส มีรายละเอียดที่ดี ในทุกๆ ซีนที่เราจะเลือกนำมาใช้เลยครับ
นี่เป็นโลกที่ระบบถ่ายภาพแบบปกติปัจจุบันทำให้กับเราไม่ได้ครับ หมดปัญหาภาพนางแบบหลับตา หรือแอคติ้งที่ยังไม่ลงตัว เพราะเราสามารถเลือกจังหวะที่รอยยิ้มกำลังน่ารักที่สุด องค์ประกอบของภาพที่ลงตัวมากที่สุด เหมือนเป็นการหยุดโลกไว้ในช่วง 3 วินาทีให้เราเลือกภาพใดก็ได้จากในนั้นมาใช้งาน
AI LIvephoto อาจจะเรียกได้ว่า เป็นเทคนิคภาพนิ่งที่มีการเคลื่อนไหวเหมือนวีดีโอ แต่คมชัดเหนือการถ่ายวีดีโอ ออกแบบให้กลับมาเลือกภาพใหม่ได้เสมอแบบไม่มีจำกัด ทุกโมเมนต์จึงได้มาครบหมดจากการถ่ายเพียงแค่ช็อตเดียว!
และด้วยการที่มันผสมภาพเคลื่อนไหว เราจึงสามารถนำภาพ AI Livephoto ทำออกมาเป็นไฟล์วิดีโอได้จริงๆ ด้วยนะครับ
และถ้าเป็นตัว Reno13 5G จะสามารถนำออกมาเป็นไฟล์ GIF แบบนี้ก็ได้เช่นกัน ^^
และที่สำคัญ นี่คือสมาร์ตโฟน Android เพียงซีรี่ส์เดียวในวงการ ที่สามารถรองรับการแชร์ Live Photo แบบข้ามแพลตฟอร์มเพื่อนำไปแสดงบนอุปกรณ์ iOS ได้ด้วย และทำงานได้เหมือนภาพ Live Photo ที่ถ่ายด้วยอุปกรณ์ iPhone ทุกอย่าง ใช้งานในแบบเดียวกันได้ทั้งหมดครับ
กดเแชะเดียว ทำได้มากมายขนาดนี้ ผมบอกเลยว่า ระบบ AI Livephoto จะเปลี่ยนวิธีการถ่ายภาพแบบเดิมๆ สำหรับผู้ที่มี OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ไปอย่างแน่นอนครับ
และโหมดใหม่สำหรับการถ่ายภาพ “ใต้น้ำ” ด้วยคุณสมบัติการกันน้ำกันฝุ่นในระดับ IP69 สามารถทนทานต่อน้ำจากเครื่องฉีดแรงดันสูงได้ทุกทิศทาง สามารถอยู่ใต้น้ำได้นาน 30 นาทีในระดับความลึก 2 เมตร ทำให้มันมีคุณสมบัติการถ่ายภาพใต้น้ำได้แบบกล้อง Go Pro โดยที่ไม่ต้องใส่เคสกันน้ำเลยครับ
โดยในโหมดใต้น้ำเราจะสามารถควบคุมการถ่ายภาพและวิดีโอได้จากปุ่มกดด้านข้างเครื่อง (ปุ่มปรับระดับเสียง +/- และปุ่มพาวเวอร์) โดยสามารถกดบันทึกวิดีโอไปแล้ว ก็ยังสามารถกดถ่ายภาพไปได้พร้อมกันด้วย
และที่ออกแบบมาเป็นพิเศษคือเมื่อเสร็จสิ้นการถ่ายในโหมดใต้น้ำ กดปุ่มพาวเวอร์เพื่อยกเลิกโหมดค้างไว้ 3 วินาทีเพื่อออก และตัวโทรศัพท์จะเข้าสู่ขั้นตอนการไล่น้ำออกจากช่องลำโพงให้เองอัตโนมัติ ด้วยวิธิการส่งเสียงและสั่นในความถี่สำหรับการเป่าน้ำให้ออกจากช่องลำโพง เป็นสิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาในซีรี่ส์นี้ด้วยเช่นกัน
OPPO ได้ทำโหมดนี้มาเพื่อถ่ายใต้น้ำโดยเฉพาะ ทำให้เราได้ภาพในน้ำที่ยังมีความสดใสของภาพ ไม่ขุ่นมัวลงไปมากเพราะการหักเหแสงจากน้ำ โฟกัสยังคม ภาพยังดูสวยสดใส ใช้ไปถ่ายตอนว่ายน้ำเล่นกับเพื่อนในสระน้ำได้เลยครับ (IP69 กันได้แต่น้ำสะอาด ไม่รองรับการกันน้ำในสระเกลือหรือน้ำทะเล)
ในระบบการถ่ายภาพพื้นฐานก็จัดเต็มมาให้ในสไตล์ OPPO Reno เช่นเดิมครับ คุณภาพการถ่ายสวยงาม ตัดฉากหลังได้คมชัด ปรับแต่งใบหน้าได้เนียนใส
โดยในรุ่น OPPO Reno13 F 5G จะรองรับการซูมภาพตั้งแต่มุมกว้าง 0.6x ไปจนถึงซูมดิจิทัลที่ 10x ส่วนในโหมดถ่ายภาพบุคคลมาพร้อมกับระยะการซูมได้ 3 ระยะ นั้นคือ 27mm, 35mm และ 54mm และการปรับหน้าเนียนใสได้ 100 ระดับ
ถ่ายได้หลายระยะ มีฟิลเตอร์ปรับสีภาพให้เลือกใช้เยอะครับ ภาพกลางวันถ่ายง่าย ภาพกลางคืนก็ยังคมสวยแม้จะซูมภาพ 54mm แล้วก็ยังคม
มีการใส่ Master Filter เป็นฟิลเตอร์พิเศษที่จะทำให้ภาพดูแปลกใหม่ด้วยอารมณ์ภาพที่ดูเก่า ^^ คล้ายกล้องฟิล์มในอดีต โดยจะมีมาให้ 3 รูปแบบด้วยกันครับ บวกกับฟิลเตอร์อื่นๆ อีกหลายตัวที่มีมาให้ใช้ในรุ่นนี้
กล้องหน้าของ OPPO Reno13 F 5G ความละเอียด 32MP มีความสามารถแทบไม่ต่างจากกล้องหลัง ทั้งการถ่ายแบบ AI Livephoto และฟิลเตอร์ต่างๆ มาค่อนข้างครบครับ คุณภาพกล้องหน้า เชื่อถือ OPPO ได้เลย ^^
ส่วนในรุ่น OPPO Reno13 5G จะมีความแตกต่างในเรื่องของการระยะการซูมที่ต่างกันออกไป รองรับการซูมภาพตั้งแต่มุมกว้าง 0.6x ไปจนถึงซูมดิจิทัลที่ 20x ในโหมดพอร์ทเทรตก็ถ่ายได้ 3 ระยะเช่นกัน แต่มีความต่างกันเล็กน้อยด้วยตัวเซนเซอร์ที่ไม่เหมือนกัน นั้นคือจะมีระยะ 26mm, 35mm และ 51mm และรุ่นนี้จะสามารถปรับค่า f ได้ทั้งก่อนการถ่ายหรือไปปรับใหม่ได้หลังการถ่ายได้
มีการใส่ Master Filter มาให้ไม่ต่างกัน แต่จะมีความพิเศษคือการใส่โหมดการถ่ายภาพในสถานการณ์พิเศษ เช่น การถ่ายภาพบนเวทีงานคอนเสิร์ต, การถ่ายภาพการจุดพลุ พวกนี้จะถูกใส่เข้ามาใน OPPO Reno13 5G
เป็นซีนการถ่ายที่ถูกกำหนดการปรับแต่งสีของภาพ การจัดแสง และการเร่ง HDR ให้เหมาะสมกับสถานการณ์เหล่านั้นแบบเฉพาะเจาะจง
และอย่าลืมว่าเรามีโหมด AI Livephoto ด้วยนะครับ ฉะนั้นก็ลองคิดดูว่า ถ้าเราไปถ่ายพลุไฟด้วย AI Livephoto ที่สามารถกลับมาเลือกภาพได้ใหม่ในช่วงเวลา 3 วินาทีที่ถ่ายไป จะทำให้การถ่ายภาพพลุของเราสะดวกมากขนาดไหน ^^
ถ่ายพลุแชะเดียวด้วย AI Livephoto ก็ได้ภาพพลุในหลายจังหวะแล้วครับ
และ OPPO Reno13 5G จะมีความสามารถ AI เพิ่มเข้ามาให้ในการแก้ไขเวลาถ่ายภาพหมู่ครับ นั้นคือ AI Clear Face และ AI BestFace ในเวลาเราถ่ายภาพบุคคลหลายคน หน้าบางคนอาจจะเบลอ หรือบางคนอาจจะไม่ได้มองกล้องหรือหลับตา ความสามารถสองตัวนี้จะเข้าไปแก้ให้กับเราได้ครับ โดยจะมีไอคอนแสดงขึ้นมาด้านล่างของภาพเมื่อตรวจพบการถ่ายภาพของกลุ่มบุคคล
กล้องหน้าของ OPPO Reno13 5G มีความละเอียดสูงถึง 50MP และมีความสามารถไม่ต่างจากกล้องหลัง รองรับทั้ง AI Livephoto และโหมดบิวตี้ พร้อมฟิลเตอร์ กล้องหน้าภาพดีมากครับสำหรับรุ่นนี้
OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ยังรองรับการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมการปรับบิวตี้หน้าเนียนใส่ ถ่ายวิดีความละเอียดสูงสุดที่ 4K (30fps สำหรับรุ่น OPPO Reno13 F 5G และ 60fps สำหรับรุ่น OPPO Reno13 5G) และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบกล้องคู่ ถ่ายด้วยกล้องหน้าและหลังพร้อมกัน
มีการใส่ลายน้ำเข้ามาให้มากที่สุด เป็นลายน่้ำในเวอร์ชั่นล่าสุดของทาง OPPO มีให้เลือกมากกว่าสิบรูปแบบ กดเลือกใช้งานได้เลยตามใจในการตั้งค่ากล้อง
การปรับแต่งภาพด้วย AI ที่สนุก! และง่าย
OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ไม่ได้ใช้ AI แค่ในขณะถ่ายภาพเท่านั้นครับ แต่มันถูกออกแบบให้มีความสามารถในการแก้ไขและปรับภาพหลังการถ่ายไปแล้วได้อีกมากมายด้วยครับ
การใช้ AI ครอปภาพให้คมชัด ปรับเพิ่มภาพขยายให้ดูคมชัดมากขึ้นด้วย AI เหมาะมากสำหรับเวลาต้องการคลอบตัดภาพใช้งานบางส่วนในภายหลัง
AI ปรับภาพเบลอให้คมชัด แก้ไขภาพที่ในบางครังอาจจะหลุดโฟกัส ถ่ายมาแล้วภาพเบลอ ไม่ได้่จำกัดแค่ภาพจากในกล้องของเครื่องเท่านั้น นำภาพถ่ายเก่าหรือไฟล์ภาพจากเครื่องอื่นเข้ามาแก้ไขก็ได้เช่นกัน
AI ลบเงาสะท้อน แก้ไขภาพที่ในบางครั้งเราถ่ายผ่านกระจก เราจะเห็นเงาสะท้อนของกระจกที่ปรากฏอยู่ในภาพ ตัว AI สามารถลบเงาสะท้อนเหล่านั้นออกไปให้ได้แบบอัตโนมัติในคลิ๊กเดียว
และ ยางลบ AI 2.0 ลบวัตถุหรือบุคคลที่ไม่ต้องการออกจากในภาพได้แบบง่าย แค่วงคร่าวๆ แล้วเลือกลบ ภาพก็จะถูกปรับแก้โดยการลบวัตถุหรือบุคคลนั้น แล้วแทรกฉากหลังเข้าไปได้แบบเนียนๆ
และใน OPPO Reno13 F 5G รวมถึง OPPO Reno13 5G จะมีแอปพลิเคชั่นที่มีความสามารถด้าน AI ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานในเครื่องแล้ว ที่ชื่อว่า AI Studio ภายในแอปนี้เราสามารถเข้าไปใช้งาน 3 ความสามารถหลัก
ซึ่งความสามารถทั้งหมดนี้ ผู้ใช้ OPPO Reno13 F 5G รวมถึง OPPO Reno13 5G สามารถรับเครดิตทำงานได้ฟรี 5,000 เครดิต ตั้งแต่ครั้งแรกในการล็อคอิน โดยเครดิตการใช้งานแก้ไขภาพแต่ละครั้งจะใช้เครดิต 10 หรือ 20 เท่านั้นครับ
AI Portrait การปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของภาพบุคคล ให้กลายเป็นในแบบที่เราเลือกภายในแอป
AI Reimage การเปลี่ยนภาพทั้งภาพ ให้กลายเป็นสไตล์ใหม่ เช่นภาพการ์ตูนอนิเมชั่น, ภาพ CG, ภาพร่างลายเส้นดินสอ หรือภาพวาดสีน้ำมัน เป็นต้น
AI Motion ความสามารถในการเปลี่ยนภาพนิ่งให้กลายเป็นภาพเคลื่อนไหว เช่น ภาพสัตว์เลี้ยงแมวหรือสุนัข หรือภาพวิวทิวทัศน์ จะถูกสร้างใหม่ให้กลายเป็นภาพเคลื่อนไหวแบบคลิปวิดีโอสั้น ใช้สำหรับการทำฟุตเทจประกอบวิดีโอของเราได้อย่างดีเลยครับ
เราสามารถทัชค้างที่วัตถุหรือบุคคลในภาพ เพื่อคัตเอาท์ออกมาใช้งานได้เลยด้วยนะ นำไปเซฟเก็บไว้เพื่อแชร์ใช้ในแอปอื่นหรือทำเป็นสติ๊กเกอร์ก็ได้เช่นกันครับ
ดีไซน์ขอบเหลี่ยมอินเทรนด์ กับฝาหลังใหม่ในลวดลาย “ผีเสื้อ”
OPPO Reno13 F 5G
มาพร้อมตัวเครื่องแบบตัดเหลี่ยมตามกระแสนิยม จับได้กระชับมือ มีความบางเบาแต่แข็งแกร่ง มีน้ำหนัก 192 กรัม และมีความบางแค่ 7.76 มม. มีเข้ามาจำหน่ายในไทยสามสี คือ สีม่วง Plume Purple, สีฟ้า Luminous Blue และสีเทา Graphite Gray
ใช้ฝาหลังดีไซน์ใหม่ สวยงามมาก ในเครื่องสีฟ้า Luminous Blue จะโดดเด่นด้วยวงแหวน Luminous Loop ที่เหมือนการเรืองแสงอยู่ตลาดเวลา และสีเทา Graphite Gray ที่ดูเรียบหรูเข้ากับทุกสถานการณ์ และสุดท้ายลวดลายปีกผีเสื้อที่งดงามจะอยู่ในเครื่องสีม่วง Plume Purple สะท้อนแสงเงาเป็นริ้วคล้ายปีกของผีเสื้อ เป็นลวดลายที่สวยมากจริงๆ ครับ
OPPO Reno13 F 5G ใช้ดีไซน์ขอบเหลี่ยมทั้งด้านหลังและด้านหน้า มาพร้อมจอ AMOLED แบบแบนราบขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1080p รีเฟรชเรท 120Hz ความสว่างจอสูงสุด 1200nits ขอบขอบางมาก อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องอยู่ที่ 92.2% ใช้กระจกจอลดรอยขีดข่วน AGC DT Star2
และมีระบบเสียงที่ดีด้วย เพราะในรุ่น OPPO Reno13 F 5G มีความสามารถของ Ultra Volume เร่งเสียงลำโพงคู่ของตัวเครื่องให้ดังได้มากกว่าปกติถึง 300% เลยทีเดียว แม้ใช้งานอยู่ภายนอกก็ยังได้ยินเสียงชัดเจน
ตัวเครื่องทีความแข็งแกร่งสูง ถูกผลิตมาในมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP69 ทนน้ำได้ลึก 2 เมตร นาน 30 นาที และทนต่อการฉีดน้ำได้จากทุกทิศทางที่อุณหภูมิไม่เกิน 80 องศา ถือว่าเป็นเครื่องที่แกร่งมากทีเดียว
แบตเตอรี่ภายในทีขนาดใหญ่มาก 5800mAh แบตอึดมาก สามารถเล่นเกมหรือเปิดคลิปวิดีโอได้ต่อเนื่องนานกว่า 12 ชั่วโมงเลยครับ รองรับการชาร์จไว 45W SUPERVOOC สามารถชาร์จแบตได้ไวและมีความปลอดภัยสูง ตัวระบบถูกออกแบบให้ดูแลสุขภาพของแบตเตอรี่ในระยะยาว ทำให้อายุการใช้งานของแบตสามารถอยู่ได้นานกว่า 4 ปีโดยที่จะไม่เสื่อมสภาพตำกว่าระดับ 80% ไปซะก่อนครับ
และรุ่นนี้ยังควบคุมความร้อนของเครื่องได้ดีมาก ทดสอบใช้งานมาทั้งขณะเสียบสายชาร์จก็ยังไม่มีความร้อนสะสมให้ต้องกังวล เพราะรุ่นนี้ภายในติดตั้งแผ่นกราไฟต์ระบายความร้อนขนาดใหญ่ถึง 4,364 ตารางมิลลิเมตรมาไว้ให้ คลอบคลุมส่วนที่เกิดความร้อนไว้ทั้งหมด
รองรับการใช้งาน 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ด (ไม่รองรับ microSD Card เพิ่มเติม และไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. บนตัวเครื่องโดยตรง) อุปกรณ์ภายในกล่องก็จะมีเคสใสซิลิโคน พร้อมกับที่ชาร์จ 45W SUPERVOOC และสายดาต้า USB Type-C แถมมาให้ครับ
OPPO Reno13 5G
OPPO Reno13 5G มาพร้อมดีไซน์ใหม่แบบตัดขอบเหลี่ยมเช่นกันครับ สวยนําเทรนด์ด้วยลวดลายปีกผีเสื้อบนเครื่องสีขาว Plume White ฝาหลังสะท้อนเงาแสงเป็นริ้วลวดลายแบบปีกผีเสื้อ ดูงดงามมากๆ หรู ดูแพง
รุ่นนี้จะมีเข้าให้เลือกสองสีครับ อีกหนึ่งสีคือสีฟ้า Luminous Blue ที่มีวงแหวน Luminous Loop ประดับไว้รอบโมดูลกล้องด้านหลัง
โดยใน OPPO Reno13 5G จะใช้เทคนิคการผลิตขั้นสูง ฝาหลังกระจกแกะสลักแบบชิ้นเดียว รวมฝาหลังและโมดูลกล้องเป็นชิ้นเดียวแบบไร้รอยต่อ ความทนทานของตัวเครื่องสูงมาก ด้วยกรอบเครื่องแบบอลูมิเนียมเกรดอากาศยาน โครงโลหะจะมีส่วนช่วยในการระบายความร้อนของเครื่องได้ในตัวด้วย เป็นรุ่นที่ใช้เทคนิคการผลิตและวัสดุเป็นระดับเดียวกับเครื่องกลุ่มเรือธงเลยครับ ทนทานต่อการบิดงอได้มากขึ้น 20% ทนทานต่อการตกกระทบเพิ่มขึ้น 36% และแน่นอนว่ากันน้ำกันฝุ่นระดับ IP69 ด้วยเช่นกัน
มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.59 นิ้ว ความละเอียด FHD+ 1256 x 2760 พิกเซล รองรับรีเฟรชเรต 120Hz ความสว่างสูงสุด 1200 nits กระจกจอ Corning Gorilla Glass 7i
ขอบเครื่องบางมาก อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงมากถึง 93.4% ตัวเล็กกระชับกับหน้าจอ ให้ลำโพงคู่สเตอริโอ น้ำหนักเบาเครื่องบาง น้ำหนักตัวเครื่อง 181 กรัม บาง 7.29 มม. สำหรับสี Luminous Blue และบางแค่ 7.24 มม. เท่านั้นสำหรับสีขาว Plume White
แบตเตอรี่ภายใน 5600mAh เครื่องบางแต่แบตใหญ่ รองรับระบบชาร์จไว 80W SUPERVOOC ชาร์จแบตได้ไวมาก ใช้เวลาแค่เพียงประมาณ 5 นาทีก็ได้แบตกลับมาที่ 17% และแม้จะชาร์จได้เร็ว แต่ตัวระบบก็ถูกออกแบบมาให้ดูแลสุขภาพของแบตเตอรี่ให้มีอายุการใช้งานยาวนานถึงกว่า 5 ปีเลยทีเดียวครับ
รองรับการใช้งาน 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ด (ไม่รองรับ microSD Card เพิ่มเติม และไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. บนตัวเครื่องโดยตรง) อุปกรณ์ภายในกล่องก็จะมีเคสใสซิลิโคน พร้อมกับที่ชาร์จ 80W SUPERVOOC และสายดาต้า USB Type-C แถมมาให้ครับ
ประสิทธิภาพการใช้งาน
OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G จะรันดัวยระบบ Android 15 ตัวล่าสุด ครอบทับด้วย ColorOS 15.0 ภายในระบบของ OPPO มีตัวช่วยเสริมประสิทธิภาพและดูแลระบบให้มีความไหลลื่นที่สุดอยู่เสมอแบบเรียลไทม์ นั้นคือ Trinity engine เป็นการทำงานที่ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆ นั้นคือ ROM Vitalization, RAM Vitalization และ CPU Vitalization
- ROM Vitalization จะช่วยดูแลในเรื่องหน่วยความจำ บีบอัดข้อมูลแอพ และรวมไฟล์ที่ซ้ำซ้อน คอยแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพที่เกิดจากหน่วยความจำเต็ม หรือมีพื้นที่ไม่เพียงพอจนส่งผลกระทบต่อการทำงาน
- RAM Vitalization จะทำหน้าที่ดูแลในการเรียกใช้ RAM ออกแบบมาเพื่อเร่งความเร็วในการเปิดปิดแอป เพิ่มความลื่นไหลต่อเนื่องเมื่อมีการสลับแอปใช้งาน
- CPU Vitalization เป็นตัวจัดการด้านการจัดส่งพลังงานและทรัพยากรให้สอดรับกับการประมวลผลได้อย่างแม่นยำ แก้ของระบบที่อาจจะมีการจัดสรรเอาไว้เตรียมประมวลผลมากเกินไป จนส่งผลให้สูญเสียพลังงานและทรัพยากรโดยไม่จำเป็น
ตัวช่วยเหล่านี้ทำให้ระบบของเครื่อง OPPO ทุกรุ่น มีความเสถียรสูง ลื่นไหล ตอบสนองได้แบบไม่มีปัญหา ค้าง ช้า รีสตาร์ท ให้เห็นเลยตลอดหลายรุ่นที่เคยรีวิวมา
มีการใช้ AI ให้เข้ามาช่วยเพิ่มสมรรถนะการทำงานของเครื่องเอาไว้ด้วย เช่น AI HyperBoost ตัวเร่งและจัดการทรัพยากรเครื่อง ให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ทำงานอยู่ภายในโหมดเกมที่สามารถช่วยประคองเฟรมเรตในขนะเล่นเกมให้มีความนิ่งคงที่
อีกสิ่งที่ถูกใส่เข้ามาคือ AI Linkboost 2.0 ความฉลาดในการจับสัญญาณได้เสถียรกว่าใคร ในขณะที่เราใช้งานในพื้นที่สัญญาณไม่ดี หรีอมีการหลุดจากสัญญาณเดิมและต้องไปเชื่อมต่อกับสัญญาณใหม่ OPPO Reno13 F 5G จะทำได้อย่างรวดเร็วครับ ด้วยการออกแบบเสาสัญญาณ 360 องศา และค้นหาสัญญาณไว้ล่วงหน้าทันที่ที่พบว่าสัญญาณเดิมเริ่มมีคุณภาพที่ไม่ดีครับ
รวมถึงเป็นหนึ่งเครื่องที่รองรับระบบ BeaconLink การติดต่อกันได้ระหว่างอุปกรณ์ที่รองรับในขณะที่เราเข้าสู่พื้นที่อับสัญญาณ ก็จะยังสามารถคุยสายสนธนาแบบ 1 ต่อ 1 ผ่านสัญญาณบลูทูธได้โดยที่ไม่ต้องมีสัญญาณโทรศัพท์จากเครือข่ายครับ
แต่ทั้งสองรุ่นจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของชุดประมวลผลอยู่นะครับ ใช้ชิปประมวลผลต่างกัน และใช้เทคโนโลยีแรมคนละตัวกันครับ
OPPO Reno13 F 5G จะเป็นเครื่องที่ใช้ชิป Snapdragon 6 Gen 1 ชิปเซ็ต 8 คอร์เทคโนโลยีการผลิต 4 นาโน อาจจะไม่ใช่ชิปเซ็ตตัวใหม่มากนัก แต่มีความแรงของการทำงานที่สูงพอตัวครับ สามารถเล่นเกมและรันแอปต่างๆ ใน Google Play Store ได้ไหลลื่นแล้วทั้งหมด
ทำงานร่วมกับ RAM LPDDR4X และ ROM UFS 3.1 ถือว่าใช้เทคโนโลยีที่อยู่ในระดับกลางสมกับราคาจำหน่าย ขนาดที่ผมได้มารีวิวเป็นเครื่อง RAM 12GB สามารถขยายได้อีก 12GB ด้วยหน่วยความจำที่ยังไม่ถูกใช้งาน และ ROM 256GB
ส่วน OPPO Reno13 5G จะเป็นเครื่องที่ใช้ชิปเซ็ตใหม่จากอีกค่ายนั้นคือ MediaTek Dimensity 8350 เป็นชิปที่มีความเร็วและแรง อยู่ในเกรดระดับตัวท็อปของสมาร์ตโฟนระดับ กลาง-บน และให้ RAM มาเป็นแบบ LPDDR5X อันนี้แบบเครื่องเรือธงเป๊ะเลย ฉะนั้นสเปกโดยรวมของ OPPO Reno13 5G แรงเลยครับ
ทดสอบเล่นเกม AAA เล่นได้ไหลลื่นสบายๆ ตัวนี้สายเล่นเกมจริงจังได้อยู่ ทดสอบเล่นเกม Solo Leveling:ARISE เกมที่กินสเปกเครื่องอย่างมาก ก็ยังวิ่งได้ที่ 30fps เล่นได้ลื่นพอตัวแล้ว รุ่นที่ผมได้มารีวิวเป็นเครื่อง RAM 12GB ที่ขยายได้อีก และหน่วยความจำขนาด 256GB
OPPO Reno13 5G มีความสามารถเสริมเป็น AI ในด้านการทำงานมาไว้ให้ด้วยครับ เช่นในแอป Document (เอกสาร) ซึ่งเป็นแอปสำหรับจัดการด้านบันทึกและเอกสาร มีความสามารถของ AI Summary ที่ใช้ในการสรุปเนื้อหายาวๆ ออกมาให้สั้นในใจความสำคัญได้
และความสามารถในการแปลภาษาของเอกสาร Office Word ซึ่งรองรับการแปลเป็นภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว
หรือ AI Writer ตัวผู้ช่วยเขียน สามารถปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสมกับสิ่งที่เรากำลังนำไปใช้ เช่นการปรับคำให้เหมาะสมแบบเป็นทางการเพื่อส่งจดหมายลาผู้ใหญ่ หรือให้เขียนเพิ่มเติมจากสิ่งที่เราเขียนในเนื้อหาที่สอดคล้องกัน รวมถึงใช้ในการตรวจสอบการสะกดคำ ปรับการใช้ไวยากรณ์ เป็นผู้ช่วยด้านภาษาให้กับเรา
รวมถึงความสามารถของ Circle to Search ของทาง Google ก็รองรับแล้วในรุ่น OPPO Reno13 5G ด้วยเช่นกัน
และแน่นอนสมาร์ตโฟนทั้งสองรุ่น รองรับกับฟังก์ชั่นที่สามารถส่งภาพและวิดีโอไปให้กับ iPhone ได้ด้วยครับ (ภาพ Live Photo ด้วยเช่นกัน) สามารถนำส่วนหัวตัวเครื่องมาชนกันเพื่อเชื่อมต่อได้เลย
ในการส่งครั้งแรก อุปกรณ์ iPhone ต้องติดตั้งแอป O+ Connect ซะก่อน ครั้งแรกเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ส่งไฟล์หากันแบบไร้สายในความเร็วสูงได้ตลอด
สรุปท้ายรีวิว
OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมฟีเจอร์ล้ำสมัย เน้นการถ่ายภาพด้วยระบบ AI Photography ที่พัฒนาไปอีกขั้น โดดเด่นด้วยฟีเจอร์ AI Livephoto และโหมดถ่ายภาพใต้น้ำ พร้อมเทคโนโลยีการปรับแต่งภาพที่ง่ายและสนุกผ่านความสามารถของ AI Editor และแอป AI Studio ที่มีมาให้ในตัวเครื่อง
OPPO Reno13 F 5G เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสมาร์ตโฟนราคาประหยัด แต่ยังคงได้ฟังก์ชันครบครัน ดีไซน์ขอบเหลี่ยมสุดอินเทรนด์ น้ำหนักเบา จอ AMOLED คมชัด รองรับการชาร์จไวและแบตเตอรี่ที่อึด ทนต่อการใช้งานหนัก
OPPO Reno13 5G ยกระดับประสิทธิภาพด้วยชิปเซ็ตแรงกว่า รองรับงานหนัก เช่น เล่นเกม AAA ได้ไหลลื่น มีฟีเจอร์ AI ช่วยเสริมการใช้งานทั้งในด้านกล้อง การทำเอกสาร และการถ่ายภาพในสถานการณ์พิเศษ
จุดเด่นทั้งสองรุ่น คือระบบกันน้ำและฝุ่นระดับ IP69 ที่ช่วยเพิ่มความทนทาน พร้อมกล้องคุณภาพสูงที่เหมาะกับสายถ่ายภาพ รวมถึงการออกแบบที่โดดเด่นและสวยงามในลวดลาย “ปีกผีเสื้อ”
OPPO Reno13 F 5G ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปในราคาที่เข้าถึงได้ ส่วน OPPO Reno13 5G เหมาะกับผู้ที่มองหาสมาร์ตโฟนระดับกลาง-บน ที่มีฟีเจอร์และประสิทธิภาพที่เหนือกว่า
ราคาและโปรโมชั่น
OPPO Reno13 F 5G มีจำหน่ายในตัวเลือกสามสี สีม่วง Plume Purple, สีฟ้า Luminous Blue และสีเทา Graphite Gray
- รุ่น RAM 12GB+256GB ราคา 12,999 บาท
- รุ่น RAM 12GB+512GB ราคา 14,999 บาท
OPPO Reno13 5G เปิดจำหน่ายในตัวเลือกสองสี สีขาว Plume White และ สีฟ้า Luminous Blue
- รุ่น RAM 12GB+256GB ราคา 17,999 บาท
- รุ่น RAM 12GB+512GB ราคา 19,999 บาท