CIRP เปิดรายงานสถิติการเปิดใช้ iPhone เครื่องใหม่โดยเปรียบเทียบกับอุปกรณ์ Android ในสหรัฐอเมริกา แสดงให้เราเห็นว่าส่วนแบ่งตลาดของ Apple มีการลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนสถานการณ์ของ iPhone ที่กำลังตกลงในหลายประเทศจะส่งผลรวมถึงสหรัฐอเมริกาซึ่งนับเป็นบ้านเกิดของบริษัท Apple ด้วย โดยรายงานล่าสุดจาก CIRP ได้เปิดเผยสถิติการเปิดใช้ iPhone เครื่องใหม่ในสหรัฐฯ แบบย้อนหลัง 12 เดือน
เราจะเห็นสถิติตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 เมื่อนับย้อนหลังไป 12 เดือนจากแต่ละไตรมาส สถิติของ iPhone ได้ไปแตะจุดสูงสุดอยู่ที่ 40% หลังจากนั้นตัวเลขการเปิดใช้งานสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ของ Apple ก็ลดลงอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันเหลืออยู่ที่ 33% ในปี 2567
นั่นหมายถึงอีกประมาณ 67% หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของการเปิดใช้งานสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ในสหรัฐอเมริกาจะเป็นอุปกรณ์ Android ทั้งหมดนั่นเอง
ตามข้อมูลของ CIRP รายงานว่าส่วนแบ่งตลาดที่ 33% ของ Apple เป็นตัวเลขที่เราต้องย้อนกลับไปดูช่วงเวลาตั้งแต่เมื่อประมาณหกปีก่อน ในสมัยที่ในตลาดยังมีอุปกรณ์ Windows Phone และ Blackberry เข้ามากินส่วนแบ่งไปพร้อมกัน แต่ปัจจุบันระบบเหล่านั้นได้หายไปจากตลาดโดยสิ้นเชิงเหลือเพียง iOS และ Android
เหตุใดการเปิดใช้งาน iPhone เครื่องใหม่จึงลดลง?
CIRP ได้วิเคราะห์เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดเทรนด์นี้ขึ้นมาไว้ว่า มาจากคุณภาพความทนทานของเครื่อง iPhone ในช่วงหลังที่เพิ่มมากขึ้น แต่สวนทางกับการเปิดตัวคุณสมบัติใหม่ๆ ของ iPhone ที่กลับลดน้อยลง ส่งผลให้การเลือกซื้อเครื่อง iPhone รุ่นใหม่มีความต้องการน้อยลงตามไปด้วยนั้นเอง
อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจจะเป็นสาเหตุนั้นก็คือ การเลือกรับเครื่องใหม่พร้อมติดสัญญา 2 ปีสำหรับ iPhone ในอเมริกา เจ้าของสมาร์ทโฟนหลายรายกำลังรอที่จะได้สัญญาใหม่ที่ดีกว่าเดิมก่อนจะตัดสินใจอัปเกรดโทรศัพท์ของตน ปัจจัยข้อนี้จะส่งผลกระทบต่อยอดขายของ Apple มากกว่าคู่แข่ง Android เพราะที่อเมริกาผู้คนจะนิยมใช้แพ็กเกจติดสัญญาเพื่อที่จะได้ iPhone มาในราคาที่ถูกอย่างมากเลยทีเดียว
เป็นอีกหนึ่งสถานการณ์ที่ทำให้เกิดข่าวลือว่า Apple อาจจะตัดสินใจปล่อย iPhone ที่มีราคาประหยัดมากขึ้นออกมา เพื่อมาดึงส่วนแบ่งตลาดของตัวเองกลับคืนไป แม้ที่ผ่านมาการเปิดตัว iPhone SE รุ่นราคาประหยัดของ Apple จะยังไม่เคยประสบความสำเร็จตามเป้าอย่างที่พวกเขาตั้งใจเอาไว้เลยก็ตาม