realme 13+ 5G และ realme 13 5G สองสมาร์ตโฟนใหม่ที่มาพร้อมสโลแกน “Speed to victory” เด่นด้วยชิปเซ็ตที่แรงมากขึ้นสำหรับสมาร์ตโฟนตลาดกลาง เตรียมเปิดตัวในไทย 17 ตุลาคมนี้
realme 13+ 5G และ realme 13 5G จะเข้ามาเป็นตัวเด่นสำหรับสายเล่นเกมอย่างแน่นอน มีการอัปเกรดขึ้นมาในด้านประสิทธิภาพลัวนๆ นั้นคือการใช้ชิปเซ็ตที่มีความแรงเหนือกว่ารุ่นที่นิยมใช้กันอยู่ในตลาด อย่างที่สองคือการอัประบบระบายความร้อนใหม่สามารถระบายความร้อนได้มากขึ้นและมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนถึง 37% และสุดท้ายคือระบบบชาร์จไวที่ใส่ระบบชาร์จ 80W Ultra Charge มาให้ในรุ่นนี้ด้วยนั้นเองครับ
เครื่องทั้งสองรุ่นมีการออกแบบภายนอกที่แตกต่างกันเล็กน้อย สังเกตได้จากสันขอบเครื่องด้านหลัง realme 13+ 5G รุ่นพี่จะมีมุมโค้งที่ฝาหลัง ส่วน realme 13 5G จะเป็นสันเหลี่ยมตัดขอบเหลี่ยมไปเลย
realme 13+ 5G จะมีน้ำหนักตัวเครื่อง 185g บางเพียงแค่ 7.6mm มีให้เลือกสามสี Victory Gold, Speed Green และ Dark Purple และ realme 13 5G จะมีน้ำหนัก 190g บางแค่ 7.79mm มีให้เลือกสองสี Speed Green และ Dark Purple
ทั้งสองรุ่นใช้โครงเครื่องโลหะอลูมิเนียมหล่อชิ้นเดียว และผลิตมาในมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP65 และ IP64 ตามลำดับ ถือว่าใช้มาตรฐานการผลิตที่ดีมาก วัสดุฝาหลังเป็นพลาสติกผิวด้าน เคลือบผิวทนต่อการสึกหรอและการเกิดรอยขีดข่วน ทำลวดลายคล้ายลายหินหรือลายฟ้าผ่าเอาไว้ สวยงามดีครับ
realme 13+ 5G จะติดตั้งกล้องหลังเป็นกล้องคู่ Sony LYT-600 f/1.8 ความละเอียด 50MP มีกันสั่น OIS คู่กับกล้อง Mono Camera 2MP ส่วน realme 13 5G ให้กล้องมาไล่เรี่ยกัน เป็นกล้อง Samsung S5KJNS f/1.8 ความละเอียด 50MP มีกันสั่น OIS ทำงานคู่กันกับ Mono Camera 2MP
สิ่งที่ต่างกันชัดเจนก็คงเป็นเรื่องของเทคโนโลยีจอภาพ realme 13+ 5G ให้หน้าจอมาเป็น E4 AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว OLED E-sport 120Hz ความละเอียด FHD+ ความสว่างสูงสุด 2000nits Contrast Ratio 6000000:1 และรองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอโดยตรง เป็นหน้าจอที่มีคุณภาพสูงมากพอตัว รองรับเทคโนโลยีการแสดงผลภาพแบบ Pro-XDR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการแสดงผล HDR แบบพิเศษ เพื่อการแสดงผลจากรูปถ่าย Pro-XDR ใส่เข้ามาด้วยครับ
ส่วนรุ่นน้อง realme 13 5G จะให้เป็นจอ LCD ขนาดใหญ่ 6.72 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 120Hz ความสว่างสูงสุด 580nits Contrast Ratio 1500:1 และจะไม่ได้สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ แต่จะใช้ที่สแกนลายนิ้วมือตรงปุ่มพาวเวอร์ด้านข้างเครื่องแทน
ทั้งสองรุ่นติดตั้งกล้องหน้าความละเอียด 16MP เอาไว้เท่ากัน รองรับการสแกนใบหน้าเข้าใช้งานได้ทั้งคู่
ส่วนด้านระบบเสียงใช้เป็นลำโพงคู่สเตอริโอทั้งสองรุ่น แต่รุ่นน้องมีระบบที่สามารถเร่งเสียงให้ดังขึ้นได้มากกว่าปกติ 200% ใส่เข้ามาให้ด้วย จึงมีความดังของเสียงลำโพงมากกว่ารุ่นพี่ขึ้นไปอีกหนึ่งสเตป
และรุ่นน้อง realme 13 5G ยังมีฟังก์ชั่นน่ารักๆ อย่าง mini capsule ที่จะใช้พื้นที่ด้านข้างกล้องหน้าสำหรับการแจ้งเตือนเหตุการณ์บางอย่าง เช่น การเล่นเพลง สภาพอากาศ หรือสถานะแบตเตอรี่ เป็นต้นครับ
ทั้งคู่มีแบตที่ใหญ่ 5000mAh รองรับเทคโนโลยีการชาร์จไวที่ต่างกัน realme 13+ 5G มาพร้อมกับเทคโนโลยี 80W SUPERVOOC ส่วน realme 13 5G จะรองรับเทคโนโลยีการชาร์จไวที่ 45W โดยจะรองรับรอบการชาร์จได้มากถึง 1,600 รอบเลยทีเดียวครับ หรือถ้าใช้งานทุกวันก็ยังอยู่ได้นานมากกว่า 4 ปี
ซึ่งอุปกรณ์ภายในกล่องของทั้งสองเครื่อง ก็จะแถมที่ชาร์จตรงรุ่นมาให้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับเคสใสซิลิโคน และสายดาต้า USB Type-C
ทั้งคู่จะรองรับการใส่ซิม 5G ใช้งานได้ทั้งสองสล็อต แต่ realme 13+ 5G จะไม่รองรับการใส่ microSD Card เพิ่มนะครับเพราะให้มาเป็นแบบสองสล็อตซิม ส่วนตัว realme 13 5G จะให้ช่องใส่ซิมมาแบบไฮปริด สลับใส่ microSD Card ได้ในสล็อตซิมที่สอง
ในด้านประสิทธิภาพความแรง realme 13+ 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ต Dimensity 7300 Energy ชิปใหม่ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 4 นาโนเมตร octa-core ซึ่งประกอบด้วยแกน Arm Cortex-A78 จำนวน 4 แกนที่มีความเร็วสูงสุด 2.5GHz และแกน Cortex-A55 ที่ประหยัดพลังงานอีก 4 แกน ชิปนี้รองรับหน่วยความจำประเภท LPDDR4x (รวมถึง LPDDR5) ทำให้มีความเร็วในการประมวลผลและถ่ายโอนข้อมูลได้สูงสุดถึง 6400Mbps ซึ่งถือว่าเป็นตัวที่มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในตลาดระดับเดียวกัน
ส่วน realme 13 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ต Dimensity 6300 5G ที่มีความแรงโดดเด่นมากเช่นกันในเรทราคาที่ประหยัดกว่า
ทาง realme ได้ใส่ระบบการทำงานของ GT Mode เข้ามาในสมาร์ตโฟนสองรุ่นนี้ด้วยครับ เป็นระบบการปลดล็อคลิมิตการทำงานและเร่งประสิทธิภาพเครื่องที่นำมาจากรุ่นเรือธง และใส่เทคโนโลยี DRE (Dynamic RAM Expansion) หรือตัวขยายแรมที่สามารถเพิ่ม RAM ได้สูงสุดถึง 14GB เมื่อร่วมกับขนาดแรมพื้นฐานของเครื่องที่มีมาให้ 12GB จึงรวมกันเป็นขนาด 26GB ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่มากครับ
ภายในได้ใสเทคโนโลยีการระบายความร้อนแบบใหม่ล่าสุด โดยมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนถึง 37% ทำให้เครื่องเย็น ช่วยระบายความร้อนได้เร็วขึ้นเมื่อทำงานหนักๆ อย่างเช่นเล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ตัวเครื่องก็ยังมีอุณหภูมิในระดับที่ต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพของเครื่องยังคงทำงานได้อย่างเต็มที่อยู่เช่นเดิมนั้นเองครับ เล่นเกมได้ลื่น เฟรมเรตก็ไม่ตก
เทียบสเปค realme 13+ 5G และ realme 13 5G
เรียกได้ว่าใส่มาให้ครบเครื่องด้านการใช้งาน เหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ตโฟนเอามาเล่นเกมในราคาไม่แพง ซึ่ง realme 13 Series ทั้งสองรุ่นจะมีงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 17 ตุลาคมนี้ เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป พร้อมการคอลแลบครั้งสำคัญกับค่ายเกมยักษ์ใหญ่อย่าง PUBG และมีกิจกรรมไลฟ์สไตล์สุดเก๋มากมายให้ติดตามกันได้ผ่านช่องทาง Facebook ของ realme
คนที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษในไลฟ์ตามวันเวลาดังกล่าว เพื่อลุ้นรับ realme 13+ 5G ไปเลยทันที 1 รางวัล! แฟนๆ ห้ามพลาดนะครับ