สำหรับแฟนเกมในยุคนี้เกมแนว เทรินเบส RPG แบบใส่คำสั่งดูจะเชยไปไกลแล้ว แม้กระทั้งซีรีส์ดังอย่าง Final Fantasy 15 ยังมีการปรับเปลี่ยนให้มีความเป็นแอ็คชั่นมากขึ้น ทำให้การมาในรูปแบบเดิมๆของ Dragon Quest 11 ตำนานเกม RPG จากญี่ปุ่น ดูจะเชยไปมาก
โดยกว่าจะออกเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษก็ใช้เวลาเป็นปีหลังจากออกไปเมื่อกลางปี 2017 ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนก็ได้เล่นจบไปแล้ว แต่การมาของฉบับแปลเป็นอังกฤษ ถือว่ายังคงน่าเล่นเพราะได้เพิ่มสิ่งใหม่ๆเข้ามากพอสมควร โดยเริ่มตั้งแต่
- เกมปรับให้วิ่งเร็วได้มากกว่าเดิม
- มีโหมดยากให้ผู้เล่นเลือกปรับแต่งอย่างละเอียด เช่นเพิ่มความเก่งของศัตรู
- มีเสียงพากย์แบบจัดเต็ม แต่ตัวเอกยังไม่มีบทพูดเหมือนกับต้นฉบับ
- มีการอัพเกรดเพิ่มมุมกล้องมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ตามสมัยนิยม
- ภาษาอังกฤษออกเฉพาะ PS4 เท่านั้นไม่ออกบน 3DS
กราฟิกดูดีเกินคาด
สัมผัสแรกของเกมดูดีมากๆ เพราะมันถูกนำเสนอแบบการ์ตูนที่วาดโดย อาจารย์ โทริยาม่า อากิระ เหมือนเดิม แถมยังถูกสร้างบน อันเรียล เอนจิ้น 4 ทำให้การสร้างโลกของเกมดูดีและสมจริงมาก เหมือนได้ดูการ์ตูน CG ดีๆงามๆที่สร้างอยู่ในโลกของการ์ตูนญี่ปุ่นที่แสนจะคุ้นเคย อย่างไรก็ตามเกมค่อนข้างมีการโหลดที่นานและโหลดบ่อย เพราะกราฟิกที่ดูดีแถมยังมีเฟรมเรตที่ลื่นไหลพอสมควร โดยรวมมันถือเป็นอีกเกมที่นำกราฟิกแบบการ์ตูนมาสร้างเป็นเกมได้อย่างลงตัว
ส่วนเนื้อเรื่องในเกมแม้ว่าอาจจะไม่มีอะไรหวือหวาเหมือนกับเกม RPG ในยุคนี้ แต่ก็ถือว่าคลาสสิกและลงตัวเหมือนได้ชมการ์ตูนญี่ปุ่น แต่ก็มีจุดหักมุมและแตกต่างจากซีรีส์ Dragon Quest ในอดีตอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วไม่ได้ทำให้มันเสียความเป็นตัวตนแม้แต่น้อย
เพลงประกอบคลาสสิกสุดๆ
แน่นอนว่าเพลงประกอบของเกม Dragon Quest ที่จะแต่งโดยตำนานของวงการเกมอย่าง Koichi Sugiyama ตั้งแต่ภาคแรก และภาค 11 ก็ยังใช้บริการของเขา และมันยังทำหน้าที่เสริมความโดดเด่นให้กับเกมได้เหมือนเดิม เพลงทุกเพลงที่อยู่ในเกมยังคงไม่หลุดกรอบของซีรีส์ Dragon Quest รวมทั้งเสียงประกอบที่แม้จะเป็นเวอร์ชั่นตะวันตก แต่ก็ยังคงใส่เสียงประกอบสุดคลาสสิกมาให้เหมือนเดิม รวมทั้งยัดใส่เพลงเก่าแก่เข้ามาให้แฟนๆหายคิดถึงด้วย
เกมเพลย์เทรินเบสเหมือนเดิม
แน่นอนว่ารูปแบบของเกมมันยังคงใช้เกมเพลย์แบบเทรินเบส RPG ที่ใช้กันมายาวนานตั้งแต่ภาคแรก แถมยังคงเป็นการต้องรอเวลาไม่ใช่เวลาจริง ทำให้เชื่อว่าคนที่ไม่เคยเล่นหรือชอบแอ็คชั่นจะมองว่าเชย แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันยังคงสร้างความสนุกได้เหมือนเดิม เพราะผู้เล่นต้องคิดวางแผนใช้การโจมตีด้วยอาวุธ สกิลเทพๆ หรือพลังเวท ให้ถูกจังหวะ
อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะดูเชยๆแต่ Dragon Quest 11 ก็ยังเสริมสิ่งใหม่ๆเข้ามาพอสมควรเช่นในฉากต่อสู้ที่แม้ว่าจะมีการตัดเข้าฉาก แต่ผู้เล่นก็สามารถบังคับตัวละครให้เดินไปมาในฉากต่อสู้ได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรในการต่อสู้แต่ก็ทำให้มันดูทันสมัยมากขึ้น และบอกไว้เลยว่าหากคุณเป็นแฟนซีรีส์นี้มานาน การที่ผู้สร้างไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องและสมควรทำแล้ว เพราะหากเปลี่ยนมันจะไม่ใช่ซีรีส์ Dragon Quest และอาจจะถูก วิจารณ์ในแง่ลบเหมือนกับบางเกม
เหมาะกับมือใหม่เพราะภาค 11 ง่ายสุดแล้ว !!
อีกจุดที่บอกสำหรับแฟนเก่าแก่ของซีรีส์ Dragon Quest คือภาค 11 มีการปรับให้ง่ายขึ้นพอสมควร เพราะฉากในเกมที่เจอศัตรูเป็นตัวๆบนแผนที่แล้วไม่ได้เจอแบบสุ่ม ทำให้เราสามารถเลือกที่จะเดินหลบหลีกได้ แถมภาคภาษาอังกฤษเราสามารถวิ่งได้เร็วขึ้นทำให้การเล่นสะดวกกว่าเดิม
นอกจากนี้ศัตรูในเกมยังลดระดับความยากลง รวมทั้งระบบ AI ของตัวละครที่เมื่อเราตั้งค่าให้สู้แบบอัตโนมัติ มันแทบจะทำสิ่งที่ควรทำโดยไม่ต้องไปกังวล เช่นการเติมพลัง หรือแก้พิษที่ทำให้การเล่นทำได้อย่างสะดวกมากขึ้น อย่างไรก็ตามหากเล่นไปถึงช่วงหลังยังคงมีบอสโหดๆอยู่ ผู้เล่นต้องอัพเกรดตัวละคร รวมทั้งจัดหาอาวุธเทพๆเพื่อต่อสู้กับมัน แต่โดยรวมก็ไม่ได้ยากเย็นเหมือนภาคก่อนๆจนเป็นที่มาของโหมดยากที่เพิ่มมาให้เลือก
ระบบอัพเกรดและท่าไม้ตายที่แสนจะง่ายดาย
เป็นเรื่องปรกติที่เกม RPG ต้องมีระบบอัพเกรดตัวละครนอกจากระบบหลักที่ใช้การเก็บ เลเวล และ Dragon Quest 11 ก็ไม่ได้คิดระบบใหม่ แต่ใช้ระบบการเช่นช่องสกิล ที่มีหลายเกม RPG ในอดีตใช้มายาวนาน โดยจะแบ่งประเภทตามอาวุธของตัวละคร ที่จะต้องเก็บค่าสกิลจากการปั๊มเลเวล แล้วนำมาอัพเกรดตัวละคร ที่เรียบง่ายลงตัวและสามารถปรับแต่งตัวละครได้ตามใจ
อีกโหมดที่ทำให้เกมสนุกตื่นเต้นมากขึ้นคือโหมด Zone ที่เมื่อเราเล่นไปเรื่อยๆตัวละครของเราจะระเบิดพลังออกมาแล้วเราจะโจมตีได้แรงขึ้น แต่สถานะนี้จะอยู่เพียงแต่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และเมื่อเราอยู่ในโหมด Zone พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมของเราจะสามารถใช้ท่าไม้ตาย Link กับเพื่อนของเราจนเกิดเป็นท่าไม้ตายที่รุนแรงมากได้ทำให้เราสามารถมีอะไรให้ประหลาดใจไปตลอดการเล่นเพราะมีท่าไม้ตายพิเศษรอให้เราใช้งานแบบคาดไม่ถึง
ส่วนอาวุธที่ในภาคนี้นอกจากจะหาซื้อหรือเก็บมาได้ ยังมีระบบการตีอาวุธที่ทุกครั้งที่ก่อแคมป์ไฟ จะมีที่ตีอาวุธหรือเครื่องป้องกันแบบพิเศษมาให้เราใช้โดยเราต้องหาวัตถุดิบมาตีผ่านมินิเกม แน่นอนว่าในฉากของเกมที่มีแร่ไว้ตีอาวุธเทพๆรอให้เราค้นหาอยู่เพียบ
อย่างที่บอกว่าภาค 11 ปรับให้ง่ายขึ้นทั้งรูปแบบและการเข้าถึงแต่เกมก็ยังมีความยาวโดยผู้เล่นใช้เวลา 50 ชั่วโมงในการเล่นแบบปรกติ และยังมีภารกิจย่อยเควสเสริมรอให้เราค้นเพื่อเพิ่มความสนุก อีกเพียบแถมยังมีการค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ทั้งการหาของไปตีอาวุธระดับเทพ หาเหรียญเล็กไว้แลกของ และยังมีคาสิโนที่เชื่อว่าแฟนเกมซีรีส์ Dragon Quest ต้องอยากออกไปค้นหาสิ่งที่ผู้สร้างซ่อนอยู่ในเกมนอกจากเนื้อเรื่องหลักแน่นอน ทำให้เราอาจจะอยู่กับเกมได้มากว่า 50 ชั่วโมงขึ้นไปแน่นอน
ปิดท้ายกันเล็กน้อยเพราะแม้เกมจะออกในยุคที่ใครๆก็ทำเกมให้กลายเป็น Open World แต่ Dragon Quest 11 ยังไม่ได้มีฉากกว้างๆ ทุกอย่างยังคงอยู่ในกรอบที่ไม่ได้เดินไปได้ทุกที่ แต่ผู้สร้างยังได้ใส่ยานพาหนะมาให้ใช้ไม่ว่าจะเป็นเรือ หรือการขี่มอนสเตอร์เช่นมังกร หรือขี่หุ่นยนต์ ทำให้มันพอจะมีอะไรแปลกตาแม้ว่าฉากในเกมอาจจะดูเล็กไปเมื่อเทียบกับโลกของเกมในยุคนี้