รีวิวนี้เป็นรีวิวที่ผมย้อนกลับมาเขียนใหม่และเพิ่มเติมข้อมูลอีกครั้ง หลังจากที่ได้ไปอ่านความคิดเห็นของผู้ที่สนใจหลายคนแล้วรู้สึกว่า ยังเข้าใจการทำงานของฟังชั่นพิเศษ Cloud ของมันไม่ถูกต้องนัก ฟังชั่นดีจึงกลับกลายเป็นฟังชั่นที่น่ากังวล ซึ่งมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
ฉะนั้นรีวิวนี้ผมจึงขอยกเรื่องของระบบ Cloud ใน Nextbit Robin ขึ้นมาพูดก่อนเลยนะครับ ด้วยฟังชั่นที่ทาง Nextbit นำเสนอว่ามันเป็นเครื่อง Android ระบบ Cloud-First เครื่องแรกของโลก ทำให้หลายคนกงวลกันว่าจะมีปัญหาการใช้งานในขณะที่ไม่มีอินเตอร์เน็ตหรือไม่
ผมบอกได้เลยว่า ตรงส่วนนั้นไม่ต้องไปกังวลเลยครับ เพราะจริงๆ แล้วเจ้า Robin มันก็คือเครื่องสมาร์ทโฟนระบบ Android แบบที่เราคุ้นๆ กันนี้แหละ การใช้งานก็เป็นแบบปกติที่เราใช้งานกันในเครื่องอื่นๆ นั้นแหละครับ สิ่งที่แตกต่างแรกสัมผัสก็มีเพียงเรื่องการดีไซด์เครื่องกับหน้าตา UI ที่เป็นแบบของ Nextbit เอง อันนี้ก็ตามธรรมดาของเครื่องสมาร์ทโฟนแบรนด์ใครแบรนด์มันอยู่แล้ว
ส่วนระบบ Cloud นั้นจะเข้ามามีส่วนเมื่อไหร่? ก็ต่อเมื่อคุณอนุญาต และหน่วยความจำของคุณใกล้เต็มแล้วโน้นแหละครับ
เมื่อหน่วยความจำของคุณใกล้จะเต็ม ตัว Nextbit Robin จะมีความสามารถพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ก็คือการย้ายรูปภาพและแอพพลิเคชั่น (ขณะนี้ได้สองประเภทนี้เท่านั้น) ย้ายขึ้นไปอยู่บนพื้นที่ความจำแบบออนไลน์หรือ Cloud นั้นเอง ซึ่ง Nextbit เขามีเปิดพื้นที่ Cloud ไว้ให้ทุกคนคนละ 100GB (ล็อกอินได้ด้วย Gmail) โดยแอพพลิเคชั่นและรูปที่ย้ายขึ้นไปนั้น ตัวระบบจะทำการคัดเลือกจากประวัติการใช้ของเราเอง อันไหนที่ไม่ได้ใช้ อันไหนที่เราไม่ค่อยสนใจ แอพพลิเคชั่นหรือรูปเหล่านั้นจะถูกย้ายขึ้นไปเก็บให้อัตโนมัติ ไม่ใช่เป็นการลบทิ้ง แต่จะถูกย้ายไฟล์ข้อมูลขึ้นไปทิ้งเหลือไว้ที่เครื่องแค่ไอคอนเรียกใช้ซึ่งกลายเป็นสีเทา
เมื่อเราต้องการใช้แอพพลิเคชั่นนั้นอีกครั้ง ก็แค่กดไอคอน ระบบจะทำการเรียกทุกอย่างกลับมาให้เราใช้งานได้ต่อไปครับ
และย้ำว่าทุกๆ อย่างที่จะอัพย้ายไปขึ้น Cloud ได้ เราต้องอนุญาตแล้วเท่านั้น! ตัวเครื่องไม่สามารถกระทำการเองได้ถ้าเราไม่อนุญาตไว้ซะก่อน โดยเราสามารถระบุได้ว่าจะใช้ฟังชั่น Cloud ตัวนี้หรือไม่ จะให้ใช้ต่อเมื่อเชื่อมต่อกับ Wi-Fi เท่านั้นหรือไม่เพื่อป้องกันการใช้ดาต้า 3G หรือ 4G สิ่งเหล่านี้ระบุได้ครับ
และเราก็ยังสามารถเลือกปักหมุดแอพพลิเคชั่นที่เราจะต้องการเก็บไว้บนเครื่องเราตลอดได้เช่นกัน ด้วยการแค่สไลด์ไอคอนบนหน้าจอลงมา จะเป็นการปักหมุดแอพนั้นไว้กับเครื่องทันที
จะเห็นว่าระบบ Cloud ของ Nextbit Robin เป็นทางเลือกครับ จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ และมันก็มีประโยชน์มากในยามที่จำเป็น จึงเป็นข้อดีที่ไม่อยากให้ทุกคนกังวลกันไปครับ
[section label=”ตัวเครื่องภายนอก” anchor=”body”]ตัวเครื่องภายนอก
ในส่วนของตัวเครื่องภายนอก ก็อย่างที่เห็น มันแตกต่างอย่างมากกับเครื่องอื่นๆ ในตลาด ข้อดีของมันข้อแรกก็คือเครื่องมันเป็น “พลาสติก” 555
ในขณะที่เจ้าอื่นๆ หันไปใช้วัสดุโลหะเพื่อเพิ่มมูลค่า Nextbit สวนทางใช้พลาสติก และการออกแบบที่แตกต่างไปจากเจ้าอื่นๆ โดยผลลัพท์ก็คือกลายเป็นเจ้าของรางวัล Red dot Award ปี 2016 ด้านการออกแบบ ซึ่งถ้าเห็นเครื่องจริงกันแล้วจะรู้ว่ามันโดดเด่นจริงๆ ครับ น่ารัก แปลกตา และมีน้ำหนักที่เบามาก
ตัวเครื่องออกทรงสูงด้านข้างแคบ ถือง่าย ใช้งานมือเดียวพอได้
ด้านล่างมาพร้อมกับพอร์ต USB Type-C และไฟแจ้งเตือนก็มาอยู่ด้านล่างนี้เช่นกัน
ด้านหลังมีไฟแจ้งเตือนสถานการณ์ซิงก์ไฟล์ขึ้น Cloud เป็น LED สี่เม็ดใต้ไอคอนรูปเมฆ
ที่สแกนลายนิ้วมืออยู่ข้างเครื่อง พร้อมเป็นปุ่มสลีฟและพาวเวอร์ไปในตัว กดลำบากอยู่ครับ เพราะปุ่มแนบไปกับตัวเครื่องเลย ทำให้บางครั้งสแกนนิ้วไม่แม่นเพราะวางนิ้วไม่ถูกตำแหน่ง
ตัวเครื่องเหลี่ยม บาง ลำโพงคู่บนและล่าง ซึ่งเสียงลำโพงคู่ตัวนี้ดังมากครับและมีพลังเสียงที่ดีพอตัว สามารถใชดูหนังฟังเพลงได้สมอารมณ์โดยไม่ต้องไปต่อลำโพงภายนอกเพิ่มครับ เรื่องเสียงเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้เรื่องหนึ่งเลย
ส่วนเรื่องการแสดงผลผมเองก็ชอบ เพราะปกติแล้วเราจะไม่ค่อยเห็นหน้าจอที่แสดงสีสันลักษณะแบบนี้เท่าไหร่บนแบรนด์ Android เพราะลักษณะของสีภาพและความสดใสของแสงจะคล้ายจอของ iPhone ครับ สีสว่างๆ จอใสๆ แสงขาวๆ หน้าจอขนาด 5.2 นิ้วความละเอียด FullHD ดูสบายตาและโทนสีไม่จางหรือเข้มไปมากกว่าธรรมชาติมากนักครับ
รองรับหนึ่งซิมการ์ด สามารถใช้งานคลื่น 3G และ 4G ได้เกือบครบทุกคลื่นความถี่ทั่วโลก จับสัญญาณได้ดีทั้งสัญญาณมือถือและ Wi-FI
อุปกรณ์ภายในกล่องไม่มีอะไรให้มามากครับ มีตัวเครื่อง เข็มจิ้มซิม พร้อมสายดาต้า USB-C สวยๆ ให้มาหนึ่งเส้น ส่วนตัวชาร์จ ฟิล์มระจก และเคสใส มีแถมให้จากร้านขาย โดยแถมตัวชาร์จให้มาเป็น Quick Chrage 2.0 ด้วย แต่ถ้าไม่แถมมาก็ลำบากครับ เพราะตามที่บอกว่าภายในกล่องมีแค่สายชาร์จกับเข็มจิ้มซิมมาให้เท่านั้น ไม่มีหูฟังมาให้ด้วยนะครับ
[section label=”การใช้งานภายใน” anchor=”performance”]การใช้งานภายใน
ความลื่นไหลยอดเยี่ยมครับ Nextbit Robin มีชุดประมวลผลระดับเครื่องเรือธงเมื่อประมาณปีก่อน ก็ถือว่าอยู่ในระดับสูง การเล่นเกมดูหนังทำได้ลื่นไหลมากๆ มีสโลว์บ้างเวลาทำงานหนักๆ แต่ให้เห็นน้อยมาก ประสบการณ์การใช้งานถือว่าดีครับ ทำรอมออกมาได้ดีทีเดียว
หน้าตา UI ใช้งานเป็นตามแบบอย่าง Nextbit OS ของเขาโดยเฉพาะ ปุ่มมาตรฐานสามปุ่มอยู่บนหน้าจอ ไม่มีหน้า Appdrawer แอพทั้งหมดเอามารวมไว้หน้าแรกทั้งหมด โดยเราสามารถให้แยกแสดงแอพพลิเคชั่นที่ย้ายไปขึ้นคลาวด์ไว้แล้ว หรือเลือกปักหมุดเอาไว้ได้ครับ จากไอคอนสามจุดสีม่วงบนหน้าจอ
และสามารถเข้าหน้าการใช้งาน Widget ได้โดยการใช้สองนิ้วสไลด์จีบเข้าหากันครับ
แอพพลิเคชั่นพื้นฐานภายในเครื่อง มีมาให้เกลี้ยงๆ คล้ายๆ พวกเครื่อง Pure Android เลย ไม่ค่อยมีอะไรพิเศษ จะมีการตั้งค่าที่พิเศษขึ้นมาก็คือหน้า Smart Storage ที่จัดการการตั้งค่าของระบบ Cloud ของเครื่องนั้นเองครับ (ทัชที่แท็บ Vertion 5 ครั้ง เพื่อเปิดการเข้าถึง Debug Setting ได้มากขึ้น)
สิ่งที่ดูเป็นจุดอ่อนของเครื่องจริงๆ แล้วก็คือเรื่องของแบตเตอรี่ครับ ขนาดแบต 2,650 mAh ผมทดสอบใช้งานหนักๆ เปิดจอทำงานตลอดสามารถหมดได้ในประมาณ 5 ชั่วโมง ถ้าใช้แบบปกติทั่วไป จะอยู่ได้เช้าถึงเย็นครับ ก็ไม่ค่อยพอใช้จนถึงค่ำ คงต้องพกแบตเสริมกันละครับสำหรับคนใช้งานเยอะมากๆ ในแต่ละวัน แต่จะมีการชาร์จแบตเตอรี่แบบไวเข้ามาให้ สามารถพกตัวชาร์จไปเพิ่มไฟเอาได้ครับ ชาร์จแป๊บเดียวไฟก็เข้าได้มากพอสมควร
[section label=”ผลทดสอบต่างๆ” anchor=”test”]ผลทดสอบต่างๆ
จับสัญญาณ GPS ได้นิ่งมากครับ ไวและแม่นยำแม้ไม่ได้เปิดอินเตอร์เน็ตช่วยครับ เรื่องฮาร์ดแวร์ภายในใช้ของดี
[section label=”กล้องถ่ายภาพ” anchor=”camera”]กล้องถ่ายภาพ
เรื่องคุณภาพของกล้องถ่ายภาพไม่เป็นรองใครครับ ภาพชัด ถ่ายง่าย ตัวแอพลิเคชั่นกล้องใช้เวลาในการเปิดช้าไปนิดหน่อย สามารถเข้าลัดด้วยการกดปุ่มสลีฟสองครั้งเพื่อเข้ากล้องได้ มีโหมดแมนนวลสำหรับตั้งค่ากล้องเอง (ISO, Focus, EV, White balance)
ตัวอย่างภาพถ่าย
[section label=”สรุปท้ายรีวิว” anchor=”synopsis”]สรุปท้ายรีวิว
สิ่งที่จะเป็นความท้าทายของ Nextbit Robin ก็คือการเปิดใจคนซื้อ เพราะด้วยความเป็นแบรนด์ใหม่ ไม่คุ้นหน้า กับราคามือถือหมื่นสองพันกว่าต้องโฆษณากันให้คุ้นตามากพอดู
แต่เรื่องของคุณภาพสินค้า ความน่าใช้ และฟังชั่นที่เป็นไม้ตายส่วนตัวผมว่าคุ้ม ความโดดเด่นที่ไม่ค่อยเหมือนใครแถมมีความสามารถที่เพิ่มเข้ามาแบบไม่มีใครเหมือนเช่นระบบ Cloud ก็ทำให้ผมอยากลองเป็นเจ้าของมันแล้ว ครบเครื่องทั้งภายนอก ระบบภายใน เสียงลำโพง และหน้าจอแสดงผล
สำหรับเรื่องการซัพพอร์ตอัพเดทระบบในอนาคตก็ไม่ค่อยน่าเป็นห่วง เพราะทีมพัฒนาในลักษณะซนๆ แบบนี้ น่าจะมีอะไรดีๆ มาให้เล่นกันอีกไกล หรือถ้าใครสนใจในเรื่องการอัพเดทและลงระบบเอง จะบอกว่า Nextbit Robin เป็นเครื่องที่ปลดล็อก BootLoader มาให้ ไม่หมดประกันถ้าเอาไปลงรอมเอง ซึ่งเขามีสังคมกลุ่มใหญ่ที่ช่วยกันพัฒนาซอฟท์แวร์ระบบของมันกันเองอยู่ไม่น้อยเลยครับ เรียกว่าใช้งานได้สนุกแน่นอน