อีกหนึ่งสมาร์ทโฟนเครื่องหรู OPPO Reno เจ้าตัวนี้แรงครับ แรงทั้งด้านสเปคและงานดีไซน์ ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่า OPPO Reno Series ชุดนี้ดีหมดเลย งานออกแบบดี นวัตกรรมดี และยังอัดเสปคมาแบบไม่กั๊ก ไม่ต้องให้ลูกค้าต้องลังเลใจ เพราะ OPPO ดัน Reno ไปสุดทางตามที่สมาร์ทโฟนพรีเมี่ยมยุคใหม่มันควรจะเป็นครับ
ต้องบอกก่อนเลยว่า Reno Series ทั้งตระกูลนี้ เป็นสมาร์ทโฟนที่สวยมากครับ งานการออกแบบตัวเครื่องและขั้นตอนการผลิตทำมาเหนือล้ำมากๆ เราสามารถรับรู้ความยากในการผลิตได้แค่จับสัมผัสเนื้อวัสดุตัวเครื่องแล้วละครับ งานเนียนมือ สัมผัสที่ได้แปลกมือมาก
ผิวกระจกมีพื้นผิวสองแบบบนเครื่องเดียว ทั้งแบบเงาและแบบด้าน ทำได้ด้วยการวิธีขัดพิเศษที่ใช้การเคลือบและขัดด้วยเทคนิคระกับนาโน ไล่โทนสีด้านหลังโดยใช้สีเพียงโทนเดียว แต่มีเลื่อมเงาสะท้อนแสงได้ดูผู้ดีมากๆ
แต่ตัวเครื่องของโทรศัพท์ทั้งตัวนั้นไร้รอยต่อ เลนส์กล้องไม่ยื่นนูนออกมา วางแนวออกแบบสมดุลซ้ายขวา เด่นด้วยแนวกลางลำตัวที่มีโลโก้ เลนส์กล้อง และ “O-Dot” เม็ดมณีสีเขียว ไทม์สโตน ที่ทานอสตามหา เอ้ย! ไม่ใช่
แต่เป็นเม็ดเซรามิคแข็งสำหรับป้องกันรอยขีดข่วนที่อาจจะเกิดกับตัวเครื่องได้ในเวลาเราวางหงายนั้นเองครับ ออกแบบใส่ใจ และสวยทั้งสองสี ทั้ง Ocean Green และ Jet Black
ถ้าเอาตัวเครื่อง Reno วางเทียบกับเรือธงราคาแพงกว่าตัวอื่นๆ จะเห็นคุณภาพงานผลิตของ OPPO ที่โคตรใส่ใจ สวยกว่าเรือธงชาวบ้าน หรูกว่า แม้เครื่องพวกนั้นจะราคาแพงกว่าก็ตามทีครับ ^^
ซึ่งผมยังไม่ได้พูดถึงโครงสร้าง Pivot-Rising หรือเจ้าชิ้นส่วนซ่อนได้แบบครีบฉลามนะครับ หลายคนเข้าใจว่ามันเอาไว้ซ่อนกล้องหน้าเพียงเท่านั้น ซึ่งผมจะบอกว่า “ผิด” ครับ เพราะเจ้าโครงสร้าง Pivot-Rising มันเป็นที่รวมชิ้นส่วนสำคัญไว้เพียบเลย ทั้งเซนเซอร์ กล้องหน้า แฟลชกล้องหน้า แฟลชกล้องหลัง ลำโพง earpiece สำหรับสนทนาด้วยเช่นกัน
Pivot-Rising ถูกออกแบบมาไม่เหมือนใคร ด้วยกลไกยกขึ้นลงเพียงด้านเดียว มันจึงเหลือพื้นที่ให้ติดตั้งสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นกว่าระบบซ่อนกล้องแบบเดิมๆ
ทำงานได้อัตโนมัติ รวดเร็ว แต่ละมุนครับ เลื่อนขึ้นเลื่อนลงเงียบกริบ แค่ดูมันทำงานก็สบายใจแล้วละ ^^ และความทนทานหายห่วง ใครมีก็กดเล่นได้เลยครับไม่ต้องกลัวเสีย ทาง OPPO การันตีให้เลยว่าทำงานได้สบายๆ กว่า 200,000 ครั้ง ไม่เสียแน่นอน เลื่อนกันบ่อยๆ ทุกวัน ยังใช้งานได้นานกว่า 5 ปีเลยครับ ผมเองก็ยังลองไม่ถึง 200,000 ครั้งนะ เลยบอกไม่ได้ว่ายังไง แต่เชื่อเถอะว่ามันทนจริง ^^
และเจ้า Pivot-Rising ยังมีโหมดการปกป้องตัวเองในกรณีโทรศัพท์ตกพื้น มันจะรับรู้การตกและหดตัวเองได้ก่อนโดยอัตโนมัติ แหมเจ้านี้ สวยแต่นิสัยหนีไวก่อนเพื่อนเลยนะ 555
ด้วยเจ้า Pivot-Rising นี้แหละครับ ที่รับหน้าที่เป็นชุดรับสิ่งต่างๆ เอาไว้ภายในโครงสร้างของมัน ทำให้เราได้เครื่องสมาร์ทโฟนหน้าจอเต็มสุดขอบสุดๆ Panoramic full-screen 6.4 นิ้ว จอใหญ่แต่เครื่องเล็ก จนถือใช้งานมือเดียวได้ อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องกินไปถึง 93.1% ของพื้นที่ด้านหน้า
จอภาพ AMOLED ความละเอียดระดับ FHD + ใช้เทคนิคสีของหน้าจอใหม่ ที่ช่วยลดทนแสงสีฟ้าที่ทำลายตาได้มากกว่าเดิม 50% แต่ยังคงสีสันสดใสตามสไตล์หน้าจอ AMOLED เช่นเดิม ผ่านการรับรองมาตรฐานการดูแลสายตาโดย TÜV Rheinland มาแล้วครับ
ใต้หน้าจอของ Reno นี้ มีนวัตกรรมใหม่แอบซ่อนตัวอยู่ด้วยนะครับ มันคือเซ็นเซอร์แสงที่ทำงานได้จากใต้จอแสดงผล ไม่ต้องเจาะ ไม่ต้องมีรู แต่ OPPO ใช้ประโยชน์จากความโปร่งใสของหน้าจอชนิด AMOLED และออกแบบตัวรับแสงที่ใช้อัลกอริทึมที่เป็นลิขสิทธิ์ของ OPPO โดยเฉพาะ ทำให้สามารถวางเซ็นเซอร์รับแสงไว้ใต้กรอบกระจกสีใดก็ได้ ตำแหน่งใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องวางตรงกรอบกระจใสสีดำเหมือนสมัยก่อนอีกต่อไปแล้วครับ
กระจกจอก็ใช้ของคุณภาพสูง Corning Gorilla Glass 6 และเป็นจอภาพที่รองรับการสแกนลายนิ้วมือเวอร์ชั่นใหม่ Hidden Fingerprint Unlock 2.0 อีกด้วย จากการทดสอบใช้งาน Reno สแกนนิ้วได้ไวและแม่นพอสมควรครับ นิ้วชื้นเหงื่อสแกนได้ไม่ต้องเช็ดก่อนแต่อย่างใด ( Reno รองรับการสแกนใบหน้าด้วยกล้องหน้าด้วยนะครับ)
Reno series เป็นเครื่องที่ใช้เทคโนโลยีไมโครโฟนหลายตัวรอบเครื่อง ออกแบบมาเพื่อลดเสียงรบกวนโดยเฉพาะครับ ทั้งเสียงรบกวนจากภายในขณะใช้งานด้านอื่นและสนทนาไปด้วย รวมถึงลดเสียงรบกวนจากภายนอกให้เสียงเราฟังชัดเจนมากขึ้นครับ
Reno รองรับการใช้งานสองซิมแบบ Dual 4G LTE เป็นถาดซิมสองสล็อตไม่มีที่ใส่ Micro SD card ตัวเครื่องยังคงมีพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้ (อันนี้คือดี ^^)
ใช้เทคโนโลยีการชาร์จ VOOC Flash Charge 3.0 จากพอร์ต USB Type C ด้านล่างเครื่อง แบตเตอรี่ภายในของ Reno ให้มาเป็น 3,765 mAh ชาร์จเต็ม 100% ได้ในเวลาประมาณไม่ถึง 80 นาทีเท่านั้นเองครับ ชาร์จไวมาก แต่เครื่องไม่ร้อนแม้จะใช้งานไปด้วยชาร์จไปด้วยครับ
อุปกรณ์ภายในกล่องให้มาครับ และกล่องสวยด้วย ทรงแนวยาวๆ ดูแพงตั้งแต่แพ็กเกจ ^^ มีมาให้ครบครับทั้งชุดชาร์จ VOOC Flash Charge 3.0 พร้อมชุดหูฟัง 3.5mm และเคสซิลิโคนใสกึ่งขุ่น ที่ออกแบบให้เข้ากันกับ Reno พอดี๊พอดี ^^
เอาแค่ตัวเครื่องภายนอกของ Reno ก็พูดว่า “พรีเมี่ยม” ได้เต็มปากเต็มคำแล้วละครับ เพราะไม่ใช่แค่การทำสี ไม่ใช่แค่งานออกแบบแปลกใหม่ แต่มาเป็นนวัตกรรมและกลไกของจริง มาพร้อมกับงานตัวเครื่องที่ให้ผิวสัมผัสระดับสูงจริงๆ
การใช้งานภายใน
Reno เป็นเครื่องสมาร์ทโฟนสเปคระดับ Mid-High End ครับ ไม่ใช่สเปคตัวท็อปแต่ก็ใกล้ๆ ใช้หน่วยประมวลผล Snapdragon 710 RAM 6GB และ ROM 256GB ถือว่าสเปคสูงในระดับเล่นเกมและใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้เพียงพออยู่แล้ว และด้วยหน้าจอเต็มตาสุดขอบขนาดนี้ เวลาใช้งานรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ไม่มีติ่งใดๆ เกะกะลูกตาเลยครับ
แต่ภายใน Reno ยังมีระบบ HyperBoost 2.0 ซึ่งเจ้าตัวนี้สำคัญครับ มันเข้าไปช่วยในทุกๆ ด้านของการทำงานเครื่องเลย ทั้ง FrameBoost ที่ใช้เพื่อตรวจจับ graphics cache หรือความผิดปกติของการทำงานต่างๆ แบบเรียลไทม์ หากมีคำเตือนใดๆ จากระบบ แจ้งความผิดปกติหรือหยุดการทำงาน ระบบตัวนี้จะเข้าไปจัดสรรทรัพยากรให้เพื่อแก้ปัญหาโดยอัตโนมัติ ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วจนผู้ใช้งานไม่รู้เรื่องเลยละครับ ^^ มันจะส่งผลช่วยปรับปรุง frame rate และความเสถียรของการเล่นเกม เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการเล่นเกมอีกด้วย และยังมีระบบ TouchBoost เป็นการวิเคราะห์และการเพิ่มประสิทธิภาพแบบพิเศษในด้านการรับรู้สัมผัส ให้ตอบสนองต่อการใช้งานในทุกๆ ด้านทันใจมากขึ้น
ใครได้ลองการพิมพ์คีย์บอร์ดบนเครื่อง Reno จะรู้ซึ้งถึงความเร็วที่ว่าเลยละครับ พิมพ์แชตมันส์มาก ดีดเอาดีดเอา
Reno ใช้ยูสเซอร์อินเตอร์เฟซ (UI) รุ่นใหม่สุดของ OPPO นั้นคือ ColorOS 6 ครอบทับระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie เป็นระบบที่ปรับแต่งมาให้เหมาะกับหน้าจอเต็มพื่นที่แบบนี้โดยเฉพาะครับ เวลาใช้งานจะรู้สึกนุ่มๆ การเปลี่ยนแปลงบนหน้าจอจะนิ่มๆ ^^ ดูมีการเคลื่อนไหวที่มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอด เห็นเรียบๆ แบบนี้ แต่มีการปรับแต่งเพื่อความสวยงามและฟังก์ชั่นด้านความสะดวกมากมายเลยละครับ
ในด้านบริการ ทาง OPPO ยกตัวเองเข้ามาสู่การบริการผู้ใช้ด้วย Cloud services เป็นพื้นที่เก็บข้อมูลสำรองได้แบบออนไลน์ สารองได้ทั้งข้อมูลรูปภาพ วิดีโอ ผู้ติดต่อ บุ๊กมาร์กของเบราว์เซอร์ และการบันทึกต่างๆ เช่นรหัสผ่าน Wi-Fi และข้อมูลส่วนตัวอื่น ทั้งหมดจะสามารถสำรองเอาไว้ที่ Cloud และเมื่อใช้โทรศัพท์เครื่องใหม่ เราก็สามารถดึงข้อมูลกลับมาใช้ได้ทันทีครับ
OPPO ยังออกแบบสโตร์สำหรับการติดตั้งแอพพลิเคชั่น เกม และธีมของพวกเขาเอาไว้ให้ต่างหาก ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดคอนเทนต์เหล่านี้ได้โดยตรงแบบไม่ต้องผ่าน Google Playstore อีกด้วย ก็เป็นระบบคลาวด์อีกรูปแบบที่ OPPO พร้อมให้บริการทุกท่านแล้วในวันนี้ครับ
มีฟังก์ชั่นด้านความสะดวกเช่น Smart Sidebar หน้าพิเศษที่สามารถเรียกใช้งานได้ตลอดเวลาทั้งในแนวตั้งและแนวนอน แค่เพียงสไลด์เรียกจากขอบจอข้างเครื่อง ก็จะเป็นการพื้นที่พิเศษที่ภายในมีชุดคำสั่งด่วนที่เราใช้งานบ่อยๆ เช่นการบันทึกหน้าจอทั้งแบบภาพนิ่งและบันทึกเป็นวีดีโอ รวมถึงแอพพลิเคชั่นและการใช้งานที่สำคัญซึ่งเราตั้งค่าไว้ได้ตามต้องการครับ
มีการปรับรูปแบบการสั่งงานปุ่มหลักของ Android ในรูปแบบใหม่ ใช้ Gesture สไลด์นิ้วสั่งงานแทนการทัช โดยมีให้เลือกใช้งานถึงสามแบบเลยครับ จะชอบแบบสไลด์นิ้วจากด้านล่าง หรือด้านข้าง หรือจะใช้ปุ่มเสมือนดั้งเดิมของระบบก็ได้เช่นกันครับ
รองรับการทำงานแบบแยกหน้าจอ ซึ่งประสิทธิภาพของ Reno ทำงานสองแอพได้สบายๆ ครับ เบาๆ ไม่แลคไม่กระตุกอะไรเลย หรือทำงานมันสามแอพเลยก็ยังไหว เช่นเล่นเกมไปด้วย แชทไปด้วย และยังเปิดแผนที่นำทางซึ่งสามารถทำงานซ้อนทับแอพอื่นได้อีกที รวมเป็นสามการทำงานพร้อมกัน ยังสบายๆ เลยครับ
ในด้านการเล่นเกมก็มีโหมดสำคัญ Game Space ใช้ในการรีดเร้นประสิทธิภาพเครื่องเพื่อนำมาเล่นเกมอย่างเต็มที่ พร้อมปรับรูปแบบการแจ้งเตือนต่างๆ ให้เหมาะสมขณะเล่นเกมด้วยครับ ผู้เล่นก็จะไม่ถูกขัดจังหวะในเวลาสำคัญให็หัวร้อนกันอีกต่อไป ^^
จากการทดสอบการเล่นเกม ตัว Reno เล่นได้ทุกเกมครับ เล่นได้ในระดับลื่นๆ ตอยสนองได้ไว ใช้งานเพื่อการเล่นเกมโดยตรงไม่มีปัญหาครับ หน้าจอชัดสีสวย แถมใหญ่เต็มตาไร้ขอบ
เอามาใช้งานด้านความบันเทิงเล่นเกมดูหนัง ฟินครับ ลำโพงเสียงดีมีมิติ แถมเสียงดังมาก รองรับการปรับแต่งเสียงด้วย Dolby Atmos ลำโพงเสียงดีจริงๆ ครับ เอาใช้ดูหนังในห้องได้เลย
ทดสอบใช้งานต่อเนื่องยาวๆ ทั้งเล่นเกม ทั้งดูหนัง เครื่อง Reno ไม่ค่อยร้อนนะครับ แม้จะชาร์จไปด้วยใช้ไปด้วยอุณหภูมิเครื่องก็ไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ อาจจะเพราะแผ่นกราไฟท์ภายในของเครื่อง Reno ทาง OPPO บอกว่ามีใส่เอาไว้ถึงสามชั้น เพื่อช่วยให้ตัวเครื่องกระจายความร้อนได้รวดเร็วและสม่าเสมอมากขึ้นครับ
ผลทดสอบต่างๆ
การจับสัญญาณ GPS ทำได้ไวมาก แม้จะอยู่ในอาคาร แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวกว่าที่คิดครับ เปิดทำงานต่อเนื่องกันได้ 7 ชั่วโมงแบตก็ยังไม่หมด และชาร์จกลับได้ไวด้วย VOOC 3.0 ครับ
กล้องถ่ายภาพ
Reno เป็นเครื่องที่มาพร้อมกล้องหลังคู่ความละเอียดกล้องหลักสูงถึง 48MP ใช้เซ็นเซอร์ของ SONY IMX 586 บวกกับกล้องระยะลึก 5ล้านพิกเซล มีทั้ง HDR ทั้ง AI ทำงานอัตโนมัติให้กับผู้ใช้ได้เองทั้งหมด
มีความสามารถกล้องของ OPPO มาครบ ทั้ง Ultra Night Mode 2.0 สำหรับการถ่ายภาพกลางคืน และ Dazzle Color mode 2.0 สำหรับคนชอบสีภาพสดและมีชีวิตชีวาครับ
เปิด(ซ้าย)และปิด(ขวา) Dazzle Color mode 2.0 ไม่มีแบบไหนดีกว่า อยากจะเปิดหรือปิดก็ตามใจครับ เขาทำมาเป็นตัวเลือกให้กับคนใช้
กล้องหน้าความละเอียด 16ล้านพิกเซล มีโหมด HDR ด้วยนะครับ ถ่ายภาพเซลฟี่ในที่แสงน้อยหรือย้อนแสงได้ไม่ต้องกลัวหน้าจมเลย มี AI คอยปรับแต่งให้ หรือจะปรับเองก็ได้นะครับ เลือกได้เลย หล่อได้แตกต่างกันถึง 100 ระดับ ^^ ถ่ายหน้าชัดเบลอได้ด้วยกล้องหน้าตัวเดียวครับ
กล้องของ Reno คุณภาพสูงครับ ภาพชัดมาก มี AI คอยจับซีนและแต่งกล้องให้อัตโนมัติ คนถ่ายแค่หยิบมาส่องสิ่งที่ต้องการจะถ่ายเท่านั้นพอครับ
จริงๆ ก็ต้องบอกว่า กล้องของ OPPO ในระยะหลังดีทุกรุ่นนั้นแหละครับ พัฒนามาไกลมาก จากเคยเด่นดังในเรื่องกล้องหน้า ตอนนี้การันตีได้เลยว่าดีหมดทุกกล้องครับ กล้องหน้า กล้องหลัง กล้องกลางคืน และยังรวมถึงกล้องซูม อย่างเช่นของรุ่น OPPO Reno 10X Zoom รุ่นพี่ของเจ้าตัวนี้ที่สามารถซูมไปได้ไกลถึงระยะ 60X เลยสำหรับซูมดิจิทัล แต่เจ้า Reno ตัวนี้จะซูมภาพได้แบบดิจิทัล 10 เท่านะครับ
จากที่ทดสอบการซูมแบบ 2X ซึ่งเป็นการซูมที่ไม่สูญเสียรายละเอียดของภาพ ทำได้ดีไม่ต่างจากการถ่ายธรรมดาเลยครับ
ส่วนการซูมแบบดิจิทัล ผมว่าคุณภาพการถ่ายมันทำได้มากถึงประมาณ 6X เลยนะครับ ด้วยซอฟท์แวร์และระบบกันสั่น ทำให้ผลลัพท์ของการซูม 6X ยังหวังผลได้แม้ไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้องช่วยครับ
โหมดภาพบุคคลหน้าชัดหลังเบลอ จะใช้ในการถ่ายคนตามชื่อโหมด หรือจะนำมาถ่ายวัตถุเพื่อให้เกิดความแปลกตาก็ทำได้เช่นกันนะครับ ภาพที่ออกมาสวยดีด้วย
โหมดกลางคืน ถ่ายง่ายเช่นเดิม เพิ่มเติมความสว่างให้กับฉากที่ถ่าย ยืนถ่ายด้วยมือภาพไม่เบลอ ไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องครับ แค่เข้าเมนูหน้า UI กล้อง แล้วเลือกโหมดถ่ายกลางคืนเท่านั้น ทุกอย่างที่เหลือ เครื่องจัดการให้เอง ^^
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดต่างๆ
สรุปท้ายรีวิว
จุดเด่นของ OPPO Reno คืองานออกแบบครับ ไม่ใช่แค่กลไกซ่อนกล้อง Pivot-Rising เท่านั้น แต่ OPPO ใส่ใจในทุกรายละเอียด ทั้งผิวสัมผัส การให้สี งานออกแบบรูปทรง และสำหรับรุ่นนี้ OPPO ออกแบบยกระดับใหม่ไปยันกล่องของมันเลยครับ
แต่ Pivot-Rising ก็คือไฮไลค์ กลไกงานประกอบระดับสูงแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ทุกค่ายอยากทำครับ ต้องวิจัย ค้นคว้า ออกแบบ ลองผิดลองถูกกว่าจะสำเร็จออกมาขายได้ มีไม่กี่รุ่นเท่านั้นครับที่ทำสำเร็จ และรุ่นนี้ก็ทำมาได้ดีและสวยมากๆ ด้วย
ภายนอกออกแบบสวย ภายในมีเทคโนโลยีและความปลอดภัยในระดับสูงครับ หน้าจอใหญ่สีสวยแต่ถนอมสายตา แบตเตอรี่ชาร์จไวด้วยระบบ VOOC 3.0 มาตรฐานมั่นใจได้เสมอ ระบบสแนกลายนิ้วมือบนหน้าจอที่แม่นยำ
ประสิทธิภาพเครื่องอยู่ในระดับมากพอจะใช้งานแอพพลิเคชั่นและเกมในระบบ Android ได้ลื่นไหลทั้งหมด หน้าจอแสดงผลใหญ่แต่เครื่องเล็กด้วย Panoramic full-screen 6.4 นิ้ว ขอบจอบางเฉียบ ลำโพงเสียงดังใช้งานเหมาะทั้งดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกมเลยครับ
ตัวนี้ Reno นับเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นกลางของ OPPO ที่เหยียบขึ้นไปชนกับรุ่นท็อปตัวอื่นได้สบายครับ ด้วยงานการผลิตและเทคโนโลยีที่มีอยู่ภายในของมัน
ใครชอบของหรู ดูดี มีเทคโนโลยีและประสิทธิภาพมากพอในการใช้งานทุกด้าน ตัวนี้น่าหยิบมาใช้มากเลยครับ