OPPO Reno12 Pro 5G มาพร้อม AI แบบอัดแน่น และกล้องคุณภาพสูง
คุณภาพยอดเยี่ยมครับ มีความฉลาดของ AI และคุณภาพกล้องถ่ายภาพที่สวยงาม การออกแบบตัวเครื่องบางเบาแต่ทนทาน ทำลวดลายและสีสันที่ดูหรูหราไม่เหมือนใคร
ประสิทธิภาพของชุดประมวลผลก็แรง ใช้เทคโนโลยีการรับสัญญาณที่ใหม่ที่สุด พร้อมใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ครับ เป็นสมาร์ตโฟนที่ครบเครื่องตามที่ผู้ใช้ต้องการอย่างแน่นอน
The Good
- มีฟีเจอร์ GenAI ที่ใส่เข้ามาเยอะมาก ออกแบบการมาได้อย่างฉลาด เรียกใช้งานได้สะดวกและคล่องตัว
- หน้าจอแสดงผลคุณภาพสูง Flexible AMOLED 6.7 นิ้ว รีเฟรชเรท 120Hz ออกแบบแทบจะไร้ขอบจอด้วยความโค้งที่มุมเพียงเล็กน้อย
- กล้องถ่ายภาพคุณภาพสูงมาก ทั้งตัวโมดูลชุดกล้องที่นำมาใช้ และซอฟท์แวร์ที่ทำงานร่วมกับ AI ถ่ายภาพออกมาได้สวยงาม
- ตัวเครื่องบางเบา ใช้การผลิตขั้นสูงมีความทนทาน ใช้กระจกจอ Corning Gorilla Glass Victus 2 เป็นรุ่นแรกของซีรี่ส์ กันน้ำกันฝุ่น IP65
- ประสิทธิภาพการประมวลผลแรง และประหยัดพลังงาน ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7300- Energy For Reno รุ่นแรกที่คัสตอมมาเพื่อใช้กับระบบของ OPPO โดยเฉพาะ
- รุ่นแรกของโลกที่ได้ใบรับรอง “High Network Performance” จาก TÜV Rheinland รับส่งสัญญาณไร้สายได้มีคุณภาพมากกว่าใคร
- มี AI LinkBoost ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของสัญญาณเครือข่าย, รองรับ BeaconLink และมีระบบ NFC ที่สามารถถือเครื่องใก้ลเครื่องอ่านได้ทุกทิศทาง
The Bad
- ไม่มีรูหูฟังบนตัวเครื่องโดยตรง
- ไม่มีชุดหูฟังแถมมาให้ภายในกล่อง
-
ความคุ้มค่าต่อราคา
-
ประสิทธิภาพ
-
วัสดุและการประกอบ
-
กล้องถ่ายรูป
-
ฟังก์ชั่นและประโยชน์ในการใช้งาน
OPPO Reno12 Pro 5G สมาร์ตโฟนรุ่นท็อปตัวโปรของซีรี่ส์ รุ่นนี้อัดมาด้วยฟีเจอร์ GenAI ในยุคสมัยใหม่ ใส่มาเต็มเครื่องเลยครับ พร้อมกับเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ที่อยู่ในระดับแนวหน้าของวงการสมาร์ตโฟนในแบบที่ครบมากๆ
ตัวเครื่องภายนอกสวยงาม ใช้เทคนิคการผลิตขั้นสูง ทั้งงดงามและมีความทนทานสูง มีความแรงด้วยการใช้ชิปเซ็ตคัสตอมรุ่นแรกของโลก MediaTek Dimensity 7300-Energy For Reno เทคโนโลยีการผลิตระดับ 4 นาโนเมตร ที่ออกแบบมาเพื่อสำหรับ Reno มาโดยเฉพาะ
นี่จึงเป็นสมาร์ตโฟนที่สมบูรณ์ที่สุดรุ่นหนึ่งของ OPPO เลยทีเดียวครับ เรามาดูกันในบทความนี้ว่า OPPO Reno12 Pro 5G จะมีอะไรน่าสนใจกันบ้างครับ กับราคาเปิดตัว 19,999 บาท
ฟีเจอร์ GenAI อัดแน่นอยู่ใน OPPO Reno12 Pro 5G
การเปิดตัวเข้าสู่ยุคใหม่ของ OPPO AI Phone เป็นการเปิดตัวออกมาด้วย OPPO Reno12 Seires 5G ฉะนั้นความสามารถในด้านนี้จึงถูกใส่เข้ามาในตัวรุ่นพี่ Reno12 Pro 5G เยอะมากครับ ส่วนใหญ่จะเป็นงานสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ทำอะไรได้สะดวกมากขึ้น เช่นความสามารถในด้านภาษาและด้านจัดการรูปภาพ
ในวันที่ผมทำการรีวิว จะมีหลายความสามารถในด้านภาษาที่ยังจำกัดอยู่แค่ในบางภาษาเท่านั้น ยังไม่รองรับภาษาไทย แต่ทาง OPPO จะมีการอัปเดตภาษาใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาให้ในอนาคตอย่างแน่นอนครับ วันนี้เราจะเอาความสามารถที่ OPPO Reno12 Pro 5G สามารถทำงานได้แล้วมาให้ดูกันก่อนครับ
ฟีเจอร์ AI กับระบบถ่ายภาพ และการจัดการรูปภาพ
ผมต้องบอกก่อนว่า OPPO Reno12 Pro 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมมากครับ ถ่ายภาพสวย ไฟล์ภาพออกมาดี จับโฟกัสและวัดแสงเงาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก แต่สิ่งที่พิเศษไปมากกว่าคุณภาพกล้องก็คือเรื่องของ “AI”
ตัวระบบ AI ที่ใส่เข้ามาจะช่วยแก้ไขความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในขณะที่เราถ่ายรูปครับ นอกจากจะแก้ความผิดพลาดแล้วยังเพิ่มความสวยงาม และเป็นเครื่องมือในการสร้างไอเดียภาพถ่ายในแบบใหม่ๆ ให้กับเราได้ด้วย เรามาดูกันว่าระบบ AI ที่เกี่ยวข้องกับภาพถ่ายของสมาร์ตโฟน OPPO Reno12 Pro 5G มีความสามารถอะไรบ้างครับ
ยางลบ AI 2.0
“การลบวัตถุบนภาพ” เป็นความสามารถที่ขาดไม่ได้สำหรับเครื่องมือ AI ในยุคสมัยใหม่ แต่ว่าเรากำลังจะพูดถึงเรื่อง “คุณภาพในการใช้งานด้วยครับ” เพราะยางลบ AI 2.0 ของ OPPO ไม่ใช่แค่ทำได้ แต่ทำได้อย่างดีและมีความฉลาดมาก
ทั้งระบบการตรวจจับและลบให้โดยอัตโนมัติ หรือเลือกพื้นที่ในการลบด้วยตัวเอง ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและเนียนตามากๆ พื้นที่ภาพที่ถูกลบจะถูกเสริมเข้าไปด้วยองค์ประกอบที่เนียนกริ๊บไปกับภาพได้ทันที
รองรับการลบวัตถุบนพื้นที่ขนาดใหญ่ เลือกวงได้เองตามต้องการ และตัว AI จะจับตัดวัตถุที่เราวงได้อัตโนมัติครับ จากภาพตัวอย่างด้านล่างที่เราทำการทดสอบมาให้ดู “มือที่ถือทาโก้” ทั้งแขนที่บังฉากด้านหลังและนิ้วมือของคนถือ ถูกลบหายไปและถูกแทนที่เข้ามาในสัดส่วนที่ถูกต้อง ทำได้ฉลาดมากๆ เราสามารถสร้างสรรค์ไอเดียแปลกๆ ได้อีกมากมายในการถ่ายภาพด้วยความสามารถนี้เลยครับ
หรือจะใช้คำสั่ง “ลบบุคคล” ตัว AI จะทำการแสกนภาพและแยกได้ด้วยตัวเองว่าบุคคลหลักของภาพคือใคร และผู้คนที่ต้องการจะลบอยู่ที่จุดไหนบ้าง เราสามารถเลือกลบได้ในแบบรายบุคคล หรือจะกดลบทีเดียวหายไปทั้งภาพเลยก็ได้ครับ ทำได้แม่นยำ
แม้จะยืนกันในจุดที่ฉากหลังมีรายละเอียดแตกต่างกัน แต่ก็สามารถลบและแก้ไขภาพออกมาได้เนียนตามากครับ
ยางลบ AI 2.0 เป็นระบบที่ได้รับการฝึกให้เรียนรู้จากภาพมามากกว่ำพันล้านรูป มีความสามารถเทียบได้กับซอฟต์แวร์แก้ไขภาพที่ระดับมืออาชีพใช้งาน มีความแม่นยำในการวิเคราะห์และแยกวัตถูได้มากถึง 98% ใช้การประมวลผลในระดับสูง ระบบลบภาพนี้จึงต้องอาศัยการทำงานผ่านระบบคลาวด์ไม่ได้ประมวลผลบนตัวเครื่องโดยตรงนะครับ ต้องมีสัญญาณเน็ตในการใช้งานเท่านั้น แต่ในด้านความปลอดภัยข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบออกจากเซิร์ฟเวอร์บนคลาวด์ทันทีหลังการประมวลผลเสร็จสิ้น
AI Clear Face
ตัวที่จะช่วยแก้ไขความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในขณะที่เราถ่ายภาพหมู่ด้วยกล้องหน้า ตัวระบบของกล้อง OPPO Reno12 Pro 5G จะสามารถระบุจำนวนคนในภาพ และสามารถเพิ่มคุณภาพของภาพถ่ายได้อัตโนมัติครับ โดยเมื่อเราถ่ายภาพเซลฟี่แบบหมู่ด้วยโหมดกล้องปกติกันแล้ว เมื่อเข้าไปในอัลบั้มภาพ จะเห็นสัญลักษณ์ “Group Photo Edit” อยู่มุมขวาบน
ฟีเจอร์ AI Clear Face จะช่วยเพิ่มความคมชัด ปรับปรุงรายละเอียดใบหน้า ทั้งความคมของอวัยวะบนใบหน้าต่างๆ ผม คิ้ว สามารถปรับแก้ได้มากสูงสุดถึง 10 คนภายในภาพเดียว และนี่เป็นการประมวลผลด้าน AI บนตัวเครื่องของ OPPO Reno12 Pro 5G เองด้วยครับ แต่ก็ยังทำได้ดี และทำได้ไวมากๆ
และในอนาคตเร็วๆนี้ ทาง OPPO จะทำการเพิ่มฟีเจอร์ “AI Best Face” เข้ามาให้ด้วยครับ เป็นระบบ AI ตัวใหม่ที่ทำงานในขั้นสูงกว่า เพราะมันจะสามารถระบุการแสดงออกทางสีหน้าของบุคคลภายในภาพได้ เช่น อาจจะมีใครที่เผลอกระพริบตาหรือหลับตาในขณะถ่ายภาพ ตัวระบบ AI Best Face จะสามารถทำการแก้ไขดวงตาให้กลับมาลืมตาตามปกติได้ด้วยครับ ^^
ภาพตัวอย่างการทำงานของฟังก์ชั่น AI Best Face
AI Studio
ใน OPPO Reno12 Pro 5G จะมีแอปพลิเคชั่นตัวนึงที่พรีโหลดมาให้แล้ว ชื่อว่า “AI Studio” แอปตัวนี้มีความสามารถในการแปลงรูปถ่ายจากใบหน้าของคุณ ให้เปลี่ยนเป็นอวตารรูปร่างต่างๆ จะเป็นแนวพอลล็อค, คุณชาย, คาวบอย หรือไซเบอร์พังก์ ตัวแอปทำให้เราได้หมดด้วยการใช้เทคโนโลยี GenAI
จะแปลงหน้าคนเดียว หรือจะแปลงหน้ากับเพื่อนสองคนก็ได้นะครับ และเราสามารถส่งลิงก์เชิญเพื่อนมาร่วมเล่น AI ตัวนี้ได้จากระยะไกลได้ด้วย
AI Studio จะเป็นแอปที่ต้องใช้โควต้าเหรียญในการใช้งานนะครับ แต่ว่าใครที่มีเครื่อง OPPO Reno12 Pro 5G จะได้รับเหรียญฟรีไปลองใช้เป็นจำนวน 5,000 เหรียญ ซึ่งในแต่ละครั้งก็จะใช้โควต้าเหรียญจำนวน 10 เหรียญเท่านั้นเอง เราเลยสามารถเข้าไปลองเล่นได้ฟรี 500 ครั้งเลยทีเดียว ^^
AI Toolbox
ตัวนี้สำคัญและฉลาดครับ เป็นการใช้พื้นที่พิเศษที่ซ่อนตัวอยู่ในแถบด้านข้างเป็นศูนย์กลางในการเรียกใช้งานฟีเจอร์ AI ตัวระบบจะทำการแสดงเครื่องมือ AI ที่เกี่ยวข้องขึ้นมาให้เองตามสิ่งที่เรากำลังใช้งาน เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปเปิดหาแอปหรือหาวิธีใช้งานฟีเจอร์ AI ต่างๆ ด้วยตัวเองเลยครับ
เช่น ถ้าเรากำลังโพสต์หรือเขียนคอมเมนต์บนโซเชี่ยลมีเดีย จะมีตัวไอคอน “AI Writer” แนะนำขึ้นมาใน AI Toolbox ทันที โดยตัวระบบจะทำการแสกนหน้าการใช้งานของเราในขณะนั้น แล้วให้เรากรอกเนื้อหาที่ต้องการจะโพส พร้อมกับกำหนดสไตล์การสื่อสารที่เราต้องการ ตัว AI Writer จะทำการคิดสำนวนคำให้กับเราได้เองแบบนี้เลยครับ ทั้งไอคอน ทั้งแฮชแท็ก มาครบ ^^
“AI Speak” ความสามารถในการอ่านบทความหน้าเบราว์เซอร์ด้วย AI ที่จะถูกแนะนำขึ้นมาในแถบด้านข้างได้เองทันทีในเวลาเราเปิดแอปเบราว์เซอร์ครับ
โดยจะสามารถทำงานคู่กันกับ “AI Summary” ที่สามารถสรุปย่อเนื้อหาใจความของเสียงที่อ่านจากหน้าจอ หรือเสียงที่มาจาก “AI Recording Summary” เช่นเสียงที่เราบันทึกไว้ระหว่างการประชุม หรือทำการบันทึกเสียงพูดของสิ่งใดก็ตามเอาไว้ด้วยแอปบันทึกเสียง เราสามารถใช้ AI มาถอดเสียงออกมาเป็นข้อความ และย่อใจความให้กระชับได้ครับ
ฟีเจอร์ GenAI ใหม่ของ OPPO จะอิงความสามารถที่ได้มาจาก Gemini Ultra ของ Google โดยในปัจจุบันฟีเจอร์เหล่านี้จะรองรับการแปลงคำพูดเป็นข้อความได้ยาวสูงสุด 45,000 อักขระ และรองรับการใช้ในภาษาจีน, อังกฤษ และฮินดีเท่านั้นครับ การรองรับภาษาจะถูกอัปเดตเพิ่มเติมต่อไปในอนาคต
ในกล่องแถบด้านข้างตรงนี้ยังเป็นจุดเรียกใช้การแปลภาษาจากภาพบนหน้าจอได้ด้วยนะ ไม่ว่าเราจะกำลังใช้งานแอปอะไรอยู่ก็ตามที่เป็นภาษาต่างประเทศ เราสามารถเรียกใช้ “แปลภาษา” จากกล่องด้านข้างนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องเซฟภาพหน้าจอจะอ่านข่าวต่างประเทศ หรือแปลประกาศจากเกมที่ไม่เข้าใจ ก็กดแล้วจะสลับหน้าไปแปลให้ทันทีครับ
และยังเป็นพื้นที่ในการเรียกใช้งาน File Dock ได้ด้วยนะครับ พื้นที่ฝากไฟล์ชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นข้อความ, ภาพถ่าย หรือวัตถุใดวัตถุหนึ่งบนภาพ ที่เราสามารถแยกตัดออกมาได้ง่ายๆ แค่การทัชค้างไว้บนวัตถุที่ต้องการตัดออกมาจากภาพ
เราสามารถตัดออกมาเพื่อทำเป็นสติ๊กเกอร์, ภาพหลังใส หรือเซฟเก็บไว้ในพื้นที่ File Dock เพื่อเอาไว้เรียกใช้ใหม่ในภายหลังก็ได้นะครับ
โดยความสามารถในการแยกวัตถูออกมาจากภาพ ก็เป็นหนึ่งในความสามารถด้านการจัดการรูปของ OPPO Reno12 Pro 5G ซึ่งยังมีอีกมากครับในการเล่นกับภาพถ่ายที่อยู่ในภายในเครื่อง
กล้องถ่ายภาพ
ไม่ใช่แค่ด้านซอฟท์แวร์และตัว AI เท่านั้นครับในเรื่องของการถ่ายภาพ เพราะตัวฮาร์ดแวร์กล้องของ OPPO Reno12 Pro 5G ก็เป็นเซนเซอร์กล้อวตัวระดับท็อปของวงการด้วยเช่นกัน
กล้องหน้าใช้เป็นกล้องความละเอียดสูง 50MP ระยะ 21mm ระบบโฟกัส CDAF + PDAF นี่คือคุณสมบัติของกล้องหลังชัดๆ ครับ จับโฟกัสได้คม ความละเอียดดี รุ่นนี้ภาพเซลฟี่จึงสวยมาก ส่วนกล้องหลังใช้กล้องตัวหลัก 50MP Sony LYT600 ระยะ 26mm ขนาดเซนเซอร์ 1/1.95″ All Pixel Omni-Directional PDAF มีกันสั่น OIS ในตัว ทำงานคู่กับกล้องหลักอีกหนึ่งตัว นั้นคือกล้อง Telephoto Samsung S5KJN5 ระยะ 47mm ความละเอียด 50MP และกล้องสุดท้ายเป็น Ultra Wide 112° ระยะ 16mm เป็นกล้องความละเอียด 8MP Sony IMX355
รองรับการถ่ายภาพมุมกว้าง 0.6 และการซูมแบบออฟติคัล 2x และการซูมแบบ 5x ภาพยังคงรายละเอียดได้อย่างสมบูรณ์ดีอยู่เลยครับ กล้องรุ่นนี้การถ่ายภาพที่การซูม 5 เท่าเป็นระยะที่หวังผลภาพสวยๆ ได้ครับ (ซูมสูงสุดแบบไฮปริดที่ 20x) โฟกัสรวดเร็ว การถ่ายภาพแบบ Snapshot ปรับความเร็วชัตเตอร์ให้สูงแต่ยังควบคุมความคมของภาพได้ดีมากครับ
โหมดที่ทำได้อย่างโดดเด่นก็คือโหมดพอรต์เทรต ที่มาพร้อมการซูมออปติคัล 2x ภาพบุคคลในสองระยะที่ทำออกมาได้คมทั้งคู่ ภาพเต็มตัวหรือครึ่งตัวก็ตัดโบเก้ได้สวยงาม ภาพออกมาดูคมมากเลยทีเดียวครับ
การตัดฉากหลังที่ฉลาดมากขึ้น โดยอาศัยทั้งตัวฮาร์ดแวร์โมดูลกล้อง และซอฟท์แวร์ระบบที่มีความฉลาดมากขึ้น ภาพหน้าบุคคลไฟล์ออกมาสวยมาก
มีความสามารถในการตัดสีฉากหลังให้เป็นขาวดำ “AI Color Portrait” และการเร่งโบเก้ฉากหลังให้เด่นมากขึ้นได้ด้วย “Bokeh Flare Portrait” ซึ่งทั้งสองโหมดจะรองรับการใช้งานทั้งในกล้องหลังและกล้องหน้าเลยนะครับ
ด้วยกล้องหน้าความละเอียดสูง และรองรับการซูม 0.8x, 1x และ 2x ทำให้การเซลฟี่ทำได้ในหลายระยะแม้จะถือด้วยมือตัวเอง มากับความสามารถ AI Portrait Retouching ในการปรับแต่งใบหน้าเนียนใสเหมือนผ่านโปรแกรมแต่งภาพมาให้เลยตั้งแต่หลังการถ่าย แน่นอนว่าใบหน้าดูเนียนแต่ยังดูเป็นธรรมชาติอยู่เช่นเดิมนะครับ เป็นกล้องหน้าที่ภาพแจ่มมาก ยังกับกล้องหลังเลยครับ ^^
ถ่ายเซลฟี่ได้สวยทั้งแสงกลางวัน และแสงในตอนกลางคืน เป็นตัวจบสายกล้องได้เลยครับ
ถ่ายภาพบุคคลในที่แสงน้อย เช่นแสงในอาคาร ปกติเป็นสภาพแสงที่ไม่ควรถ่ายเท่าไหร่ แต่สำหรับ OPPO Reno12 Pro 5G เอาอยู่ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก OPPO Reno12 Pro 5G
ตัวเครื่องภายนอก
OPPO Reno12 Pro 5G ใช้ดีไซน์ที่เพรียวบาง แต่ว่านี่เป็นเครื่องที่มีทนทานสูงมากนะครับ ฝาหลังผลิตจากกระจก มีพื้นผิวแบบริ้วคลื่น 3 มิติ โครงเครื่องทำจากโลหะผสม บางเพียง 7.4 มิลลิเมตรแต่มีความแข็งแกร่ง และน้ำหนักเบา โดยตัวเครื่องมีน้ำหนักเพียง 180 กรัม สำหรับสี Space Brown และหนัก 181 กรัม สำหรับสี Nebula Silver
เครื่องที่เห็นในบทความนี้ คือสีเงิน Nebula Silver โทนสีเงินที่ผสมม่วงอ่อน ผิวกึ่งเงากึ่งด้านใช้งานไม่มีรอยนิ้วมือ แม้จะดูว่ามีลวดลายเป็นริ้วคลื่นแต่ว่าฝาหลังจริงเป็นผิวเรียบ ออกแบบให้ดูพริ้วไหวเหมือน Nebula ซึ่งดูเข้ากันกับฝาหลังกระจกได้อย่างแปลกตาทีเดียวครับ
เก็บงานใส่ใจรายละเอียด ถือจับแล้วรู้สึกถึงความแข็งแรงของเครื่องได้เลย
อีกหนึ่งสีคือ สีน้ำตาล Space Brown ที่ดูคลาสสิกมากขึ้น ใช้ดีไซน์มันเงาแบบทูโทน แบ่งครึ่งออกเป็นสองส่วนด้วยริบบิ้นเมทัลลิกที่พาดในแนวนอนด้านหลังของตัวเครื่อง ทำออกมาดูสวยและมีสไตล์เป็นของตัวเองทั้งสองสีเลยครับ
OPPO Reno12 Pro 5G ใช้จอแสดงผลที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของ Reno เป็นหน้าจอ Flexible AMOLED ที่แทบจะไร้ขอบ มีขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2412 × 1080 รีเฟรชเรท 120Hz การออกแบบแบบใหม่ที่ใช้ความโค้งทั้งสี่มุมเพียงเล็กน้อยเพื่อขยายมุมมองและความแม่นยำในการทัชจอบริเวณปลายขอบ แต่ยังคงได้ความทนทานและการใช้งานในรูปแบบหน้าจอแบน สัมผัสได้แม่นยำ มีความทนทานสูง ติดฟิล์มหรือกระจกได้ง่าย และใช้เป็นกระจกจอ Corning Gorilla Glass Victus 2 เป็นรุ่นแรกของซีรี่ส์ด้วย
ให้ความสว่างสูงสุด 1200nits รองรับ HDR10+ ใช้เทคนิคการลดแสง PWM ที่มีความถี่สูง 2160Hz เป็นจอถนอมสายตาครับ แสงสีฟ้าต่ำและช่วยดูแลดวงตาในยามใช้งานในที่แสงน้อยได้ด้วย
หน้าจอตัวนี้รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอโดยตรง และถูกออกแบบให้เราสามารถทัชและปัดหน้าจอใช้งานได้อย่างปกติแม้ในขณะที่หน้าจอมีความชื้นหรือมีหยดน้ำ ซึ่งเป็นความสามารถของฟีเจอร์ “Splash Touch” ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่ใส่เข้ามาใน OPPO Reno12 Pro 5G รุ่นนี้ครับ
กันฝุ่นและน้ำในระดับ IP65 มาตรฐานผลิตดีมาก ผ่านการทดสอบความทนทานในมาตรฐานของ OPPO ทั้งทนต่อการกัดกร่อน ทนต่ออุณหภูมิ การนำความร้อน ทนต่อการตกและการกระแทกตามการใช้งานในชีวิตประจำวันที่อาจจะพบเจอได้บ่อย ภายในมีการออกแบบวัสดุกันกระแทกแบบใหม่ ปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อการดูดซับแรงกระแทกจากทุกมุมเครื่อง และติดตั้ง IR Blaster อินฟราเรดสำหรับใช้งานเป็นรีโมทคอนโทรลเครื่องใช้ไฟฟ้าได้อยู่ที่บริเวณขอบเครื่องด้านบน
ติดตั้งลำโพงคู่สเตอริโอ มีระบบเสียง Ultra Volume ที่จะเร่งเสียงให้ดังไปมากกว่าปกติ 300% เสียงดังฟังชัด เนื้อเสียงมีครับ ใช้ฟังเพลงดูหนังในห้องส่วนตัวสบาย
รองรับการเชื่อมต่อ 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ด เป็นถาดใส่ซิมแบบไฮปริดสองสล็อต รองรับการสลับใส่ micro SD Card ได้เพิ่มเติมสูงสุด 1TB ในสล็อตซิมที่สอง
แบตเตอรี่ภายในใส่มาให้ 5000mAh ใช้กระบวนการผลิตล่าสุดเพื่อบีบขนาดแบตเตอรี่ให้ได้มากที่สุด ใช้พื้นที่ที่เล็กที่สุดโดยที่ด้านความปลอดภัยยังเต็ม 100 ในมาตรฐาน SUPERVOOC ทำให้ตัวเครื่องมีความบาง และรองรับระบบชาร์จไว 80W SUPERVOOC สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ 49% ในเวลาเพียง 18 นาทีเท่านั้น ตัวเครื่องไม่ร้อน มีความปลอดภัยสูง และมีวงจรอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ยาวนาน สามารถคุมให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมกับการใช้งานได้ดีที่สุดถึงกว่าสี่ปีเลยครับ
อุปกรณ์ภายในกล่องจะมีเคสซิลิโคนที่เป็นลวดลายแนวตั้งแถมมาให้ กันกระแทกได้ในระดับหนึ่งแล้วครับ พร้อมกับที่ชาร์จ 80W SUPERVOOC และสายดาต้า USB Type-C
การใช้งานภายใน
OPPO Reno12 Pro 5G เป็นรุ่นแรกที่ได้ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7300- Energy For Reno ซึ่งเป็นชิปเซ็ตกระบวนการผลิตระดับ 4 นำโนเมตรแบบคัสตอม ที่ถูกปรับมาโดย MediaTek ที่ร่วมมือกับ OPPO โดยเฉพาะ
ปรับมาในด้านความสมดุลของประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน ออกแบบมาให้ใช้ร่วมกับ ColorOS 14.1 (ครอบทับบน Android 14) ที่ภายในมีเอนจิ้น Trinity ซึ่งอัลกอริทึมด้านระบบที่คอยจัดการและกำหนดการใช้ทรัพยากรของชุดประมวลผล, หน่วยความจำ และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล โดยกำหนดหน้าที่ของแต่ส่วนเอาไว้แบบละเอียดยิบ จะส่งผลออกมาให้เราเห็นเป็นความลื่นไหลและความเสถียรของระบบ OPPO ที่ไม่เคยมีปัญหาใดๆ ให้เราเห็นในการใช้งานเลยนั้นเองครับ
OPPO Reno12 Pro 5G ให้ RAM LPDDR4X มาขนาดใหญ่ครับ 12GB และสามารถขยายได้อีกสูงสุด 12GB เยอะมากทีเดียว มีเทคโนโลยี RAM-Vita ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ OPPO ที่จะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานของ RAM และลดขนาดการใช้พื้นที่ RAM ของแอปที่รันอยู่พื้นหลัง ทำให้แอปต่างๆ สามารถคงสภาพการเปิดใช้งานได้นานมากขึ้น และมีจำนวนที่เยอะมากขึ้นด้วยครับ ส่งผลให้เวลาเราสลับแอปทำงานจะมีความรวดเร็วมากกว่าปกติ
ประสิทธิภาพการทำงานแรงเหลือๆ ครับ ลื่นไหลและมีความเสถียรสูง ใช้งานกลางแจ้งจอชัดเสียงดี ดูคลิปดูวีดีโอนานๆ และตัวเครื่องไม่ร้อนให้ต้องรู้สึกกังวลใดๆ ครับ
ทดสอบใช้งานไม่เจอปัญหาใดๆ ชิปเซ็ตมีความแรงมากเกินพออยู่แล้ว ระบบทำมาเสริมกันด้วย ต่อให้เปิดเกมเล่นพร้อมกันสองเกมก็ยังลื่นเลยครับ
UI ทั้งหมดใน ColorOS 14.1 ได้รับการปรับรายละเอียดมาใหม่ ทั้งในด้านหน้าตา ความสามารถ และประสิทธิภาพความลื่นไหล มีโหมดสำหรับการเล่นเกมตัวใหม่ที่ออกแบบมาได้ดูดีกว่าเดิม เป็นศูนย์รวมข่าวสาร เรื่องของเกม แนะนำเกมน่าเล่น และศูนย์เติมเงินที่มีโปรโมชั่น และเป็นระบบที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพของเครื่องให้มีความลื่นไหลและประคองเฟรมเรทให้นิ่งได้ดีกว่าเดิมไปในตัวด้วย
โดยจะมีการเพิ่มความสามารถในการกำหนดให้เกมมีความสำคัญอย่างมากที่สุด ด้วยโหมด “แชมเปี้ยนชิป” โหมดนี้นอกจากจะจัดทรัพยากรเครื่องเพื่อมาใช้ในการเล่นเกมอย่างเต็มที่แล้ว ยังเพิ่มความเข้มงวดที่เราอาจจะหลุดออกจากหน้าจอเกมอย่างไม่ตั้งใจให้มากขึ้นด้วย จะปิดกั้นเกสเจอร์ต่างๆ เช่นพวกปุ่มนำทางของระบบ จะต้องตั้งใจกดออกจากโหมด “แชมเปี้ยนชิป” ซะก่อนเท่านั้นครับ ออกแบบมาเพื่อใช้ในขณะที่เรากำลังแข่งขัน หรือต้องการความสำคัญในการเล่นเกมเท่านั้นจริงๆ
สามารถกำหนดให้เกมที่เราเล่นสามารถสลับกลับมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว ในโหมด “การเรียกใช้งานด่วน” จะเป็นการรักษาแรมให้คงสภาพตัวเกมไว้ โดยจะไม่ปิดตัวลงไปแม้เราจะกดสลับออกจากเกมก็ตาม และยังมีเครื่องมืออีกหลายตัวที่จะทำให้เราเล่นเกมโดยไม่ถูกรบกวนและสนุกมากขึ้นครับ
การปรับแต่งหน้าจอแสดงผลก็ยกชุดมาใหม่ สามารถกำหนดค่ารีเฟรชเรทไว้ได้เป็นรายแอป ต้องการให้แอปไหนรันที่ระดับรีเฟรชเรทเท่าใด (60,90,120Hz) หรือจะเปิดอัตโนมัติให้ระบบเป็นคนตัดสินใจก็ได้นะ แต่ฟังก์ชั่นนี้น่าถูกใจคนชอบกำหนดอะไรด้วยตัวเองมากกว่าแน่ๆ ครับ ^^
จะเห็นตัวเลือกหน้าจอที่เราสามารถควบคุมการเปิดปิด HDR ได้เองแล้ว อยากจะได้ความสว่างสูงสุดหรือประหยัดพลังงานก็เลือกได้ครับ รวมถึงความสามารถที่ออกแบบสำหรับคนอยากถนอมสายตามากกว่าได้แสงจอจ้าๆ รุ่นนี้มีระบบการปรับแสงและย่านสีของภาพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้แบบตลอดทั้งวัน ทั้งแสงกลางวันและแสงกลางคืน หน้าจอจะปรับโทนให้กับเราได้อัตโนมัติครับ รวมถึงในช่วงเวลาที่เราควรจะเข้านอน “โหมดเวลาเข้านอน” ที่เราสามารถตั้งค่าให้ทำงานได้เองเมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ช่วยลดปัญหาการเข้านอนยากเพราะชอลติดเล่นโทรศัพท์ก่อนนอนได้ในอีกทางหนึ่ง
ระบบเสียงก็จัดเต็มมาเช่นกันครับ นอกจากความสามารถในการเร่งเสียงให้ดังได้ 300% แล้ว ตัวระบบยังสามารถปรับโปรไฟล์เสียงตามคอนเทนต์ที่ใช้งานได้ รองรับระบบ OReality Audio ซึ่งเป็นระบบเสียงที่ทาง OPPO Audio Lab พัฒนาขึ้นมาเอง ช่วยเพิ่มมิติเสียง และแนวรายละเอียดของเนื้อเสียงให้เราสามารถเลือกในแนวที่ถูกใจได้หลากหลายมากขึ้น
และยังมีระบบ HOLO Audio ระบบเสียงรอบทิศทางสำหรับใช้กับอุปกรณ์หูฟัง ที่เราสามารถเป็นผู้กำหนดทิศทางของมิติเสียงเซอร์ราวด์ได้เองครับ โดยจะมีให้เลือกทั้งแบบอัตโนมัติและกำหนดทิศทางของเราได้เองถ้ารู้สีกว่าการให้เสียงนั้นยังไม่ถูกใจ ซ้าย ขวา หน้า หลัง อยากให้เสียงจำลองอยู่ใกล้ไกลประมาณไหน ระบบ HOLO Audio สามารถเป็นตัวกลางในการปรับคุณภาพให้กับเราได้ครับ
นอกจากเสียงขาออกสำหรับผู้ใช้ตัวเครื่องแล้ว ยังมีฟีเจอร์ “เสียงที่ชัดเจน” สำหรับแต่งเสียงขาเข้าสำหรับการใช้งานไมโครโฟน เป็นความสามารถในการตัดเสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อม ให้เสียงของเราชัด ใส ฟังสบายหู ลดเสียงลมหรือเสียงจอแจจากผู้คนและท้องถนน โดยตัวระบบจะกรองเสียงที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้พูดให้น้อยลง
เพราะ OPPO ไม่ได้พัฒนามาแค่เรื่องประสิทธิภาพความแรงในการใช้งานเท่านั้นนะครับ แต่ในรุ่นนี้ยังพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยีสัญญาณเชื่อมต่อไร้สายมาอีกด้วย โดยการใส่เทคโนโลยีการสื่อสาร “AI LinkBoost” เจเนอเรชั่นใหม่เข้ามา เป็นความสามารถที่ช่วยให้การเชื่อมต่อกับเครือข่ายมีความแข็งแกร่งของสัญญาณ และสลับจับสัญญาณที่มีคุณภาพเชื่อถือได้เร็วมากขึ้น ด้วยการออกแบบเสาสัญญาณแบบเซอร์ราวด์ 360° ด้วยเสาอากาศ 9 เสา และเพิ่มประสิทธิภาพการเลือกเครือข่ายโดยใช้โมเดล AI เข้ามาช่วยทำการสลับเครือข่าย ให้มีคล่องตัวและต่อเนื่องมากขึ้น เวลาเราไปอยู่ในพื้นที่ที่มีความครอบคลุมของสัญญาณอ่อน เราก็ยังมั่นใจในการเชื่อมต่อที่จะคงที่ได้มากกว่าใครในเรื่องนี้ครับ
และ OPPO Reno12 Pro 5G ยังเป็นสมาร์ตโฟนที่เชื่อมต่อกับเครื่องอ่าน NFC ได้แบบ 360° อีกด้วยนะครับ ไม่จำเป็นต้องวางเครื่องในตำแหน่งที่ถูกต้องให้ใกล้กับเครื่องอ่าน NFC อีกต่อไป สามารถถือโทรศัพท์ไว้ได้ทุกทิศทาง วางระบบการเชื่อมต่อสัญญาณแต่ละอย่างมาดีมากครับ
ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ BeaconLink เข้ามาในรุ่นนี้ด้วย เป็นระบบที่ใช้การโทรด้วยเสียงผ่านสัญญาณ Bluetooth โปรโตคอลการสื่อสารที่พัฒนาขึ้นเองนี้จะเพิ่มความสามารถในการอัปลิงค์ของ Bluetooth ได้มากถึง 300% จนสามารถนำมาใช้โทรด้วยเสียงระหว่างอุปกรณ์ในระยะทางสูงสุด 200 เมตร ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีการเชื่อมต่อสัญญาณอื่นใดโดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่าเป็นสัญญาณติดต่อในแบบฉุกเฉินสำรองในอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้ครับ
เพราะหลังจากที่ OPPO ได้ปรับปรุงซอฟต์แวร์ด้านการสื่อสาร หลังทำการทดสอบจากภาคสนามในสถานที่หลายแห่งทั่วโลก และด้วยเหตุนี้ OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G จึงกลายเป็นสมาร์ตโฟนซีรี่ส์แรกของโลกที่ได้ใบรับรอง “High Network Performance” จาก TÜV Rheinland ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงคุณภาพการใช้งานในด้านเครือข่ายที่ไม่ธรรมดา
โดยการทดสอบของ TÜV Rheinland สำหรับมาตรฐาน High Network Performance ยกตัวอย่างได้แก่ :
- ความเร็วในการส่งข้อมูลเร็วขึ้นในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านและมีช่องสัญญาณเครือข่ายไม่เพียง
- การกู้คืนสัญญาณทำได้เร็วขึ้นเมื่อออกจากพื้นที่ที่มีสัญญาณอ่อน เช่น ออกจากลิฟต์ หรืออยู่ในชั้นใต้ดิน
- ลดความล่าช้าของสัญญาณเครือข่ายลงอย่างมาก เมื่อทดสอบใช้แอปที่ต้องการข้อมูลจำนวนมากพร้อมๆ กัน
- การสลับระหว่างเครือข่ายมือถือและเครือข่าย Wi-Fi ทำได้เร็วขึ้น
- เพิ่มความเร็ว Wi-Fi เป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับโทรศัพท์คู่แข่งเมื่อลองเชื่อมต่อทั้ง Wi-Fi และ Bluetooth พร้อมกัน โดยการลดการรบกวนของสัญญาณ Wi-Fi และ Bluetooth ให้เหลือน้อยที่สุด
- การระบุตำแหน่งแม่นยำยิ่งขึ้นเมื่อใช้ Google Maps ในเขตเมืองที่มีผู้คนหนาแน่น
ในส่วนของการปรับแต่งด้านความสวยงามของ UI ก็ยังใส่มาให้ครบเช่นเคยครับ ทั้งธีม, สีเมนู, เอฟเฟ็กต์อนิเมชั่นการสแกนนิ้ว และการปรับหน้าตา UI ต่างๆ
รวมถึงความสามารถด้านความปลอดภัย มีระบบการสแกนตัวเครื่องมาให้ ระบบล็อคแอป, ซ่อนแอป, ตู้เซฟส่วนตัวที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยซึ่งล็อคไว้ด้วยรหัสผ่าน และความสามารถในการ “โคลนระบบ” จะเหมือนเป็นการแยกสมาร์ตโฟนให้กลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องเลย ใช้งานคนละปัญชี ใช้หน่วยความจำคนละส่วน ถูกแบ่งแยกไว้ด้วยรหัสหรือลายนิ้วมือที่เราระบุไว้โดยเฉพาะ
ผมชอบความสามารถใหม่ตัวนึงใน OPPO Reno12 Pro 5G ครับ จะเป็นความสามารถที่อยู่ในหน้า Recent App เราสามารถกด “ซ่อนเนื้อหา” ของแอปที่เราเปิดไว้ได้ครับ ไม่ให้คนมองมาเห็นว่าเราเนื้อหาของแอปที่เราเปิดเอาไว้ จะโดนปิดเป็นหน้าขาว เพราะมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่สำคัญนะ ^^
จะเห็นว่าคุณภาพยอดเยี่ยมครับ มีความฉลาดของ AI และคุณภาพกล้องถ่ายภาพที่สวยงาม การออกแบบตัวเครื่องบางเบาแต่ทนทาน ทำลวดลายและสีสันที่ดูหรูหราไม่เหมือนใคร
ประสิทธิภาพของชุดประมวลผลก็แรง ใช้เทคโนโลยีการรับสัญญาณที่ใหม่ที่สุด พร้อมใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ครับ เป็นสมาร์ตโฟนที่ครบเครื่องตามที่ผู้ใช้ต้องการอย่างแน่นอน
ราคาและโปรโมชั่น
OPPO Reno12 Pro 5G เปิดจำหน่ายในราคา 19,999 บาท
- ลูกค้าที่จองสินค้าในวันที่ 28 มิถุนายน – 31 กรกฏาคม 2567 จะได้รับของสมนาคุณเป็น OPPO E-VIP Card เเละ OPPO AI Gift Box
1.OPPO E-VIP Card สิทธิการประกันจอเเตก จํานวน 1 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี
- การประกันจอเเตก รุ่น OPPO Reno12 Pro(CPH2629) มูลค่า 8,000 บาท
- การประกันจอเเตก รุ่น OPPO Reno12(CPH2625) มูลค่า 6,500 บาท
2.OPPO AI Gift Box มูลค่า 2,999 บาท ประกอบด้วย ลําโพงบลูทูธ, กระเป๋าผ้า, แก้วนํ้าเปลี่ยนสี (เมื่อใส่นํ้าเย็น หรือ นํ้าเเข็ง)