realme 13+ 5G และ 13 5G สมาร์ตโฟนแรง คุ้มราคา เต็มประสิทธิภาพด้วย GT Mode
ประสิทธิภาพดีคุ้มกับราคาจำหน่ายทั้งสองรุ่น ทาง realme ออกแบบเฉลี่ยความสามารถของเครื่องมาให้มีคุณภาพในทุกด้าน ไม่ได้เน้นไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ชิปเซ็ตแรงด้วย Dimensity 7300E และ 6300 แรมใหญ่ 12GB และขยายได้อีกสูงสุดถึง 14GB รวมเป็น 26GB ซึ่งถือว่าใหญ่มากๆ พร้อมใส่ฟีเจอร์สำคัญมาในระบบอย่าง GT Mode และฟีเจอร์ AI ในด้านที่ช่วยให้การใช้งานต่างๆ มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
แรง! คุ้มกับราคา ตัวเครื่องออกแบบได้สวยงาม มีความทนทาน ได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP65,IP64 ลุยได้ทุกที่ยันสงกรานต์ปีหน้า กล้องถ่ายภาพ 50MP ที่ติดตั้งกันสั่น OIS มาให้ คุณภาพการถ่ายหวังพึ่งได้ในเวลาไปท่องเที่ยว
แบตเตอรี่อึด ชาร์จไวและมาตรฐานความปลอดภัยสูง เป็นระบบชาร์จ SUPERVOOC 80W และ 45W มีอายุแบตเตอรี่ที่จะใช้งานไปได้อีกยาวนาน รองรับรอบการชาร์จเกิน 1000 รอบ
ได้หน้าจอใหญ่ สีสันสดใส รีเฟรชเรทสูง และถนอมสายตา ติดตั้งลำโพงคู่สเตอริโอเสียงชัดเจนมาให้ทั้งสองรุ่น ฉะนั้นทั้งด้านภาพและเสียงถือว่าสอบผ่านเรียบร้อยทั้งหมด ครบถ้วนสมบูรณ์ วางสเปกเอาไว้ดีกว่ามาตรฐานทั่วไปที่สมาร์ตโฟนในราคากลุ่มนี้จะมีให้
The Good
- ประสิทธิภาพดีคุ้มกับราคาจำหน่าย ชิปเซ็ตแรงด้วย Dimensity 7300E และ 6300
- RAM 12GB และขยายได้อีกสูงสุดถึง 14GB รวมเป็น 26GB ถือว่าใหญ่มาก
- คร้้งแรกของ Number Series ที่ใส่ระบบ GT Mode เข้ามาช่วยให้การทำงานต่างๆ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ตัวเครื่องสวย มีความทนทาน ได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP65 และ IP64
- กล้องถ่ายภาพ 50MP ที่ติดตั้งกันสั่น OIS มาให้
- ระบบชาร์จ SUPERVOOC 80W และ 45W ปลอดภัย และมีอายุแบตเตอรี่ใช้ได้ยาวนาน
- ติดตั้งลำโพงคู่สเตอริโอเสียงชัดเจนมาให้ทั้งสองรุ่น
The Bad
- ฟังก์ชั่นกล้องถ่ายภาพมีให้มาไม่เยอะ
- ไม่มีชุดหูฟังแถมมาให้ภายในกล่อง
-
ความคุ้มค่าต่อราคา
-
ประสิทธิภาพ
-
วัสดุและการประกอบ
-
กล้องถ่ายรูป
-
ฟังก์ชันและประโยชน์ในการใช้งาน
realme 13+ 5G และ realme 13 5G สองสมาร์ตโฟนราคาดีที่ให้คุณสมบัติมาแบบครบๆ สเปคคุ้มราคา และแรงได้มากกว่าด้วยตัวช่วยเร่งประสิทธิภาพ GT Mode ที่ถูกใส่เข้ามาเป็นครั้งแรกในนัมเบอร์ซีรี่ส์ของเรียลมี
แม้ทั้งสองรุ่นจะเปิดตัวออกมาภายใต้ชื่อซีรี่ส์เดียวกัน แต่ก็จะมีความแตกต่างกันอยู่มากพอสมควรครับ ซึ่งในรีวิวนี้ผมจะพามารู้จักจุดดีจุดเด่นของทั้งสองรุ่น และความแตกต่างของทั้งสองรุ่นให้ได้รู้กัน โดยจะขอเริ่มจากราคาจำหน่ายในประเทศไทยกันซะก่อน ว่ามีรุ่นใดและสีใดบ้างที่จำเข้ามาจำหน่ายครับ
- realme 13+ 5G มีให้เลือกสามสี Victory Gold, และ Dark Purple เปิดตัวออกมา 2 รุ่น 12GB+256GB) ราคา 11,999 บาท และ 12GB+512GB ราคา 13,999 บาท
- realme 13 5G มีให้เลือกสองสี Speed Green และ Dark Purple เปิดตัวออกมาในรุ่น 12GB+256GB ราคา 8,999 บาท
ตัวเครื่องและการออกแบบ
เครื่องทั้งสองรุ่นการออกแบบภายนอกดูคล้ายกัน และมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่สังเกตแยกได้ไม่ยากโดยตรงบริเวณสันขอบเครื่องด้านหลัง ถ้าเป็นตัว realme 13+ 5G จะมีมุมโค้งที่ฝาหลังเล็กน้อย ส่วน realme 13 5G จะเป็นสันเหลี่ยมตัดฉากกับฝาหลังไปเลย
realme 13+ 5G ใช้โครงสร้างจากโลหะอลูมิเนียมหล่อชิ้นเดียว มีความแข็งแรงและถูกผลิตมาในมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP65 เป็นรุ่นพี่ที่ใช้การผลิตที่ดีมากครับ
สำหรับ realme 13 5G จะะผลิตมาในมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP64 ถือว่าคุณภาพก็ไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่ มาตรฐานกันน้ำระดับนี้ดีเกินราคาค่าตัวไปพอสมควรแล้วละครับ
ตัวกรอบเลนส์กล้องจะทำมาแตกต่างกัน realme 13+ 5G จะสกรีนข้อมูลกล้อง 50MP ไว้ที่บริเวณขอบรอบนอกของโมดูลกล้องเอาไว้ แต่ จะมีการสกรีน 50MP บนกึ่งกลางชุดกล้องหลังเอาไว้แทน
นอกจากนั้นทั้งคู่ดูคล้ายกันมากครับ โดย realme 13+ 5G และ realme 13 5G จะมีน้ำหนักตัวเครื่อง 185g และ 190g และบางเพียงแค่ 7.6mm และ 7.79mm ตามลำดับ จะเห็นว่าเป็นเครื่องที่บางและค่อนข้างเบาทั้งคู่ครับ
วัสดุฝาหลังเป็นพลาสติกผิวสัมผัสด้าน พื้นผิวทนต่อการสึกหรอและช่วยป้องกันการเกิดรอยขีดข่วน ไม่เกิดคราบมันหรือรอยนิ้วมือให้ต้องเช็ดกันบ่อยๆ ทำลวดลายคล้ายเส้นสายฟ้าเอาไว้บนฝาหลัง เพิ่มความสวยงามและกันลื่นหลุดมือ สะท้อนกับเงาแสงจะยิ่งเห็นลวดลายได้ชัด เคลือบขอบตัวเครื่องเอาไว้เป็นสีโทนเดียวกับฝาหลังทั้งหมดฃ
กรอบกล้องหลังแบบ Speedy Curve เลียนแบบทางโค้งของสนามรถแข่ง จะสังเกตว่าเครื่องรุ่นนี้ใช้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากสิ่งที่สื่อถึงความเร็วเป็นหลัก ทั้งลายฝาหลังและกรอบเลนส์กล้อง บ่งบอกถืงนิยามของรุ่น “Speed to Victory”
หน้าจอแสดงผลของทั้งสองรุ่นจะแตกต่างกันในด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจน โดยรุ่นพี่ realme 13+ 5G จะให้หน้าจอมาเป็น E4 AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว OLED E-sport 120Hz ความละเอียด FHD+ ความสว่างสูงสุด 2000nits Contrast Ratio 6000000:1 และรองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอโดยตรง ซึ่งถือว่าเป็นหน้าจอคุณภาพที่สูงมากพอตัว และรองรับการแสดงผลภาพแบบ Pro-XDR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของการถ่ายภาพและแสดงผล HDR ชนิดพิเศษของทาง realme ใส่เข้ามาด้วยครับ
ส่วนหน้าจอของรุ่นน้อง realme 13 5G จะให้เป็นจอ LCD ขนาดใหญ่ 6.72 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 120Hz ความสว่างสูงสุด 580nits Contrast Ratio 1500:1 และ realme 13 5G จะใช้ที่สแกนลายนิ้วมือตรงด้านข้างเครื่อง ตรงปุ่มพาวเวอร์ไม่ใช่บนหน้าจอเหมือนเครื่องรุ่นพี่ครับ
ทั้งสองรุ่นติดตั้งกล้องหน้าความละเอียด 16MP เอาไว้ให้เท่ากัน รองรับการสแกนใบหน้าเข้าใช้งานได้ทั้งคู่
ส่วนด้านระบบเสียงใช้เป็นลำโพงคู่สเตอริโอทั้งสองรุ่นด้วยเช่นกัน เสียงดังชัดมากครับ มีมิติและเนื้อเสียงที่ไม่แตกแม้จะเปิดเสียงดังสุด
และรุ่น realme 13 5G ยังมีความสามารถในการเร่งเสียงให้ดังขึ้นได้มากกว่าปกติ 200% ใส่เข้ามาให้ด้วย จึงมีความดังของเสียงลำโพงที่ดังมากขึ้นไปอีกหนึ่งสเตปครับ และยังคุมเสียงได้ดี ไม่แหลมแตกจนฟังหนวกหูไม่รู้เรื่อง
แบตเตอรี่ภายในให้มา 5000mAh ทั้งคู่มีแบตที่ใหญ่และใช้พลังงานน้อย อึดมากพอที่จะใช้งานได้ข้ามคืนในวันที่ใช้ทั่วไปแบบเบาๆ หรือจะเปิดหน้าจอทำงานต่อเนื่องก็ยังอยู่ได้นานกว่า 7 ชั่วโมงครับกว่าแบตจะหมด
realme 13+ 5G มาพร้อมกับเทคโนโลยีการชาร์จไว 80W SUPERVOOC ชาร์จไฟได้ไวมาก สามารถชาร์จไฟเต็มได้ในเวลาประมาณ 46 นาทีเท่านั้น หรือแวะชาร์จแค่ 18 นาทีก็ได้แบตกลับมาแล้ว 50% และตัวแบตยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน รองรับรอบการชาร์จได้ถึงกว่า 1,000 รอบ โดยที่ประสิทธิภาพของตัวแบตเตอรี่จะยังอยู่ไม่ต่ำกว่า 80% หรือคิดเป็นการชาร์จทุกวันก็อยู่ได้นาน 3 ปีเลยทีเดียว
realme 13 5G จะรองรับเทคโนโลยีการชาร์จไวที่ 45W ถือว่าให้คุณภาพการชาร์จที่ดีมากแล้วในระดับราคานี้ เพราะนอกจากจะชาร์จได้ไวแล้วยังมีความปลอดภัยสูงเพราะเป็นเทคโนโลยี SUPERVOOC และยังมีอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ยาวนานมากๆๆๆ โดยจะรองรับรอบการชาร์จได้มากถึง 1,600 รอบเลยทีเดียวครับ หรือถ้าใช้งานทุกวันก็ยังอยู่ได้นานมากกว่า 4 ปี โดยที่แบตเตอรี่ยังไม่เสี่อมสภาพลงไปต่ำกว่าระดับ 80%
ทั้งคู่จะรองรับการใส่ซิม 5G ใช้งานได้ทั้งสองสล็อต แต่ realme 13+ 5G จะไม่รองรับการใส่ microSD Card เพิ่มนะครับเพราะให้มาเป็นแบบสองสล็อตซิม ส่วนตัว realme 13 5G จะให้ช่องใส่ซิมมาแบบไฮปริด สลับใส่ microSD Card ได้ในสล็อตซิมที่สองครับ
อุปกรณ์ภายในกล่องก็จะมี เคสใสซิลิโคน, สายดาต้า USB Type-C และที่ชาร์จตรงตามเทคโนโลยีของรุ่น นั้นคือที่ชาร์จ 80W SUPERVOOC และ 40W SUPERVOOC สำหรับ realme 13+ 5G และ realme 13 5G ตามลำดับนั้นเองครับ
การใช้งานภายใน
realme 13+ 5G จะใช้ชิปเซ็ต Dimensity 7300E (Energy) ชิประดับ 4 นาโนเมตร 8 Core (4x Arm Cortex-A78 2.5GHz,
4x Arm Cortex-A55) ให้แรมมาขนาดใหญ่มาก 12GB และยังสามารถขยายแรมได้อีกด้วยเทคโนโลยี DRE (Dynamic RAM Expansion) ที่รองรับการขยายสูงสุดได้ถึงอีก 14GB ทำให้ได้แรมรวม 26GB ถือว่าเกินจะพอใช้ในเรื่องของขนาดครับ และใส่หน่วยความจำภายในแบบ UFS 3.1 มาในขนาด 256GB
สเปคระดับนี้ของ realme 13+ 5G ทำคะแนน AnTuTu ได้มากกว่า 750,000 ถือว่าแรงมากพอที่จะใช้งานทั่วไปได้อย่างสบายเหลือๆ และใช้ในการเล่นเกมได้ทุกเกมแบบลื่นไหลแล้วครับ
ส่วน realme 13 5G จะใช้ชิปเซ็ต Dimensity 6300 ชิประดับ 6 นาโนเมตร 8 Core (2X Arm Cortex-A76 2.4GHz,
6X Arm Cortex-A55 up to 2.0GHz) รุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายจะให้ RAM มาขนาด 12GB (แต่รุ่นที่ได้มารีวิวเป็นรุ่นขนาด RAM 8GB ที่สามารถขยายแรมได้อีก 8GB ทำให้ได้แรมรวม 8+8 = 16GB) และให้หน่วยความจำภายในแบบ UFS 2.2 มาในขนาดใหญ่เท่ารุ่นพี่ 256GB
สามารถทำคะแนนทดสอบบน AnTuTu ได้ถึง 460,000 ด้วยสเปคระดับนี้กับราคาที่เปิดจำหน่ายไม่เกิน 9,000 บาท ถือว่าโดดเด่นมากด้วยเช่นกัน เรียกว่าคุ้มกับราคา ให้การใช้งานที่อยู่ในระดับแรงมากเพียงพอในทุกด้านแบบไม่ติดขัด
ระบบภายในรันดัวย Android 14 ครอบทับด้วย realme UI 5.0 และมีการติดตั้งฟีเจอร์ GT Mode ซึ่งถูกใส่เข้าครั้งแรกใน Number Series เมื่อเราเปิดใช้งานโหมด GT ขึ้นมาแล้ว ตัวเครื่องจะถูกเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงที่สุด ปลดล็อคลิมิต เพิ่มความเร็ว แต่จะแลกมากับการใช้พลังงานของแบตเตอรี่ที่เพิ่มมากขึ้น
จากที่ทดสอบบน realme 13+ 5G บนโหมด GT ทำให้เราสามารถเล่นเกม MOBA ได้เต็ม FPS ที่ตัวเกมจะเปิดให้ตั้งค่าได้ อย่างเช่นทดสอบบน LOL จะรันได้นิ่งๆ ที่ประมาณ 90fps แทบไม่มีตกหรือแกว่งไปต่ำกว่า 85fps เลยแม้แต่ในจังหวะออกสกิล
ส่วน Mobile Legend จะเปิดให้ตั้งค่าได้สูงกว่า สามารถไปวิ่งได้นิ่งๆ ที่ 110-120FPS เลยทีเดียวครับ ภาพสมูธมากๆ
และในเกม 3D อย่าง PUBG ลองเปิดกราฟิกระดับสูงแล้ว เปิดภาพแบบ HDR HD ก็ยังราบลื่นได้ในเฟรมเรท 60Fps ไม่ตกหรือสะดุด เล่นเกมลื่นมากสำหรับ realme 13+ 5G งบแค่นี้ถือว่าเป็นตัวจบได้เหมือนกันนะครับสำหรับสายเกม
ฟังก์ชั่นภายในระบบก็จะมีตัว AI เข้ามาคอยควบคุมการทำงานของ CPU และ RAM เพื่อจัดสรรทรัพยากรเครื่องให้เหมาะสมในขณะที่เราเรียกใช้งานเกมอยู่เสมอ เช่นการจัดสรร RAM ให้พร้อมสำหรับเล่นเกมที่เรากำหนด เพื่อให้ตัวระบบรักษาสถานะการทำงานของเกมนั้นในพื้นพลังโดยที่ไม่ถูกปิดตัวลงไป เปิดสลับกลับไปมาเล่นได้ในทันทีไม่ต้องรอโหลดใหม่ รองรับการระบุได้ถึง 7 เกมในพื้นหลัง
หรือความสามารถในการให้ระบบคอยอัปเดตเวอร์ชั่นเกมให้เราอยู่เสมอ มันจะถูกตรวจสอบเวอร์ชั่นใหม่โดยอัตโนมัติในพื้นหลัง เพื่อให้ไม่ต้องรอโหลดการอัปเดตในเวลาที่เราอยากจะเล่น
และทั้งสองรุ่นยังมีการติดตั้งชุดระบายความร้อนแบบ Stainless Steel Vapor Cooling System มาให้ เป็นเทคโนโลยีการออกแบบที่ค่อนข้างล้ำหน้าในวงการ โดยการใช้สแตนเลสที่สามารถนำความร้อนได้สูงกว่ากราไฟต์ทั่วไปได้ถึงสองเท่า มาช่วยลดอุณหภูมิของ CPU พอสามารถรักษาอุณหภูมิตัว CPU ได้มากขึ้น ก็จะทำงานได้คงที่มากขึ้น ส่งผลให้อัตราเฟรมขณะเล่นเกมมีความเสถียรมากขึ้นตามไปด้วยน้้นเองครับ
และขนาดของชุดระบายความร้อนใน realme 13+ 5G ก็มีขนาดที่ใหญ่มากถึง 6050 ตารางมิลลิเมตร ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่มากที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้เลยครับ ใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 37% (ส่วนที่ติดตั้งในรุ่น realme 13 5G จะมีขนาดที่ 2249 ตารางมิลลิเมตร)
ตัวเครื่องไม่มีความร้อนสะสมให้รู้สึกเป็นปัญหา แม้จะเล่นเกมต่อเนื่องในอุณหภูมิห้องต่อเนื่องกว่า 2 ชั่วโมง เทียบกับการใช้สมาร์ตโฟนในเกรดประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ถือว่ารักษาอุณหภูมิได้ดีกว่าค่อนข้างชัด
ลองวัดอุณหภูมิในขณะใช้งาน ส่วนใหญ่จะไปแตะอยู่ที่ไม่เกิน 40 องศา ยิ่งถ้าใช้งานในอุณหภูมิห้องผมที่เปิดแอร์อยู่เป็นประจำ อุณหภูมิยิ่งต่ำตลอดเวลา ประมาณ 30 กว่าๆ เท่านั้นเอง
ส่วนตัวรุ่นน้องก็มีประสิทธิที่คุ้มกับราคาไม่ต่างไปเลยนะครับ ราคาประหยัดกว่า แต่ชิปเซ็ต Dimensity 6300 ก็แรงไม่ธรรมดา เมื่อเปิดโหมด GT ก็จะรันเกมส่วนใหญ่ได้นิ่งๆ ที่ 60FPS ถือว่าเล่นได้สวยสบายตาแล้ว เทียบกับราคาแล้วก็ถือว่าคุ้มอยู่ดีครับ
ทั้งความไหลลื่น ทั้งคุณภาพหน้าจอ และลำโพงคู่สเตอริโอ ใช้งานด้านความบันเทิงกันสนุกครับ เพราะระบบเสียงทำมาได้ดีด้วย ลำโพงคู่ให้เสียงที่กว้างและมีมิติ สามารถปรับพรีเซ็ตเสียงได้อัตโนมัติจากความสามารถ OReality Audio ที่อยู่ในการตั้งค่า จะเลือกเองหรือให้ระบบคอยปรับให้ก็ได้ครับ
และถ้าใครใส่หูฟังก็จะสามารถใช้ HOLO Audio สำหรับระบบเสียงรอบทิศทาง ที่เราสามารถปรับให้ทิศทางตรงกับการรับรู้ของเราได้สมจริงมากขึ้น ปรับแต่งทิศทางเอง หรือจะใช้ที่ระบบทำมาให้เรียบร้อยแล้วก็ได้เช่นกันครับ โหมดนี้จะช่วยเพิ่มความสนุกในการเล่นเกมได้มากขึ้นโดยเฉพาะเกม FPS ที่ต้องอาศัยการฟังเสียงของศัตรู
ในระบบช่วยเหลือผู้เล่นเกม นอกจากฟีเจอร์ GT Mode แล้ว ยังมีอีกเยอะนะครับ ทั้งฟิลเตอร์ที่จะเพิ่มเข้าไปในจอภาพขณะที่เราเล่นเกม เพื่อปรับคอนทราสต์และความอิ่มตัวของสี, ทำให้เห็นรายละเอียด เพิ่มความได้เปรียบในการเล่นเวลาศัตรูซ่อนตัวอยู่ในที่มองเห็นยากเป็นต้น หรือการใช้ตัวเปลี่ยนเสียงของเราเองเพื่อเพิ่มความสนุก ในการสนทนาขณะพูดกับเพื่อนในขณะเล่นเกม
ทั้งหมดสามารถเรียกใช้ได้แค่เพียงสไลด์นิ้วจากขอบจอด้านข้าง เรียกใช้ได้ตลอดเวลาครับ
ฟังก์ชั่นด้านการเล่นเกมจัดเต็มมาให้เลยครับ ทั้งการเสริมประสิทธิภาพ การช่วยเหลือจาก AI และเกมโหมดที่ใส่ GT Mode มาให้ใช้งาน ถือว่าเป็นเครื่องสำหรับคนมองหาสมาร์ตโฟนมาใช้เล่นเกม แรง! แต่เน้นในงบราคาไม่แพง ตัวนี้ประสิทธิภาพน่าจะถูกใจครับ
ภายในระบบของ realme 13+ 5G และ realme 13 5G ไม่ได้ใส่เข้ามาแค่ในเรื่องของเกม ในด้านการใช้งานอื่นๆ ก็มีตัวช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานอีกหลายฟังก์ชั่นครับ
โดยทาง realme ได้ใส่ฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาให้ใน realme 13+ 5G เอาไว้ด้วย เช่นฟีเจอร์ที่เรียกว่า AI Smart Loop โดยฟีเจอร์นี้จะสามารถระบุเนื้อหาที่ผู้ใช้กำลังคัดลอกออกมาจากบนหน้าจอ แล้วแสดงแอปพลิเคชั่นที่เหมาะสมกับสิ่งที่กำลังคัดลอกออกมา ว่าสิ่งนั้นควรจะไปจัดเก็บหรือนำไปแชร์ยังแอปพลิเคชั่นอะไรที่ดูเหมาะสม โดยจะแนะนำแอปขึ้นมาในลักษณะของรายการแบบวงแหวน ไล่เรียงแอปที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้นๆ เราแค่ลากและวางสิ่งที่คัดลอกออกมาลงไปบนรายการแอปที่เราต้องการ ช่วยประหยัดเวลาและขั้นตอนในการคัดลอกและแชร์ได้อย่างมากครับ
ด้วย AI Smart Loop เราจะสามารถเซฟข้อความ เซฟภาพ หรือจะคัดลอกออกมาเพื่อแชร์ ก็แค่ลากแล้วนำไปวางบนแอปใน AI Smart Loop ได้เลย หรือจะไปพักไว้ใช้งานในภายหลังโดยการใส่เข้าไปใน File Dock ซึ่งเป็นอึกหนึ่งความสามารถเสริม ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนพื้นที่พิเศษสำหรับการฝากไฟล์หรือข้อความที่คัดลอกมา เราเอาไปวางฝากไว้เพื่อเรียกใช้งานในภายหลังได้ทั้งหมด
แต่ในเริ่มต้นต้องเข้าไปเปิดการใช้งานก่อนนะครับ ไปที่ การตั้งค่า – ฟีเจอร์พิเศษ – AI Assistant – AI Smart Loop ระบุเลือกแอปที่เรานิยมใช้ใส่เข้าไปในวงแหวน
ส่วน File Dock มันเป็นพื้นที่พิเศษ ที่เราสามารถลากทุกอย่างเข้าไปเก็บไว้ใน ทั้งข้อความที่คัดลอกมา หรือรูปภาพ รวมถึงเวลาที่ใช้ความสามารถของ AI เพื่อดึงบุคคลออกมาจากภาพ เราก็สามารถนำมาเก็บไว้ใน File Dock และเรียกใช้เป็นสติ๊กเกอร์เพื่อตกต่างภาพอื่นๆ หรือส่งต่อไปให้เพื่อนได้ในภายหลังได้ครับ
และฟีเจอร์ Free Call การโทรฉุกเฉินในพื้นที่ไร้สัญญาณโทรศัพท์ เป็นเทคโนโลยีร่วมกันที่อาศัยสัญญาณระยะสั้นในการเชื่อมต่อกับผู้ที่ใช้อุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยีเดียวกัน (realme 13+ 5G, realme 13 Pro Series, Reno12 ขึ้นไป, และสมาร์ตโฟน ONEPLUS ที่จะเปิดตัวในอนาคต) เราจะโทรหากันได้แม้จะอยู่ในพื้นที่อับสัญญาณอินเตอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ (ต้องเปิดบลูทูธเอาไว้) โดยในการเข้าร่วมจะต้องทำการเปิดใช้ฟีเจอร์นี้เอาไว้ล่วงหน้าซะก่อนนะครับ เพราะต้องใช้เน็ตในการลงทะเบียน โดยไปที่ การตั้งค่า – เครือข่ายมือถือ – ฟีเจอร์ Free Call – เปิดใช้งานด้วยการลงชื่อเข้าใช้บัญชี realme ให้เรียบร้อย
เราสามารถใช้ที่สแกนนิ้วของ realme 13+ 5G บนหน้าจอ เพื่อตรวจเช็คอัตราการเต้นของหัวใจเราได้ด้วยนะครับ และบันทึกไว้ให้ระบบ เพื่อเก็บเป็นสถิติสุขภาพของเราได้
ทั้งสองรุ่นจะรองรับฟังก์ชั่น Gesture ที่ใช้การขยับมือเพื่อควบคุมบางอย่างได้โดยไม่ต้องกดปุมใดๆ เช่น การแตะที่ฝาหลัง 2 ครั้ง เพื่อเรียกการทำงานด่วน เช่น แตะฝาหลังสองครั้งเพื่อเปิดการสแกน QR โค๊ดได้ในทันทีครับ สะดวกมากๆ และตั้งค่าให้เรียกใช้การทำงานอย่างอื่นได้อีกหลายอย่าง รวมถึงมีความสามารถของ Air Gesture สามารถเลื่อนหน้าจอได้โดยไม่ต้องสัมผัส แค่เพียงสะบัดมือผ่านเซนเซอร์บนหน้าจอเท่านั้น
realme 13 5G รุ่นน้อง ก็ฟังก์ชั่นเฉพาะของตัวเองมาให้เช่นกัน นั้นคือฟีเจอร์ “มินิแคปซูล” การใช้พื้นที่บริเวณกล้องหน้าให้เกิดประโยชน์ เป็นลูกเล่นเล็กๆ น่ารัก ที่จะสามารถแสดงรายการเพลง, สภาพอากาศ หรือสถานะของแบตเตอรี่ในขณะชาร์จหรือแบตใกล้หมดให้เราเห็นได้แบบชั่วคราว และจะปิดตัวเองลงไปเมื่อแจ้งเตือนเรียบร้อยแล้ว น่ารักดีครับ
สามารถให้ มินิแคปซูล แสดงเพลงที่กำลังเล่นอยู่ และสามารถกดที่มินิแคปซูลเพื่อเป็นการหยุดการเล่นเพลงก็ได้เช่นกัน
และความสามารถ “การแชร์เพลงในโหมดคู่” ซึ่งเป็นความสามารถในการเชื่อมต่อหูฟังแบบไร้สาย (TWS) 1 คู่ และสามารถเสียบหูฟังแบบมีสายได้อีก 1 คู่ ทำให้สามารถฟังเพลงได้ด้วยหูฟัง 2 คู่พร้อมกัน โดยทั้งความสามารถ “มินิแคปซูล” และ “การแชร์เพลงในโหมดคู่” จะมีแค่ในเฉพาะ realme 13 5G เท่านั้นนะครับ ไม่มีในรุ่นพี่ realme 13+ 5G
รวมถึงฟังก์ชั่น “ปุ่มไดนามิก” สำหรับการกำหนดหน้าที่ให้ปุ่มพาวเวอร์ด้านข้าง ทำหน้าที่เป็นปุ่มเรียกใช้งานแอปพลิเคชั่นที่ต้องการแบบด่วนได้ครับ เราสามารถกำหนดได้หลากหลายมาก ทั้งการกดสองครั้ง, การแตะสองครั้ง หรือการเลื่อนสไลด์ขึ้นลง กำหนดหน้าที่เอาไว้ได้เลย ปุ่มเดียวทำงานได้หลายอย่าง สะดวกมากๆ
กล้องถ่ายภาพ
realme 13+ 5G มาพร้อมกับกล้องหลัก Sony LYT-600 f/1.8 ความละเอียด 50MP ติดตั้งกันสั่น OIS ทำงานคู่กับกล้อง Mono Camera 2MP ช่วยจับโฟกัสและถ่ายภาพบุคคล
รองรับ Zoom-In-Sensor 2X และซูมดิจิทัลได้สูงสุด 20X ด้วยการที่มี OIS ช่วยลดการสั่่นไหวแบบออฟติคัลมาให้ ทำให้สามารถถ่ายภาพในระยะ 2X ที่เป็นการซูมในเซนเซอร์ได้แบบคมเหมือนการถ่ายระยะปกติเลยครับ มี HDR อัตโนมัติ วัดแสงได้ดี และระบบกล้องกับหน้าจอของรุ่นนี้ จะรองรับเทคโนโลยี Pro-XDR ซึ่งเป็นการแสดงผลแบบ HDR ที่มี dynamic range กว้างกว่ามาตรฐาน HDR แบบปกติได้ด้วยนะครับ
กันสั่นช่วยได้เยอะ ซูมภาพ 2X ภาพคมกริบเพราะเป็น Zoom-In-Sensor แต่ว่าในระยะ 5X ภาพยังดูดีอยู่เลยครับ แม้แต่ในระยะ 10X ถือว่าไม่คมแต่ได้คุณภาพระดับนี้ก็นับว่าทำได้ดีมากแล้วสำหรับการซูมแบบดิจิทัล
รุ่นนี้ฟังก์ชั่นกล้องมีไม่เยอะมากครับ แต่ก็ยังรองรับการถ่ายภาพพอรตเทรตบุคคลได้ 2 ระยะด้วยกัน 1X และ 2X พร้อมการปรับแต่งใบหน้าเนียนใสได้ 100 ระดับ
สามารถกำหนดระยะชัดลึกชัดตื้นได้ก่อนถ่าย และปรับได้ใหม่หลังการถ่าย
ภาพบุคคลดูสดใสครับ ได้ 2 ระยะโฟกัสจากการยืนถ่ายในจุดเดียวกัน คุณภาพกล้องถือว่าสมราคา นำติดตัวไปท่องเที่ยวได้แล้วครับ ^^
มีโหมดให้ถ่ายกันสนุกๆ เป็นโหมด “ท้องถนน” หรือหมายถึง “การถ่ายภาพแบบสตรีท” นั่นเองครับ โดยโหมดนี้จะจำลองระยะการซูมเป็นตัวเลขของระยะเลนส์เข้ามาแทน ให้เหมือนกับการเปลี่ยนเลนส์กล้องเพื่อใช้งาน โดยจะมีฟีเจอร์ “ซูมอัตโนมัติ” ที่ตัวระบบกล้องจะทำการซูมไปยังตัวแบบหรือวัตถุที่เราทำการทัชเลือกเป็นจุดโฟกัสได้เอง
โหมดท้องถนน จะทำงานร่วมกันกับพรีเซ็ตสีภาพที่เข้ากันกับการถ่ายภาพแนวสตรีท เช่น ฟิลเตอร์ขาวดำ, ฟิลเตอร์แนวป๊อบยุค 90, หรือสไตล์บรรยากาศของภูชี้ฟ้า หรือไร่เลย์ ซึ่งเป็นพิกัดที่มีบรรยากาศเฉพาะตัวของเมืองไทย เราสามารถเลือกใช้ได้ในโหมดถ่ายภาพแบบท้องถนนเท่านั้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดต่างๆ ของ realme 13+ 5G
ส่วนรุ่นน้อง realme 13 5G ให้กล้องมาคุณภาพไล่เรี่ยกัน เป็นกล้องหลัก Samsung S5KJNS f/1.8 ความละเอียด 50MP เท่ากัน และติดตั้งกันสั่น OIS มาให้ด้วยเช่นกันครับ ทำงานคู่กันกับ Mono Camera 2MP สำหรับจับโฟกัส แม้จะดูว่าสเปคกล้องใกล้กัน แต่ฟังก์ชั่นการซูมจะไม่เท่ากันตัวรุ่นพี่นะครับ
ด้านกล้องถ่ายภาพของ realme 13 5G ก็มีดีกว่าในกลุ่มเดียวกัน ด้วยการรองรับการถ่ายวีดีโอ 2K 30fps ที่มีกันสั่น OIS มาให้ด้วย รองรับการซูมแบบไม่สูญเสียรายละเอียดได้ที่ 2X และซูมดิจิทัลได้ที่ 10X
มีโหมดถ่ายภาพบุคคลพร้อมฟังก์ชั่นบิวตี้ปรับได้ 100 ระดับเช่นกัน แค่จะไม่มีการซูมภาพในโหมดถ่ายภาพบุคคลแบบ 2X และการซูมติดตามอัตโนมัติในโหมดท้องถนน ส่วนที่เหลือก็จะมีฟังก์ชั่นกล้องพอๆ กับรุ่นพี่ 13+ 5G เลยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดต่างๆ ของ realme 13 5G
สรุปท้ายรีวิว
ประสิทธิภาพดีคุ้มกับราคาจำหน่ายทั้งสองรุ่น ทาง realme ออกแบบเฉลี่ยความสามารถของเครื่องมาให้มีคุณภาพในทุกด้าน ไม่ได้เน้นไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ชิปเซ็ตแรงด้วย Dimensity 7300E และ Dimensity 6300 แรมใหญ่ 12GB และขยายได้อีกสูงสุดถึง 14GB รวมเป็น 26GB ซึ่งถือว่าใหญ่มากๆ พร้อมใส่ฟีเจอร์สำคัญมาในระบบอย่าง GT Mode และฟีเจอร์ AI ในด้านที่ช่วยให้การใช้งานต่างๆ มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
แรง! คุ้มกับราคา ตัวเครื่องออกแบบได้สวยงาม มีความทนทาน ได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP65,IP64 ลุยได้ทุกที่ยันสงกรานต์ปีหน้า กล้องถ่ายภาพ 50MP ที่ติดตั้งกันสั่น OIS มาให้ คุณภาพการถ่ายหวังพึ่งได้ในเวลาไปท่องเที่ยว
แบตเตอรี่อึด ชาร์จไวและมาตรฐานความปลอดภัยสูง เป็นระบบชาร์จ SUPERVOOC 80W และ 45W มีอายุแบตเตอรี่ที่จะใช้งานไปได้อีกยาวนาน รองรับรอบการชาร์จเกิน 1000 รอบ และรุ่นน้องสามารถรองรับการชาร์จได้ถึง 1600 รอบ เลยทีเดียว
ได้หน้าจอใหญ่ สีสันสดใส รีเฟรชเรทสูง และถนอมสายตา ติดตั้งลำโพงคู่สเตอริโอ เสียงดังชัดเจนมาให้ทั้งสองรุ่น ฉะนั้นทั้งด้านภาพและเสียงถือว่าสอบผ่านเรียบร้อยทั้งหมด ครบถ้วนสมบูรณ์ วางสเปกเอาไว้ดีกว่ามาตรฐานทั่วไปที่สมาร์ตโฟนในราคากลุ่มนี้จะมีให้
realme 13+ 5G มีให้เลือกสามสี Victory Gold, และ Dark Purple เปิดตัวออกมา 2 ขนาดความจุ
- realme 13+ 5G 12GB+256GB ราคา 11,999 บาท
- realme 13+ 5G 12GB+512GB ราคา 13,999 บาท
realme 13 5G มีให้เลือกสองสี Speed Green และ Dark Purple เปิดตัวออกมาในรุ่นเดียว 12GB+256GB ราคา 8,999 บาท
ความแตกต่างของ reame 13 Series ทั้งสองรุ่น