vivo V40 5G และ V40 Pro 5G สมาร์ตโฟนเลนส์ ZEISS 50MP ครบทุกเลนส์ อัปเกรดสเปคมาทุกด้าน
vivo V40 5G มีความคุ้มค่าสูงมาก หน้าจอสวยคมชัดความสว่างสูง ลำโพงคู่เสียงดีมาก มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 5500mAh แต่ตัวเครื่องบางเบา ดูสวยงามพกพาง่าย รองรับชาร์จไว 80W
และที่สำคัญคือให้กล้องถ่ายภาพคุณภาพสูงสุดในกลุ่มตลาดเดียวกัน เป็นกล้อง ZEISS ความละเอียด 50MP ครบทุกเลนส์ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
ประสิทธิภาพรอบตัวได้ถูกอัปเกรดมาครบทั้งในเรื่องภาพ ระบบเสียง ความจุแบตเตอรี่ และการถ่ายภาพ แถมเปิดราคาดีมากเพราะเปิดตัวมาแค่ 15,999 บาทเท่านั้น
vivo V40 Pro 5G จะให้ประสบการณ์ที่เพิ่มเติมขึ้นมาสำหรับคนที่ต้องการกล้องที่มีคุณภาพสูงกว่า เด่นในเรื่องการซูมภาพในโหมดถ่ายภาพพอร์ตเทรต เพราะรองรับการซูมในระยะ 85mm และ 100mm ยิ่งซูมไกลยิ่งเห็นความต่าง และยังได้ประสิทธิภาพการใช้งานในแบบกลุ่มเครื่องเรือธงของสมาร์ตโฟน Android ครับ ตอบสนองไว สั่งงานติดนิ้ว เป็นตัวจบได้เลยสำหรับคนอยากได้เรือธงในงบสองหมื่นกลางๆ
The Good
- กล้องมีคุณภาพสูง ให้เลนส์ ZEISS 50MP มาครบในทุกกล้อง ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
- มีวงแหวน Aura Light เพียงซีรี่ส์เดียวในวงการ เป็นไฟเสริมที่เปลี่ยนอุณหภูมิของแสงได้อัตโนมัติ
- ใช้ชิป 4nm ทั้งสองรุ่น Snapdragon 7 Gen3 และ Dimensity 9200+ พร้อม RAM ขนาด 12GB (ขยายได้อีก 12GB)
- เครื่องบางแต่แบตเตอรี่ใหญ่ 5500mAh (ชาร์จไว 80W) ออกแบบให้สามารถใช้ได้นานกว่า 4 ปีโดยคุณภาพไม่ลดไปต่ำกว่า 80%
- หน้าจอขนาด 6.78 นิ้ว ที่มีความสว่างสูงถึง 4500nits
- ลำโพงคู่สเตอริโอรุ่นแรกของ V Series และเป็นลำโพงที่มีคุณภาพ
- ผลิตมาในมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68
The Bad
- ไม่มีรูหูฟังบนตัวเครื่องโดยตรง
- ไม่รองรับการใส่ microSD Card เพิ่มเติม
-
ความคุ้มค่าต่อราคา
-
ประสิทธิภาพ
-
วัสดุและการประกอบ
-
กล้องถ่ายรูป
-
ฟังก์ชันและประโยชน์ในการใช้งาน
vivo V40 5G และ vivo V40 Pro 5G สองสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่สำหรับสายถ่ายภาพ ให้คุณภาพกล้องที่มากขึ้นด้วยการใช้เลนส์ ZEISS ความละเอียด 50MP ในทุกๆ เลนส์ และไม่ใช่แค่กล้อง แต่อัปเกรดประสิทธิภาพมาแทบจะทุกด้านจากรุ่นก่อนหน้า ให้แบตเตอรี่ที่มีความจุใหญ่ถึง 5500mAh หน้าจอความสว่างสูงถึง 4500nits และยังมาเป็นรุ่นแรกของ V Series ที่พร้อมกับลำโพงคู่สเตอริโอเกรดดี เสียงดังมีมิติและมีพลังเสียง แถมยังเป็นเครื่องที่ถูกผลิตมาในมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่นระดับ IP68 อีกด้วย
เรียกว่าพัฒนามาครบเครื่อง ซึ่งหาไม่ได้เลยในตลาดที่จะให้มาขนาดนี้ ทั้งเรื่องภาพ เรื่องเสียง เรื่องความอีดของแบตเตอรี่ และยังเด่นมากๆ ในด้านกล้อง ทั้งที่ประกาศเริ่มต้นแค่ 15,999 บาทเท่านั้นเอง
คุณสมบัติกล้องถ่ายภาพของ vivo V40 Series 5G ทั้งสองรุ่น
- ใช้เลนส์ ZEISS ความละเอียด 50MP ครบทุกเลนส์ ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
- ให้กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 50MP สูงกว่ามาตรฐานกล้องมุมกว้างที่ใช้กันเรทราคาเดียวกัน
- สามารถถ่ายในโหมดพอร์ตเทรตได้หลายระยะ V40 5G ถ่ายภาพพอร์ตเทรตได้ 3 ระยะ ส่วน V40 Pro 5G สามารถถ่ายภาพพอร์ตเทรตได้ถึง 5 ระยะ
- สามารถใช้ฟิลเตอร์โบเก้จาก ZEISS ได้ทุกสไตล์ กับเลนส์ในทุกระยะไม่มีข้อจำกัด
- มาพร้อมกับวงแหวน Aura Light ไฟเสริมที่มีให้ใช้เพียงซีรี่ส์เดียวในตลาด สามารถปรับเปลี่ยนอุณหภูมิของแสงได้ด้วยตัวเอง
vivo V40 5G และ vivo V40 Pro 5G ได้ใส่คุณสมบัติเด่นทางด้านการถ่ายภาพเข้ามาแบบแน่นเครื่อง ทั้งตัวฮาร์ดแวร์กล้อง โดยยกระดับอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้าให้เป็นกลายกล้องคุณภาพจาก ZEISS ทั้งในรุ่นเล็ก V40 5G และรุ่นใหญ่ V40 Pro 5G ไม่ว่าจะเลือกรุ่นไหนก็ได้ฟิลเตอร์กล้องคุณภาพจาก ZEISS ไปใช้ทั้งคู่เลย
vivo V40 5G จะใช้กล้องหลังคู่ เป็นกล้องหลัก 50MP ZEISS OIS ระยะ 24mm ใช้เซนเซอร์ ISOCELL GNJ ของ Samsung เป็นกล้องที่ติดตั้งกันสั่น OIS มาให้ในตัว ทำงานคู่กับเลนส์ 50MP ZEISS Ultra Wide-Angle ระยะ 15mm โดยทั้งสองกล้องจะมีความละเอียด 50MP+50MP เท่ากัน
สามารถถ่ายภาพตั้งแต่ระยะมาโคร ไปจนถึงซูมดิจิทัล 20x รวมถึงการถ่ายภาพมุมกว้าง 115 องศา และด้วยการใช้กล้องมุมกว้างมีความละเอียดสูง ทำให้เก็บภาพได้คมชัดมากครับ ไม่ว่าจะถ่ายในสภาพแสงกลางแจ้ง ในที่ร่ม ภาพออกมาดูคมและให้สไตล์ภาพที่ดูใสๆ ครับ
แต่จุดเด่นของสมาร์ตโฟนในซีรี่ส์นี่ก็คือการถ่ายภาพบุคคล ในรุ่น vivo V40 5G จะรองรับการถ่ายภาพในโหมดถ่ายภาพบุคคลได้มากถึง 3 ระยะการซูมเลยนะครับ ทั้งในระยะ 24mm, 35mm และ 50mm สามารถถ่ายบุคคลละลายหลังได้ทุกระยะ ให้อารมณ์ภาพที่แตกต่างกัน ทั้งแบบภาพเต็มตัว ครึ่งตัว หรือโคลสอัพ แน่นอนว่ามาพร้อมการปรับแต่งใบหน้าให้เนียนใสได้อย่างละเอียดตามสไตล์ของ vivo ที่ทำมาได้ดีเสมอมา ฉะนั้นถ่ายยังไงก็ออกมาสวยหล่อกันทุกคนแน่นอน ^^
จะสังเกตว่าใบหน้าของบุคคลดูเนียนแต่ยังคงแสงเงาสมจริง และช่วยขับในเรื่องของประกายสายตาให้ดูคมชัดขึ้นด้วย ตัวกล้องจะเน้นจับโฟกัสไปที่ใบหน้าและลูกตาของแบบก่อนจุดอื่นครับ
ภาพที่ได้เก็บรายละเอียดมาดีมาก แม้ถ่ายไปแล้วนำมาครอบตัดขยายภาพในภายหลังก็ยังมีความคมครับ ฉะนั้นจะซูมแล้วถ่าย หรือจะถ่ายแล้วมาซูมก็ได้ภาพสวยทั้งคู่
ส่วน vivo V40 Pro 5G ตัวรุ่นพี่จะยกระดับขึ้นมาเป็นกล้องหลัง 3 ตัว โดยจะเพิ่มเลนส์เทเลโฟโต้เข้ามาอีกหนึ่งเลนส์ ตัวกล้องหลักเป็น ZEISS OIS 50MP ที่ใช้เซนเซอร์เกรดเรือธง Sony IMX921 ระยะโฟกัส 24mm และกล้องหลักตัวที่สองเป็นเลนส์ 50MP ZEISS OIS Telephoto ใช้เซนเซอร์ Sony IMX816 ระยะโฟกัส 50mm ทั้งสองกล้องนี้จะติดตั้งกันสั่น OIS เอาไว้ทั้งสองตัวเลยครับ และสุดท้ายคือกล้อง 50MP ZEISS Ultra Wide-Angle ความกว้าง 115 องศา ระยะ 15mm ทั้งสามเลนส์ของ V40 Pro 5G จะมีความละเอียด 50MP เท่ากันทั้งหมดเช่นเดียวกัน ซึ่งตัว V40 Pro 5G จะรองรับการซูมภาพดิจิทัลได้สูงสุดที่ 50x เลยทีเดียว
ซึ่งเทียบกับรุ่นน้องแล้วต้องบอกว่า ในระยะการซุม 50mm จะมีความคมชัดที่มากกว่า เนื่องเพราะเป็นการซูมด้วยเลนส์จริงที่เป็น Telephoto ที่เพิ่มเข้ามาในเลนส์ที่สองของรุ่น V40 Pro 5G นั้นเองครับ
และด้วยความที่ vivo V40 Pro 5G มีเลนส์ Telephoto ที่เพิ่มเข้ามา ก็จะทำให้รุ่นนี้จะรองรับการถ่ายภาพในโหมดบุคคลได้ถึง 5 ระยะการซูม ไล่ตั้งแต่ 24mm, 35mm, 50mm, 85mm และ 100mm ยิ่งระยะซูมไกลจะยิ่งเห็นถึงความคมชัดที่มีคุณภาพ เพราะใช้เซนเซอร์เกรดดี และติดตั้งกันสั่นมาให้ถึง 2 เลนส์ด้วยกันครับ
ยืนอยู่จุดเดิม ถ่ายภาพบุคคลได้ถึง 5 ระยะ ได้มิติภาพและความลึกของฉากหลังที่แตกต่างกัน ใช้งานได้สนุก เพราะถ่ายได้หลายหลาก เราสามารถหยิบเอาระยะที่ชอบ มาบวกใช้กับโบเก้สไตล์ของ ZEISS ที่เราชื่นชอบได้เลยครับ
เพราะสิ่งที่เป็นจุดเด่นของ vivo V40 Series นอกจากเรื่องของการซูมในการถ่ายภาพบุคคลแล้ว ก็ยังมีการเปิดให้ผู้ใช้สามารถเลือกฟิลเตอร์โบเก้ในสไตล์ต่างๆ ของ ZEISS มาใช้กับการถ่ายภาพพอร์ตเทรตได้ทุกระยะอีกด้วย ไม่ได้ผูกมัดกันแล้วว่าในแต่ละสไตล์จะต้องใช้กับการถ่ายภาพในระยะไหน ในรุ่นนี้เราจะสามารถเรียกใช้สไตล์ภาพที่มีในเครื่องได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะอยากซูมภาพระยะใดก็ตาม
และฟิลเตอร์โบเก้จาก ZEISS ก็น่าสนใจทุกตัวครับ หยิบเอามาจากเลนส์คลาสสิกในตำนานที่มีให้เลือกใช้เยอะมาก เช่น Biotar, B-speed เลนส์คลาสสิกจากยุค 70 หรือ Sonnar, Planar, Distagon มีมาครบ
และมีฟิลเตอร์โบเก้แบบภาพยนตร์ Cine-flare เข้ามาให้ด้วย ซึ่งเราจะได้ภาพที่มีแสงแฟลร์ของพระอาทิตย์ออกมาเป็นโบเก้แบบในรูป ได้อารมณ์คล้ายเทคนิคคลาสสิกของผู้กำกับ ไมเคิล เบย์ นั้นเอง^^
และฟิลเตอร์ Cinematic ที่จะได้โบเก้ฉากหลังที่แสนละมุน ดูฟุ้งเหมือนหนังแนวรักโรแมนติกเกาหลี ซึ่งระบบจะปรับทรงภาพให้กลายเป็น WIde-Screen 21:9 โดยอัตโนมัติ
กล้องหน้าของทั้งสองรุ่นจะเป็นกล้อง ZEISS 50MP ซึ่งมาตรฐานกล้องหน้าคุณภาพสูงแบบนี้ในปัจจุบันแทบไม่มีแบรนด์ไหนใส่เข้ามาให้ แต่รุ่นนี้จัดเต็มครับ กล้องหน้าของ V40 Series 5G จะรองรับการถ่ายภาพเซลฟี่ได้ตั้งแต่ระยะ 0.8x ไปจนถึงซูม 2x ตรวจจับโฟกัสอัตโนมัติ จับใบหน้าได้หลายหน้าพร้อมกัน พร้อมมีความสามารถในการปรับแต่งครบถ้วยเหมือนกล้องหลัง ทำให้สามารถถ่ายภาพเซลฟี่กลุ่ม หรือเซลฟี่เดี่ยวแบบเก็บรายละเอียดทิวทัศน์เอาไว้ได้สบายๆ
ฟืลเตอร์, โบเก้ และฟังก์ชันของกล้องหน้าไม่ได้น้อยไปกว่ากล้องหลังเลย ใช้งานได้สนุกและคมชัดครับ
เซลฟี่กลุ่มก็ง่าย เพราะกล้องหน้ามีมุมกว้าง (21mm) มาให้ใช้งาน สามารถจับโฟกัสใบหน้าได้หลายคน ปรับแต่งใบหน้าเนียนให้ได้กับทุกคนครับ
อีกหนึ่งจุดเด่นของกล้อง V40 Series 5G ก็คือการที่มันมีวงแหวน Aura Light ใส่มาด้วย วงแหวนไฟเสริมที่สามารถปรับเปลี่ยนอุณหภูมิของแสงไฟที่ส่องสว่างออกไปได้เอง ช่วยเพิ่มปริมาณแสง และคอยแก้ไขสีของแสงที่เพี้ยนไปจากสภาพแวดล้อมในบางสถานการณ์ เช่นถ่ายภาพในร้านอาหาร, ในผับบาร์, หรือใต้แสงไฟสีเหลือง หรือไปถ่ายคนใต้เงาไม้ หรือแม้แต่การถ่ายย้อนแสง สิ่งเหล่านี้ปกติจะทำให้ใบหน้าของบุคคลดูมีเงามืดหรือสีของผิวเพี้ยน
แต่พอมีวงแหวน Aura Light ก็ช่วยได้อย่างมากครับ โดยเฉพาะรุ่นใหม่ที่มีความสว่างมากขึ้น ปรับแสงให้ดูนุ่มนวลมีการใช้ตัว AI เข้ามาประมวลผลของแสงให้ออกมาดูเป็นธรรมชาติได้เองทั้งการถ่ายในระยะใกล้และระยะไกล เรียกได้ว่าจะไปถ่ายตรงไหน หน้าก็ไบร์ทดูขาว เหมือนพกไฟสตูดิโอไว้ติดตัวตลอดเวลา
มีฟังก์ชันของ ZEISS ในการถ่ายภาพวิดีโอใส่เข้ามาด้วยครับ เป็น ZEISS Cinematic Video Bokeh หรือการถ่ายวิดีโอแบบมีโบเก้ละลายหลังได้เหมือนกับภาพนิ่ง จับโฟกัสใบหน้าและล็อคโฟกัสไปที่บุคคลที่ต้องการได้อัตโนมัติ
จากที่ทดสอบสามารถโหมดถ่ายวิดีโอโบเก้ ทำออกมาได้สวยงามครับ ละลายหลังดูเด่น จะมีหลุดโฟกัสให้เห็นบ้างถ้าตัวแบบมีการเคลื่อนไหวเร็วๆ
รุ่นนี้การถ่ายวิดีโอจะรองรับความคมชัดระดับ 4K ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังเลยนะ
vivo ใส่ระบบการจัดการหลังการถ่ายภาพมาให้เยอะมากด้วย ทั้งการปรับแต่งใบหน้าและรูปร่างหลังการถ่าย การตัดกรอบ การปรับปรุงคุณภาพของรูปภาพ หรือใส่แสงแฟลร์ ซึ่งปรับอะไรได้เยอะมากๆ
และมีระบบตัว AI เข้ามาช่วยด้วย เช่น “การลบวัตถุด้วย AI” แค่วงในสิ่งที่ต้องการจะลบ แล้วระบบจะทำการลบวัตถุนั้นออก พร้อมกับเติมรายละเอียดในส่วนที่หายไปเข้าไปในภาพได้เอง ทำได้ฉลาด ภาพออกมาเนียนๆ
มีโหมดถ่ายดวงดาวกับซูมพระจันทร์ให้เล่นด้วยนะครับ ดวงจันทร์กลมโตถ่ายง่ายๆ ไม่ต้องมีขาตั้งกล้อง อยากถ่ายก็ยืนถ่ายด้วยโหมดถ่ายพระจันทร์ได้เลย
ฮาร์ดแวร์ตัวเครื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตลาดราคากลาง แบตใหญ่เครื่องบาง หน้าจอความสว่างสูง และลำโพงคู่สเตอริโอเสียงดี
vivo อัปเกรดเสริมจุดเด่น และกลบจุดด้อยจากรุ่นก่อนหน้ามาหมดเลยครับ ทำให้ V40 Series 5G นับเป็นเครื่องที่มีคุณสมบัติครบและยอดเยี่ยมมากๆ เมื่อดูจากราคาขาบ
ทั้งสองรุ่นจะใช้หน้าจอเดียวกัน เป็นจอ Q9 AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ขอบจอโค้ง 3D Curved Screen ความละเอียด 1.5K (2800 × 1260) รีเฟรชเรท 120Hz รองรับเทคโนโลยี HDR 10+ และรองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอโดยตรง
ขอบจอโค้งเลยดูว่าไร้ขอบ ภาพเลยสวยมากๆ สำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ ภาพเข้มสว่างชัด และมีขนาดจอที่ใหญ่มากซะด้วยเอามาดูหนังคือเต็มๆ ตา
ด้วยความสว่างหน้าจอสูงสุดถึง 4500nits นำไปใช้งานในกลางแจ้งภาพยังเห็นได้ชัดสบายๆ เป็นความสว่างที่หน้าจอของเครื่องระดับเรือธงหลายรุ่นยังให้ไม่ถึงเลยครับ
และ V40 Series 5G ทั้งสองรุ่นถูกผลิตมาในมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 เลยนะ เรามักจะพบมาตรฐานนี้ได้แค่สมาร์ตโฟนกลุ่มพรีเมี่ยมราคาแพงๆ เท่านั้น สามารถโดนฝนหนักๆ โดนน้ำสาด ทนน้ำได้ลึก 1.5 เมตรเป็นเวลา 30 นาที ถ้าเครื่องสกปรกมากก็นำไปล้างน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้งก็ใช้ต่อได้เลยครับ
ตัวเครื่องบางแค่ 7.58 มิลลิเมตร แต่สามารถใส่แบตเตอรี่ภายในมาให้ใหญ่ถึง 5500mAh ซึ่งเป็นผลลัพท์จากเทคโนโลยีการออกแบบแบตเตอรี่ BlueVolt ของ vivo ทำให้มีขนาดของก้อนแบตเตอรี่ที่เล็กกว่าแบตรุ่นอื่นที่มีความจุเท่ากันประมาณ 16.5% และมีน้ำหนักเบา 192 กรัม
ถือจับถนัดมือ ใช้งานได้ตลอดทั้งวันครับ ถือว่าเป็นรุ่นที่มีแบตเตอรี่ค่อนข้างอึดมากทีเดียว
รองรับเทคโนโลยีการชาร์จไว FlashCharge 80W (และ PD) จากที่ทดสอบสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ในเวลาประมาณแค่ 35 นาทีเท่านั้นครับ และระบบชาร์จตัวนี้ยังถูกออกแบบให้ใช้งานได้ยาวนานมาก เพราะรองรับการชาร์จและคายประจุได้ถึง 1,600 Cycle เลยทีเดียว หมายถึงจะยังมีความจุเหลือมากกว่า 80% แม้จะใช้งานไปทุกวันอย่างน้อย 4 ปี
ตัวเครื่องถูกออกแบบมาดีไซน์ใหม่ วางชุดกล้องหลังในสไตล์ที่ชื่อว่า Gemini Ring เอกลักษณ์ความสมมาตรที่เอามาจากกลุ่มดาวราศีเมถุน ดูหรูหรา วางกรอบโมดูลกล้องหลังไว้วัสดุโลหะ เคลือบสีเป็นสีเดียวกันกับฝาหลัง สวยทุกสีครับ
แม้หน้าตาของทั้งสองรุ่นจะดูคล้ายกันมาก แต่เราสามารถแยกออกได้ง่ายๆ ด้วยการสังเกตการจัดวางชุดกล้องหลัง ถ้าเป็นตัว V40 Pro 5G จะมีการวางกล้องตัวที่สามไว้เหนือวงแหวน Aura Light และวงแหวน Aura Light จะอยู่ที่ด้านล่างสุด สลับกับตัว V40 5G นั้นเองครับ
ทาง vivo ได้นำเข้า V40 5G เข้ามาจำหน่ายในไทย 3 สีเลย โดยจะมีสี Sunglow Peach (สีพีชซันโกลว์) ออกแบบมาจากแรงบันดาลใจของแสงแรกของพระอาทิตย์ในยามเช้า มีความหวานแต่สดใส ให้สีที่ดูคล้ายๆ ชมพูผสมกับสีทอง ผิวสัมผัสมันเงา และมีการไล่ระดับเป็นเงาคลื่นเมื่อโดนแสงมากระทบ เคลือบผิวเพื่อลดการเกิดรอยนิ้วมือเอาไว้เรียบร้อย
อีกหนึ่งสีคือ Nebula Purple (สีม่วงเนบิวลา) สีของท้องฟ้าในเวลากลางคืนตอนมีหมอกปกคลุม สีออกโทนม่วงเข้ม เครื่องสีนั้จะให้ผิวสัมผัสที่แตกต่าง เป็นผิวสัมผัสด้าน ละมุนมือคล้ายกับผิวของฟิล์มกำมะหยี่ เวลาใช้งานไม่มีรอยนิ้วมือขึ้นมาให้เห็นเลยครับ
สุดท้ายคือสี Stellar Silver (สีเงินสเตลลาร์) สีคลาสสิกที่ผสมกันระหว่าง สีเงินและสีดำ ซึ่งสีนี้จะเป็นสีที่ถูกใช้ทั้งใน V40 Series 5G ทั้งสองรุ่นเลยครับ เพราะ vivo V40 Pro 5G จะมีมาในสี Stellar Silver เพียงสีเดียว ไม่มีสีอื่นให้เลือกเหมือน vivo V40 5G
และทาง vivo ได้ปรับระบบเสียงของ V40 Series 5G ให้กลายเป็นเครื่องลำโพงคู่สเตอริโอเรียบร้อยแล้วครับ เป็นครั้งแรกเลยในสมาร์ตโฟน V-Seires ที่ลำโพงมาเป็นคู่ แถมลำโพงยังมีคุณภาพเสียงที่ดีอีกด้วยนะครับ
เสียงดังชัดเจนและมีเนื้อเสียง ดูหนังเล่นเกม หรือใช้ฟังเพลงภายในห้องไม่ต้องต่อลำโพงภายนอกเพิ่มเลยครับ เสียงดังมีพลังดีมากๆ ใช้ระบบเสียง Super Audio ที่เราสามารถปรับพรีเซ็ตเสียงได้เอง หรือให้ปรับอัตโนมัติด้วย AI ตามคอนเทนต์ที่กำลังใช้งาน
vivo V40 Series 5G ทั้งสองรุ่นเป็นสมาร์ตโฟนในยุค 5G แบบเต็มตัว ถาดใส่ซิมมาเป็นแบบสองสล็อต ใช้ซิม 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ด( 5G DSDS ) ไม่รองรับการใส่ micro SDcard เพิ่มเติม
โดยตัว V40 5G จะรองรับสัญญาณไร้สาย NFC, Bluetooth 5.4 และ Wi-Fi 6 ส่วนรุ่น V40 Pro 5G จะรองรับเทคโนโลยี Wi-Fi 7 ด้วยนะครับ
อุปกรณ์ภายในกล่องของทั้งสองรุ่นจะแถมมาให้เหมือนกันทั้งหมด โดยจะมีที่ชาร์จ FlashCharge 80W พร้อมเคสซิลิโคน สาย USB Type-C และคู่มือพร้อมเข็มจิ้มซิม จะไม่มีชุดหูฟังมาให้นะครับ (ไม่มีรูหูฟังบนตัวเครื่องโดยตรง)
สเปคแรง แรมใหญ่ ใช้งานได้ยาวนาน
vivo V40 5G หรือตัวรุ่นน้องจะมาพร้อมกับชิป Snapdragon 7 Gen 3 เทคโนโลยีการผลิตระดับ 4 นาโนเมตร ให้ RAM LPDDR4X ขนาด 12GB ขยายได้อีก 12GB หน่วยความจำภายใน UFS 2.2 ขนาด 256GB และ 512GB ถือว่าเป็นตัวระดับบนๆ ของกลุ่มราคาหมื่นกลางในขณะนี้
มีความแรงในการใช้งานมากเพียงพอกับแอปพลิเคชั่นและเกมในระบบ Android ทั้งหมดแล้ว ทดสอบเล่นเกม 3D ได้ลื่นไหล สลับแอปทำงานได้ไว ไม่มีปัญหาใดๆ ระบบแน่นและเสถียร
ส่วน vivo V40 Pro 5G จะมาพร้อมกับชิป Dimensity 9200+ เทคโนโลยีระดับ 4 นาโนเมตรซึ่งถือว่าเป็นชิประดับบนของแบรนด์ MediaTek มีความแรงมากเกินจะพอ มีประสิทธิภาพที่แรงกว่า Dimensity 8200 ตัวเดิมที่ใช้ใน vivo V30 Pro 5G มากถึงกว่า 30% เลยทีเดียว เทียบชั้นกลุ่ม Android เรือธงไปแล้วในตอนนี้
ให้ RAM ชนิด LPDDR5X ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่ ใส่ขนาด 12GB มาให้ ขยายได้อีก 12GB และให้หน่วยความจำภายใน UFS 3.1 ขนาด 512GB
เปิดตัวมาพร้อมระบบ FuntouchOS 14 ครอบทับบน Android 14 ซึ่งทาง vivo ได้ออกแบบระบบให้ตัวเครื่องสามารถใช้งานได้ลื่นไหลแม้เวลาจะผ่านไปเป็นเวลานานๆ โดยผ่านการทดสอบความแข็งแรงของตัวเครื่องมาเรียบร้อยแล้วทั้งการตกกระทบ ทนต่อแรงบิด การทดสอบปุ่มกดและพอร์ตต่างๆ ให้สามารถใช้งานได้ลื่นไหลนานกว่า 50 เดือน หรือประมาณ 4 ปี ไม่ใช่เครื่องที่ยิ่งใช้จะยิ่งช้า
ในการทดสอบใช้งานก็ควบคุมความร้อนได้ดีครับ ไม่เจอความร้อนให้รู้สึกเป็นกังวลเลยแม้จะเสียบชาร์จแบตและใช้งานไปด้วยพร้อมกัน ระบบมีความเสถียรสูง ไม่มีบัค แลค ค้างช้า หรือรีสตาร์ทให้เห็นตลอดการทดสอบใช้งาน
มีความสามารถใส่มาในระบบค่อนข้างครบ ทั้งการจัดการตัวเครื่อง สแกนไฟล์ขยะ สแกนไวรัส ก่อนซ่อนแอปและการใส่รหัสป้องกันการเข้าใชงาน
รองรับการแบ่งหน้าจอทำงานได้ทั้งแบบเป็นป๊อบอัพและแบบแบ่งหน้าต่างทำงาน มีความลื่นไหลสบายๆ ในการรันสองแอปพร้อมกัน
สรุปท้ายรีวิว
สรุปโดยรวมแล้ว vivo V40 5G มีความคุ้มค่าสูงมาก หน้าจอสวยคมชัด ความสว่างสูง ลำโพงคู่เสียงดีมาก มีแบตเตอรี่ที่อีดเพราะมีขนาดใหญ่ถึง 5500mAh แต่ตัวเครื่องบางดูสวยงาม พกพาง่าย รองรับชาร์จ 80W
และที่สำคัญคือให้กล้องถ่ายภาพคุณภาพสูงสุดในกลุ่มตลาดเดียวกัน เป็นกล้อง ZEISS ความละเอียด 50MP ครบทุกเลนส์ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
ประสิทธิภาพรอบตัวได้ถูกอัปเกรดมาครบทั้งในเรื่องภาพ ระบบเสียง ความจุแบตเตอรี่ และการถ่ายภาพ แถมเปิดราคาดีมากเพราะเปิดตัวมาแค่ 15,999 บาทเท่านั้น
vivo V40 Pro 5G จะให้ประสบการณ์ที่เพิ่มเติมขึ้นมาสำหรับคนที่ต้องการกล้องที่มีคุณภาพสูงกว่า เด่นในเรื่องการซูมภาพในโหมดถ่ายภาพพอร์ตเทรต เพราะรองรับการซูมในระยะ 85mm และ 100mm ยิ่งซูมไกลยิ่งเห็นความต่าง และยังได้ประสิทธิภาพการใช้งานในแบบกลุ่มเครื่องเรือธงของสมาร์ตโฟน Android ครับ ตอบสนองไว สั่งงานติดนิ้ว เป็นตัวจบได้เลยสำหรับคนอยากได้เรือธงในงบสองหมื่นกลางๆ
ราคาและโปรโมชั่น
vivo V40 5G มีจำหน่ายในสี Sunglow Peach, Nebula Purple และ Stellar Silver
- รุ่นความจุ 12GB + 256GB ราคา 15,999 บาท
- รุ่นความจุ 12GB + 512GB ราคา 17,999 บาท
vivo V40 Pro 5G มีจำหน่ายในสี Stellar Silver
- รุ่นความจุ 12GB + 512GB ราคา 24,999 บาท
โปรโมชั่นพิเศษ! สำหรับผู้ที่สั่งซื้อภายในวันที่ 2 กันยายน – 30 กันยายน 2567 จะได้สิทธิ์รับของสมนาคุณมูลค่ารวมสูงสุดกว่า 12,298 บาท ประกอบด้วย
- V40 Series 5G Premium Gift Box (มูลค่ารวม 10,499 บาท) ภายในประกอบด้วย เคสใส 1 ชิ้น ตัวยึดกับเคสสีพีช 1 ชิ้น สายคล้องข้อมือแบบเชือกสีดำ 1 ชิ้น กระเป๋าใส่เหรียญสีดำ 1 ใบ และ E-VIP รับประกันตัวเครื่องเพิ่มเป็น 2 ปี ประกันหน้าจอแตก 1 ครั้ง ภายใน 2 ปีแรก
- เฉพาะผู้ที่ซื้อรุ่น V40 Pro 5G รับหูฟัง vivo TWS 3e (มูลค่า 1,799 บาท )
พิเศษยิ่งขึ้น! สำหรับผู้ที่สั่งซื้อในรูปแบบ Walk-In ภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2567 ณ vivo Brand Shop ทุกสาขา ***รับเพิ่มทันทีหูฟัง vivo TWS 3e สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ V40 5G และส่วนลด 500 บาท สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ V40 Pro 5G
#vivoV40Series5G #พอร์ตเทรตเปิดเกิดทุกคน