Xiaomi Redmi Note 13 | Note 13 5G และ Redmi Note 13 Pro+ 5G ของดีที่มาเป็นชุด
Redmi Note 13 Pro+ 5G ตัวจบในแบบฉบับเครื่องเรือธงครับ แต่เป็นเรือธงในแบบฉบับของวัยรุ่น ตัวเครื่องภายนอกให้ความรู้สึกเกรดพรีเมี่ยม แน่นหนา เนื้อวัสดุดี แต่ให้สีสันและการออกแบบที่มีความน่ารักผสมอยู่ด้วย ดูหรูหราด้วยตัวฝาหลังโค้งและหน้าจอโค้ง ให้หน้าจอคุณภาพสูง ความคมชัดสูง สีสันสดใส พร้อมกับกล้องความละเอียดสูง 200MP และระบบชาร์จไวที่อยู่ในระดับท็อปของตลาด 120W ถ้างบถึงและดูว่าถูกใจ ตัวนี้ราคาดีด้วยครับเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ แนะนำครับ
Redmi Note 13 5G สมาร์ทโฟน 5G เด่นที่ความคุ้มค่า ได้หน้าจอคุณภาพสูง ขอบจอบาง คุมงบได้ในราคาไม่แพง มากับกล้องหลังความละเอียด 108MP ด้วยคุณสมบัติที่ได้มากับราคาจำหน่าย ก็ต้องบอกว่าเป็นตัวเลือกมือถือ 5G ในกลุ่มราคาไม่เกิน ..... ที่น่าเล่นที่สุดแล้วครับ
Redmi Note 13 ตัวเลือกที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นตัวเล็กที่แอบแสบ เปิดราคามาได้น่าสนใจมาก แต่ว่าใส่ความสามารถบางอย่างมาได้เหนือกว่ามาตรฐานราคา ทั้งหน้าจอแสดงผลคุณภาพสูงที่รองรับการแสกนลายนิ้วมือได้โดยตรง และเป็นจอความสว่างสูงถึง 1800nits ยังมาพร้อมกับลำโพงคู่เสียงดังมีมิติ สเปคดีมีความแรงพอตัว Snapdragon 685 กับ RAM 8GB และกล้อง 108MP ที่มาในราคาแค่นี้ ไม่ต้องคิดมากแล้วครับ
The Good
- ตัวเครื่องสวยงาม การประกอบดีมาก ผลิตมาในมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 และ IP54
- กล้องหลังมีความละเอียดสูง 200MP และ 108MP
- ได้หน้าจออย่างดี ภาพสวย สีสด เป็นจอ AMOLED มีคุณภาพดีน่าใช้ รีเฟรชเรทสูง 120Hz และได้การรับรองด้านถนอมสายตาจาก TÜV Rheinland
- ขอบจอบาง เครื่องเล็กแต่หน้าจอใหญ่
- แบตเตอรี่ใหญ่ 5000mAh รองรับระบบชาร์จไว 120W และ 33W
- สเปคคุ้มค่ากับราคาจำหน่ายที่ประกาศออกมา
The Bad
- ไม่มีชุดหูฟังแถมมาให้ภายในกล่อง
-
ความคุ้มค่าต่อราคา
-
ประสิทธิภาพ
-
วัสดุและการประกอบ
-
กล้องถ่ายรูป
-
ฟังก์ชั่นและประโยชน์ในการใช้งาน
สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่จาก Xiaomi ที่เปิดตัวออกมาพร้อมกันทั้ง Redmi Note 13, Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 Pro+ 5G เป็นสามรุ่นทีเ่ปิดตัวออกมาในประเทศไทย โดยทั้งสาามรุ่นเป็นสมาร์ทโฟนในกลุ่มกล้องถ่ายภาพความละเอียดสูงด้วยเซนเซอร์ขนาดใหญ่ทั้งสามรุ่นเลยครับ กับกล้องหลังความละเอียด 108MP และใหญ่สุดขนาด 200MP กับรุ่น Note 13 Pro+ 5G ซึ่งเป็นตัวพี่ใหญ่ของ Series
Redmi Note 13 Series เปิดตัวออกมาราคาดีครับ ซึ่งเป็นมาตรฐานของสมาร์ทโฟนแบรนด์นี้อยู่แล้ว ซึ่งผมบอกได้ว่าถ้าคุณสนใจสมาร์ทโฟนรุ่นไหนที่ใช้ชื่อว่า “Redmi” ก็การันตีได้ว่าในด้านราคาคุ้มทุกๆ รุ่นครับ
มาตรฐานดี งานประกอบดี เป็นแบรนด์ใหญ่ที่ให้สเปคมาคุ้มกับราคาจำหน่ายอยู่เสมอ และสำหรับในซีรี่ส์นี่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพูดถึง ก็คือ “สีสัน และการออกแบบ” ขอบเครื่องตัดเหลี่ยมสีสันสวย ส่วนรุ่นใหญ่ก็หรูหราแต่มาในตัวเลือกสีน่ารักๆ ^^ ซึ่งในบทความรีวิวนี้ผมจะพามารู้จักกับสมาร์ทโฟนทั้งสามรุ่นของ Xiaomi Redmi Note 13 Series กันครับ
ตัวเครื่องภายนอก
Redmi Note 13 Pro+ 5G
เรียบได้ว่าเป็นรุ่นพี่ของซีรี่ส์ ใช้การออกแบบที่แตกต่างกับรุ่นน้องตั้งแต่ตัวเครื่องภายนอก ตัวเครื่องฝาหลังโค้งผิวสัมผัสลื่นแบบกระจกขัดด้าน ละมุนมือครับ และไม่มีการเกิดครอบรอยนิ้วมือ
Redmi Note 13 Pro+ 5G มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือสี Midnight Black , สี Moonlight White และสี Aurora Purple ที่เห็นในรีวิวนี้ เป็นสีที่โดดเด่นมากด้วยการออกแบบฝาหลังแบ่งโซนเป็นโทนพาสเทลสามสี จึงดูมีเป็นมือถือวัยรุ่น งานประกอบเครื่องแน่นและเนี๊ยบมาก ผมบอกเลยว่านี้เป็นเครื่องที่ให้สัมผัสและน้ำหนักแบบเครื่องกลุ่มเรือธงครับ ในการติดตั้งพอร์ต IR Infrared มาให้ด้านบน แต่รุ่นนี้จะไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. บนตัวเครื่องมาให้นะครับ
มาในลักษณะงานประกอบที่แข็งแรงผลิตมาในมาตรฐานกันฝุ่นและน้ำระดับ IP68 ตกน้ำ โดนน้ำสาดใส่ หรือเอาไปล้างน้ำตัวเครื่องก็ยังไม่เป็นอะไร (แม้จะกันน้ำ แต่เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงนะ)
ใช้จอแสดงผลแบบโค้งตัวแรกของสมาร์ทโฟน Redmi Note Series นอกจากเพิ่มความสวยงามให้ตัวเครื่องแล้ว ยังเพิ่มควาแข็งแรงให้กับกระจกหน้าจอได้อีกด้วย และกระจกหน้าจอตัวนี้ก็ใช้เป็น Corning Gorilla Glass Victus ซึ่งมีความแข็งแกร่งสูงมากมาให้ด้วย
ขอบจอเล็กมาก บวกกับหน้าจอทรงโค้ง ทำให้รู้สึกได้ว่าเป็นจอภาพที่ไร้ขอบ แสดงผลได้เต็มหน้าเครื่อง ภาพสวยงสามครับเพราะใช้เป็นจอภาพแบบ CrystalRes AMOLED สีสันสดใส มาในขนาดจอใหญ่ 6.67 นิ้ว เป็นจอความละเอียดสูงมาก 1.5K (2712 x 1220p) มีความสว่างสูงสุด 1800nits และมีอัตรารีเฟรช 120Hz และ touch sampling rate ที่สูงมากถึง 2160Hz จับสัมผัสการทัชได้เร็วและตอบสนองได้ไวอย่างมากเหมาะสำหรับสายเล่นเกม และยังเป็นจอที่รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอโดยตรง เรียกได้ว่าหน้าจอของดีรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว
หน้าจอของ Redmi Note 13 Pro+ 5G ยังมีการใส่คุณสมบัติเข้ามาอีกมากมาย ทั้งเทคโนโลยีการหรี่แสงแบบ PWM ในระดับ 1920Hz ลดความสว่างใช้งานในที่แสงน้อยได้โดยไม่ปวดตา ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ใน 3 คุณสมบัติที่สำคัญต่อสายตา นั้นคือ การปราศจากการกระพริบ (Flicker Free), แสงสีฟ้าต่ำ (Low Blue Light) และการเป็นมิตรต่ออวัยวะดวงตามนุษย์ได้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน (Circadian Friendly) ใช้งานสบายใจ ภาพสวย จอสวย เครื่องสวย และดูได้สบายสายตาครับ ไม่เมื่อยไม่ล้าและไม่ปวดตาได้ง่ายๆ
นอกจากจอภาพจะสวยแล้ว ในด้านระบบเสียงก็ให้มาเป็นลำโพงคู่เสียงดีด้วยนะครับ เสียงดีมีมิติ รองรับ Dolby Atmos ไม่ต้องต่อลำโพงเพิ่มก็ใช้ดูหนังฟังเพลงได้ในห้องอย่างสบายๆ
ด้านหล้องติดตั้งกล้องชุดแบบ 3 ตัว การวางชุดกล้องหลังดุดัน ขอบกล้องยกนูนสูงหุ้มด้วยวงแหวนโลหะ เน้นความจริงจังในด้านการถ่ายภาพ ซึ่งกล้องหลักเป็นเซนเซอร์ที่มีความละเอียดสูงมาก 200MP รูรับแสง f1.65 มีกันสั่น OIS ในตัว ทำงานร่วมกับเลนส์ Ultra Wide 8MP และสุดท้ายคือเลนส์ macro 2MP ส่วนกล้องหน้าจะให้มาเป็นความละเอียด 16MP ซึ่งจะเป็นกล้องหน้าที่มีขนาดเท่าๆ กันทุกรุ่นในซีรี่ส์นี้ครับ
แบตเตอรี่ภายในขนาด 5000mAh ส่วนระบบชาร์จของรุ่นนี้อย่างไวครับ! เป็นระบบ HyperCharge 120W ของทาง Xiaomi กำลังสูงชาร์จไวมาก ใช้เวล่าแค่ประมาณ 19 นาทีเพื่อชาร์จแบตให้เต็มได้ 100% ไม่ว่าแบตจะเหลือแค่ไหนก็ตาม ชาร์จเร็วสุดๆ ซึ่งอุปกรณ์สำหรับการชาร์จ HyperCharge 120W ก็แถมมาให้ภายในกล่องครับ พร้อมสาย USB Type-C และเคสซิลิโคนกันกระแทก
Redmi Note 13 5G
การออกแบบขอบตัดเหลื่ยม ขอบชิดหน้าจอ ตัวเครื่องเล็กแต่หน้าจอใหญ่ ใครที่ชอบเครื่องแบบลักษณะขอบตัดแบบนี้ น่าจะถูกใจกับ Redmi Note 13 5G มีเข้ามาในเลือกสามสีครับ สี Graphite Black, สี Arctic White และสี Ocean Teal ซึ่งเป็นสีที่เห็นในรีวิวนี้
ตัวเครื่องจริงใช้เป็นผิวแบบเกล็ดกลิตเตอร์ระยิบระยับเวลาสะท้อนกับแสง ไม่มีคราบรอยนิ้วมือ มีตัว IR Infrared มาให้เช่นเดิม และรุ่นนี้ก็มีรูหูฟัง 3.5 มม. มาให้ด้วยนะครับ งานประกอบแน่น เป็นเครื่องได้มาตรฐานตามยุคสมัยที่นิยมใช้ตัวเครื่องแบบตัดเหลี่ยม และเป็นรุ่นที่ตัวเครื่องความบางและน้ำหนักค่อนข้างเบากว่ารุ่นอื่นอยู่ด้วย บางแค่ 7.6 มม. และมีน้ำหนักแค่ 174.5 กรัมเท่านั้น เวลาถือจับเข้ามือถือสบายครับ
ขัดผิวทำลวดลายบนผิวฝาหลังออกมาได้ดูดีครับแม้วัสดุหลักจะเป็นพลาสติก และกระจกหน้าจอใช้ Corning Gorilla Glass 5 แข็งแรงครับ ผลิตมาในมาตรฐานกันน่ำกันฝุ่น IP54 ทนต่อการโดนละอองน้ำฝนหรือกระเซ็นใส่ได้
ด้านหลังติดตั้งกล้อง 3 ตัว เป็นกล้องหลักความละเอียด 108MP ทำงานกับกล้อง ultra-wide 8MP และกล้องมาโคร 2MP
Redmi Note 13 5G ใช้หน้าจอแสดงผลขนาด 6.67 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดหน้าจอเท่ากันทั้งซีรี่ส์ เป็นจอชนิด AMOLED FHD+ รีเฟรชเรท AdaptiveSync 120Hz ภาพสีสดและขอบจอบางมากๆ ความสว่างหน้าจอสูงสุด 1000nits ใช้เทคโนโลยีการลดแสง PWM 1920Hz และเป็นจอที่ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ใน 3 คุณสมบัติที่สำคัญต่อสายตาเหมือนเช่นรุ่นใหญ่ครับ เป็นมาตรฐานคุณสมบัติที่มีมาให้ทั้งซีรี่ส์
รุ่นนี้จะไม่ได้ใช้ที่สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอนะครับ แต่เป็นการสแกนผ่านปุ่มพาวเวอร์ด้านข้างเครื่อง และเป็นเครื่องที่ให้ลำโพงมาตัวเดียวนะครับ แต่เรื่องระดับเสียงไม่ต้องห่วงครับ ตัวเดียวแต่ดังมาก และรองรับระบบเสียง Dolby Atmos ด้วยเช่นกัน
แบตเตอรี่ภายในขนาด 5000mAh รองรับการชาร์จไว 33W จากการทดสอบสามารถชาร์จพลังงานได้เฉลี่ยประมาณ 1 นาทีต่อ 1% ครับ โดยจะมีที่ชาร์จแถมมาให้ภายในกล่อง กับสาย USB Type-C และ เคสซิลิโคน
Redmi Note 13
Redmi Note 13 และ Redmi Note 13 5G จะดูคล้ายกันเล็กน้อยจากการใช้รูปทรงเครื่องขอบตัดเหลี่ยมเหมือนกัน แต่มีรายละเอียดในการออกแบบที่ไม่เหมือนกันเลยครับ เพราะว่า Redmi Note 13 เป็นรุ่นเล็กที่มีคุณสมบัติบางอย่างเกินตัว อย่างเช่นสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะให้หน้าจอแบบที่รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอได้โดยตรง โดยใช้หน้าจอขนาด 6.67 นิ้ว แบบ AMOLED FHD+ รีเฟรชเรท AdaptiveSync 120Hz และรุ่นนี้เป็นจอที่มีความสว่างที่สูงถึงระดับ 1800nits เลยทีเดียวครับ
เป็นจอที่ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ใน 3 คุณสมบัติที่สำคัญเช่นเคย จอสดใส แสงสว่างสูงครับ และขอบจอบางมาก
Redmi Note 13 แม้จะเป็นรุ่นน้องแต่กลับมีการใส่ลำโพงคู่มาให้ใช้งานกันด้วย เสียงดังฟังชัด เสียงมีมิติ รองรับ Dolby Atmos ค่อนข้างเหมาะสมสำหรับงานบันเทิงอย่างมากเลย
Redmi Note 13 มีมาตรฐานการป้องกันฝุ่นและน้ำระดับ IP54 มาพร้อมกับหน้าจอ Corning Gorilla Glass 3 มีนำเข้ามาจำหน่ายถึง 3 สี ได้แก่ สี Midnight Black, สี Mint Green และสี Ocean Sunset ซึ่งเป็นสีที่เห็นรีวิวนี้ครับ
Ocean Sunset มองดูจะเหมือนเป็นสีคล้ายเปลือกหอย เวลาสะท้อนเงากับแสงจะเห็นเป็นลวดลายคล้ายคลื่นทะเล งานออกแบบของรุ่นเล็กที่ไม่ธรรมดา
ด้านหลังจะติดตั้งกล้อง 3 ตัว ที่เป็นแบบเดียวกับรุ่น Redmi Note 13 5G เลยครับ กล้องหลักความละเอียด 108MP + ultra-wide 8MP + มาโคร 2MP แต่การออกแบบพื้นที่วางกล้องหลังต่างกัน รุ่นนี้จะมีมีกรอบฐานรองชุดกล้อง แต่จะเป็นการแยกเลนส์กล้องแต่ละตัวออกจากกัน
แบตเตอรี่ภายในขนาด 5000mAh รองรับการชาร์จไว 33W โดยจะมีที่ชาร์จแถมมาให้ภายในกล่อง กับสาย USB Type-C และเคสซิลิโคนมาให้ภายในกล่อง
การใช้งานภายใน
Redmi Note 13 Pro+ 5G
รุ่นพี่ของเรามากับชิปเซ็ตตัวแรง MediaTek Dimensity 7200-Ultra ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 4 นาโนเมตร เป็นชิปยุคใหม่เต็มตัวที่รองรับการใช้งาน 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ด และสามารถใช้งาน eSim ได้แทนช่องซิมการ์ดที่สองครับ (เมื่อเปิดใช้งาน eSim ช่องซิมที่สองจะถูกปิดการทำงาน) มีความแรงในระดับกลุ่ม High-End ตัวนึงเลย ในเรื่องของการใช้งานไหลลื่นมากแล้วครับ ให้ RAM มาเป็นชนิด LPDDR5 ขนาด 8GB/12GB
สำหรับด้านประสิทธิภาพไม่ต้องห่วงเลย จะเล่นเกมอย่างจริงจังก็ได้สบายๆ ครับ ไม่แลคไม่หน่วงไม่ช้าแล้วสำหรับชุดประมวลผลระดับนี้
จากการทดสอบใช้งานของ Redmi Note 13 Pro+ 5G ผมชอบที่หน้าจอแสดงผลของรุ่นนี้มาก จอสวย สีสด และโค้งลงจนไร้ขอบ ทำให้เห็นภาพแบบเต็มหน้าจอ รวมกับตัวเครื่องที่ให้ความรู้สึกแน่นๆ ใครเคยใช้เครื่องระหว่างรุ่นที่เป็นพรีเมี่ยมเรือธง กับเครื่องที่เป็นกลุ่มระดับกลางลงมาคงจะพอจินตนาการออก มันต่างกันตั้งแต่ความรู้สึกตอนถือจับครับ ด้วยน้ำหนัก ด้วยการเก็บงาน และเนื้อวัสดุ ต้องยอมรับว่า Redmi Note 13 Pro+ 5G ให้ความรู้สึกแบบเดียวกับเครื่องเรือธงจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม
การกำหนดการใช้พลังงานใน 3 โปรไฟล์ได้เอง ต้องการเน้นประสิทธิภาพสูงโดยไม่สนใจเรื่องของแบตเตอรี่ หรือจะเน้นที่ความอึดของแบตในวันใช้งานเบาๆ ก็เลือกเองได้ คำสั่งนี้จะมีอยู่ใน Redmi Note 13 รุ่นตัว Pro+ 5G เท่านั้นครับ
น่าใช้สำหรับการเปิดจำหน่ายในราคานี้ ได้สเปคดี เครื่องเกรดการผลิตสูง ใครชอบตัวจบทั้งภายนอกและภายในคำตอบคือตัวนี้เลยครับ
ภายในระบบของ Redmi Note 13 รุ่นตัว Pro+ 5G จะมีการแก้ไขภาพด้วย AI ที่มีความสามารถเหนือกว่ารุ่นอื่นๆ ด้วยการแก้ไขภาพด้วยการวิเคราะห์แยกส่วน เราสามารถเปลี่ยนฉากของท้องฟ้าได้ ปรับเป็นท้องฟ้าแจ่มใสหรือแม้แต่เปลี่ยนให้เป็นฉากกลางคืน รวมถึงการทำเป็นภาพเคลื่อนไหวได้ด้วยเช่น ฉากยิงพลุ โดยตัว AI จะทำการแยกวัตถุออกจากท้องฟ้าให้กับเราได้เอง
การปรับแต่งภาพบุคคลด้วย AI สามารถเพิ่มเติมและสร้างฉากหลังโบเก้เป็นเม็ดไฟในรูปลักษณะต่างๆ ให้กับภาพได้ เช่นเม็ดกลม, ดาว แม้เี่จะถ่ายภาพมาในโหมดธรรมดา รวมถึงการปรับแต่งรูปร่างและใบหน้าของบุคคลได้เฉพาะส่วน ลดเอว ยืดขา เพิ่มสะโพก ความสามารถพวกนี้ทั้งหมดจะมีอยู่ใน Redmi Note 13 รุ่นตัว Pro+ 5G เท่านั้นครับ และทำมาได้ดีด้วย ปรับแต่งได้เยอะและมีความแม่นยำครับ
Redmi Note 13 5G
เป็นอีกหนึ่งเครื่องที่รองรับการใช้งาน 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ด ใช้ชิปเซ็ตจากค่าย Mediatek ที่มาในรุ่น Dimensity 6080 เทคโนโลยีการผลิตระดับ 6 นาโนเมตร ตัวนี้เป็นชิปเซ็ตในกลุ่มระดับกลางค่อนบน ประสิทธิภาพเพียงพอต่อการใช้งานทุกอย่างในระบบ Android
แม้จะไม่ใช่รุ่นที่โชว์ความแรงแบบลื่นไหลรวดเร็วระดับกลุ่มเรือธงราคาสูง แต่ถ้าจะมองหาตัวสมาร์ทโฟนรองรับ 5G ในราคาที่คุ้มๆ ภายใต้งบในใจที่เรียกว่า “จ่ายแค่นี้ก็พอแล้ว” รุ่นนี้อยู่ในจุดนั้นพอดีครับ
ให้ RAM มาเป็นชนิด LPDDR4X ขนาด 8GB/12GB ไม่มีอะไรที่เป็นข้อบกพร่อง โดยมีหน้าจอแสดงผลที่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของสมาร์ทโฟนซีรี่ส์นี้ ภาพสดใส สีสวย ความสว่างดีครับ ตัวนี้ให้ความสว่างสูงสุด 1000nits ใช้งานกลางแจ้งก็ยังมองเห็น
ขอบจอบางมากเพราะเป็นนเครื่องตัดเหลี่ยมเราเลยมองไม่ค่อยเห็นขอบ ความละเอียดหน้าจอก็ดีและรีเฟรชเรทจอก็สูงครับ ครบครันการเป็นมือถือ 5G ในราคาไม่แพงอย่างที่บอกไป ใครที่ไม่ได้เน้นที่เครื่องสเปคแรงสะใจ แต่เน้นที่ความคุ้มในด้านราคาจำหน่ายเมื่อเทียบกับสเปค รุ่นนี้ไม่ผิดหวังครับ
Redmi Note 13
ตัว Redmi Note 13 ถูกวางสเปคมาเป็นน้องเล็กที่เน้นด้านความคุ้มค่าเหมือนกับรุ่น Redmi Note 13 5G นั้นแหละครับ แต่แค่เป็นรุ่นที่จะไม่รองรับการใช้งาน 5G เท่านั้น โดยเราจะได้หน่วยประมวลผลที่มาจากแบรนด์ใหญ่อย่าง Qualcomm Snapdragon 685 และ RAM ที่ให้มาเป็นชนิด LPDDR4X เหมือนกันในขนาด 8GB
อย่าลืมว่าเจ้าน้องเล็กตัวนี้แอบมีดีเกินตัวหลายประการ มันได้หน้าจอคุณภาพสูงที่เป็น AMOLED ความสว่างระดับ 1800nits มาใช้งาน แถมยังเป็นจอที่รองรับการสแกนลายนิ้วมือได้บนจอโดยตรงอีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีลำโพงแบบสเตอริโอคู่ เสียงดังชัดมากๆ ฉะนั้นในด้านความบันเทิงตัวนีั้เข้าตาแน่นอนครับ และอย่างที่บอกว่าสมาร์ทโฟนซีรี่ส์นี้ ให้จอภาพที่สีสวยทุกรุ่น ขอบจอบาง ความละเอียดดี และรีเฟรชเรทสูง
สมาร์ทโฟน Redmi Note 13, Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 Pro+ 5G ทั้งสามรุ่น มาพร้อมกับ MIUI 14 ครอบทับบน Android 13 ทั้งหมดครับ จึงเห็นว่าทุกรุ่นจะมีความสามารถในการขยายพื้นที่ RAM ออกไปได้ด้วยหน่วยความจำที่ยังไม่ถูกใช้งานได้อีก 4GB ด้วยขนาดแรมที่ใหญ่ ทุกตัวจึงสามารถสลับเข้าออกแอปพลิเคชั่นได้เร็วครับ แบ่งหน้าจอทำงานสองแอปพร้อมกันก็ทำงานได้ลื่นๆ ทดสอบใช้งานมายังไม่เจอปัญหา แลค ค้าง หรือรีสตาร์ทเลยในการทดสอบ
ความสามารถก็ใส่เข้ามาให้ครบอยู่แล้วครับสำหรับ MIUI 14 มีตัวคอยดูแลสุขภาพเครื่อง ทั้งการสแกนความปลอดภัยของระบบและจัดการไฟล์ขยะ รวมถึงการเปิดและปิดระบบชาร์จความเร็วสูง เพื่อกันตัวเครื่องร้อนในขณะเสียบไฟใช้งาน สำหรับคนที่อยากจะถนอมอายุของแบตเตอรี่ให้ยาวนานออกไปอีกสักหน่อย ระบบของ Redmi ก็สามารถจัดการให้ได้ และมีการกำหนดค่าหลายอย่างเกี่ยวกับพลังงานและสุขภาพของแบตครับ
โหมดสำหรับคนเล่นเกม ปรับแต่งหน้าตามาในรุ่นล่าสุดดูใช้งานง่ายและสะดวกดีครับ เรียกฟังก์ชั่นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกมขึ้นมาใช้ได้ รวมไว้ในหน้าเดียว
กล้องถ่ายภาพ
จะสังเกตเห็นว่า กล้องถ่ายภาพของสมาร์ทโฟนทั้งสามรุ่นที่เปิดตัวออกมา ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังจะใช้เป็นกล้องความละเอียดเท่ากันหมด ยกเว้น! กล้องหลังตัวหลักของ Redmi Note 13 Pro+ 5G เท่านั้นที่จะมีความละเอียดมากกว่ารุ่นอื่นๆ
Redmi Note 13 Pro+ 5G จะใช้กล้องหลังตัวหลักเป็นกล้องความละเอียด 200MP รูรับแสง f1.65 มีกันสั่น OIS ในตัว ส่วนในรุ่น Redmi Note 13 และ Note 13 5G จะใช้กล้องหลังตัวหลักเป็น 108MP รูรับแสง f/1.7 เหมือนกันในสองรุ่นครับ
ส่วนกล้องตัวที่เหลือจะเป็นเซ็ตติ้งเดียวกันทั้งหมด นั้นคือกล้องหลังตัวที่สอง เป็นเลนส์ Ultra Wide 8MP f2.2 และเลนส์ macro 2MP f2.4 ส่วนกล้องหน้าจะให้มาเป็นความละเอียด 16MP เท่ากันทั้งหมดด้วยเช่นกัน ฉะนั้นโหมดถ่ายภาพก็จะคล้ายกันทั้งหมดครับ มีโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง 200MP และ 108MP ตามลำดับ โหมดถ่ายภาพมุมกว้าง 0.6x ที่สามารถซูมดิจิทับได้ไกลสุด 10x เท่ากันทั้งหมด พร้อมมีโหมดภาพกลางคืนสำหรับการถ่ายในที่แสงน้อย ทำผลงานได้ดีครับกล้องชุดนี้ พกไปเที่ยวได้
ตัวอย่างภาพถ่าย
โหมดภาพความละเอียดสูง ภาพจะใหญ่ระดับพิมพ์คลุมตึกได้เลยครับ แต่ก็ได้ขนาดไฟล์ภาพที่ใหญ่มากด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะโหมด 200MP ไฟล์ภาพประมาณ 30Mb เลยทีเดียว แต่ถ่ายก่อนแล้วมาซูมใช้ทีหลังภาพก็ยังคมครับ ไม่ต้องซูมก่อนถ่าย
โหมดถ่ายภาพพอร์ทเทรตบุคคล มาพร้อมกับโหมดบิวตี้ปรับหน้าใสและฟิลเตอร์สีสัน เราสามารถปรับระดับชัดลึกชัดตื่นได้ตั้งแต่ f1-f16 และปรับได้ทั้งก่อนการถ่ายหรือกลับมาแก้ไขหลังการถ่ายก็ได้ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดบุคคล
และมีโหมดสำหรับการเล่นกับรูรับแสง การเปิดรูรับแสงนานๆ เช่นถ่ายแสงไฟรถตอนรถวิ่ง ถ่ายน้ำตก หรือใช้ถ่ายพลุ ฟังก์ชั่นพวกนี้ออกแบบมาให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องการตั้งค่ากล้องมากนัก ก็ยังถ่ายภาพที่ต้องใช้เทคนิคเหล่านี้ได้ง่ายๆ ครับ
สรุปท้ายรีวิว
Redmi Note 13 Pro+ 5G ตัวจบในแบบฉบับเครื่องเรือธงครับ แต่เป็นเรือธงในแบบฉบับของวัยรุ่น ตัวเครื่องภายนอกให้ความรู้สึกเกรดพรีเมี่ยม แน่นหนา เนื้อวัสดุดี แต่ให้สีสันและการออกแบบที่มีความน่ารักผสมอยู่ด้วย ดูหรูหราด้วยตัวฝาหลังโค้งและหน้าจอโค้ง ให้หน้าจอคุณภาพสูง ความคมชัดสูง สีสันสดใส พร้อมกับกล้องความละเอียดสูง 200MP และระบบชาร์จไวที่อยู่ในระดับท็อปของตลาด 120W ถ้างบถึงและดูว่าถูกใจ ตัวนี้ราคาดีด้วยครับเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ แนะนำครับ
Redmi Note 13 5G สมาร์ทโฟน 5G เด่นที่ความคุ้มค่า ได้หน้าจอคุณภาพสูง ขอบจอบาง คุมงบได้ในราคาไม่แพง มากับกล้องหลังความละเอียด 108MP ด้วยคุณสมบัติที่ได้มากับราคาจำหน่าย ก็ต้องบอกว่าเป็นตัวเลือกมือถือ 5G ในกลุ่มราคา 7,999 บาท ที่น่าเล่นที่สุดแล้วครับ
Redmi Note 13 ตัวเลือกที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นตัวเล็กที่แอบแสบ เปิดราคามาได้น่าสนใจมาก แต่ว่าใส่ความสามารถบางอย่างมาได้เหนือกว่ามาตรฐานราคา ทั้งหน้าจอแสดงผลคุณภาพสูงที่รองรับการแสกนลายนิ้วมือได้โดยตรง และเป็นจอความสว่างสูงถึง 1800nits ยังมาพร้อมกับลำโพงคู่เสียงดังมีมิติ สเปคดีมีความแรงพอตัว Snapdragon 685 กับ RAM 8GB และกล้อง 108MP ที่มาในราคาแค่นี้ ไม่ต้องคิดมากแล้วครับ
โปรโมชั่น, ราคา และวันวางจำหน่าย
Redmi Note 13 Pro+ 5G มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Moonlight White และ Aurora Purple ให้ลูกค้าสั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 16 – 26 มกราคม 2567 โดยจะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์แพลตฟอร์ม
- Redmi Note 13 Pro+ 5G รุ่นความจุ 8GB+256GB วางจำหน่ายในราคา 13,990 บาท
พิเศษสำหรับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 16 – 26 มกราคม 2567 รับฟรี! ประกันหน้าจอ 6 เดือน พร้อมอัปเกรดความจุเป็น 12GB+512GB และ Redmi Note 13 Series Giftbox รวมมูลค่าของสมนาคุณทั้งสิ้น 9,280 บาท - Redmi Note 13 Pro+ 5G รุ่นความจุ 12GB+512GB วางจำหน่ายในราคา 15,990 บาท
Redmi Note 13 5G มีให้เลือก 3 สี Graphite Black, Ocean Teal และ Arctic White โดยจะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์แพลตฟอร์ม พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่ซื้อ Redmi Note 13 5G ในระหว่างวันที่ 16 มกราคม – 29 กุมภาพันธ์ 2567 รับฟรี Portable Bluetooth Speaker มูลค่า 690 บาท
- Redmi Note 13 5G รุ่นความจุ 8GB+256GB วางจำหน่ายในราคา 7,999 บาท
- Redmi Note 13 5G รุ่นความจุ 12GB+512GB วางจำหน่ายในราคา 9,999 บาท
Redmi Note 13 มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Mint Green และ Ocean Sunset โดยจะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์แพลตฟอร์ม พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่ซื้อ Redmi Note 13 ในระหว่างวันที่ 16 มกราคม – 29 กุมภาพันธ์ 2567 รับฟรี Portable Bluetooth Speaker มูลค่า 690 บาท
- Redmi Note 13 รุ่นความจุ 8GB+256GB วางจำหน่ายในราคา 6,999 บาท