Google เตรียมปรับปรุง Android ครั้งใหญ่ในปีนี้ โดยจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ที่ก่อนหน้านี้เคยเปิดตัวไปกับระบบ iOS แล้วมากมาย ยกตัวอย่างเช่นระบบเสียง Spatial Audio หรือระบบเสียงรอบทิศทางเมื่อใช้งานคู่กับหูฟังที่รองรับ หรือระบบ Digital Car Key หรือกุญแจรถแบบดิจิตัลที่เคยเรียกเสียงฮือฮามาแล้วเมื่อครั้งที่ Apple เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยฟีเจอร์ทั้งหมดที่ว่ามา และอีกหลายๆ ฟีเจอร์นั้นเกิดขึ้นได้จากการอัพเดตเทคโนโลยี Fast Pair ของตัวระบบ Android เอง และบางฟีเจอร์จะพร้อมใช้งานในอีกไม่กี่สีปดาห์ข้างหน้านี้ ในขณะที่บางฟีเจอร์จะใช้งานได้หลังจากนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
Spatial Audio และ Auto-Switching ฟีเจอร์ที่ยังคงขาดหายไปจาก Android
Fast Pair นั้นเป็นระบบการเชื่อมต่ออุปกรณ์บลูทูธของ Google โดยการใช้ประโยชน์จากหน้าต่างป๊อปอัพเพื่อให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องกดเข้าไปเชื่อมต่อในเมนูการตั้งค่าอย่างแต่ก่อน และก็เพราะไอ้เจ้าเทคโนโลยี Fast Pair นี้เองที่ทำให้ผู้ใช้งาน Android สามารถเชื่อมต่อหูฟังของตัวเองเข้ากับอุปกรณ์ Android ทั้งหมดที่ตัวเองเป็นเจ้าของและใช้งานอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการแพริ่งใหม่ทุกครั้งกับอุปกรณ์ทุกเครื่องของเรา โดยเทคโนโลยีคล้ายกันนี้ถูกใช้งานบนระบบ iOS/iPadOS/MacOS/tvOS และ WatchOS ของ Apple ได้อย่างสเถียรมาระยะใหญ่แล้ว ในขณะที่ทางฝั่งของ Google เองนั้นยังต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาอีกพอสมควรเพื่อให้รองรับความสามารถทั้งหมดของเทคโนโลยีดังกล่าวได้เหมือนกับฝั่งของระบบ Apple เค้า โดยเป้าหมายของ Google นั้นชัดเจนมากว่าจะพัฒนาระบบ Fast Pair ของตัวเองให้ใช้งานได้กว้างขึ้นกว่าเพียงแค่การเชื่อมต่อหูฟัง แต่จะให้ครอบคลุมไปถึงการใช้งานกับโทรทัศน์และอุปกรณ์สมาร์ทโฮมทั้งหลายด้วยในอนาคต
โดยแผนการที่ขัดเจนที่สุดของ Google ต่อการพัฒนาเจ้า Fast Pair นั้นคือการนำเอาฟังก์ชั่น Auto-Switching มาใช้งาน ซึ่งฟังก์ชั่นดังกล่าวนี้ผู้ใช้งานระบบ Apple Ecosystem เองได้ใช้งานกันมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว หลักการทำงานคร่าวๆ นั้นก็ไม่ได้ซับซ้อน แต่ซ่อนประโยชน์เอาไว้ให้กับผู้ใช้งานโดยตรง โดยเจ้าฟีเจอร์ Auto-Switching ที่ว่านี้จะทำหน้าที่ในการเปลี่ยนการเชื่อมต่อของหูฟังก์หรืออุปกรณ์บลูทูธของเราตามความเหมาะสมของการใช้งานในขณะนั้น ยกตัวอย่างช่นหากเรากำลังใช้ฟูฟังก์ของเราฟังเพลงบน Chromebook อยู่ และจู่ๆ ก็มีโทรศัพท์เข้ามาที่มือถือ Android ของเรา ระบบ Auto-Switching จะทำการสลับหูฟังบลูทูธของเราไปเชื่อมต่อกับมือถือโดยอัตโนมัติเพื่อให้เรารับสายจากบลูทูธได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการสลับอุปกรณ์เชื่อมต่อด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ Google เองยังวางแผนจะเพิ่มฟีเจอร์ Spatial Audio หรือระบบเสียงรอบทิศทางให้กับมือถือและอุปกรณ์ระบบ Android อีกด้วย เมื่อใช้งานร่วมกับหูฟังที่รองรับ โดย Spatial Audio นั้นจะจำลองระบบเสียงรอบทิศทางตามการเคลื่อนไหวของศีรษะของผู้ใช้งาน โดยเป็นระบบเสียงแบบ 360 องศาเหมือนกับระบบ Dolby Atmos ซึ่งจะรองรับการใช้งานที่หลากหลายทั้งบริการดูหนัและฟังเพลงต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น Netflix, Apple Music และ Tidal ที่ผู้ใช้งานระบบ Apple Ecosystem กำลังใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันนี้
ทั้ง Auto-Switching และ Spatial Audio นั้นมีแผนที่จะปล่อยให้อัพเดตและเปิดใช้บริการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้บนอุปกรณ์ที่รองรับ ซึ่งทาง Google จะมีประกาศรายชื่อและเวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการออกมาให้ทราบต่อไปในอนาคต
หมดยุคกุญแจรถแบบโบราณ Android เตรียมเข้าสู่ยุค Digital Car Key หรือกุญแจรถแบบดิจิตัล
ฟังก์ชั่น Digital Car Key ที่ Google เผยออกมาล่าสุดนั้นจะทำให้ผู้ใช้งาน Google Pixel และมือถือ Samsung รุ่นที่รองรับสามารถใช้มือถือของตัวเองเป็นกุญแจดิจิตัลให้กับรถที่เพื่อนๆ ขับกันอยู่ได้ โดยในสเตจแรกนั้นจะเปิดฟังก์ชั่นให้ใช้งานร่วมกับรถหรู BMW รุ่นที่รองรับก่อน เช่นเดียวกับ Digital Car Key ของทางฝั่ง Apple ที่มีเปิดให้บริการกันไปแล้ว ทั้งนี้ Google จะใช้ความสามารถของเทคโนโลยี Ultra Wideband (UWB) มาช่วยในการสั่งงานรถ เพื่อที่เจ้าของรถจะได้ไม่จำเป็นต้องหยิบเอามือถือออกมาเพื่อควบคุมรถแต่อย่างใด และหากมีเพื่อนฝูงหรือคนในครอบครัวต้องการยืมรถของเราไปใช้ เราก็ยังสามารถให้เพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวเรายืม Digital Car Key ของเราไปใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจรถยนต์แบบเดิมๆ อีกต่อไป
ทั้งนี้ Google ยังเสริมอีกว่ามีแผนที่จะนำ Digital Car Key ไปใช้งานกับอุปกรณ์ Android แบรนด์อื่นๆ รวมถึงรถยนต์จากค่ายอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยภายในปีนี้ และยังรวมไปจนถึงการยืนยันว่าในตอนนี้ทางบริษัทเองกำลังพัฒนาแอพลิเคชั่นที่จะทำให้สามารถเชื่อมต่อมือถือ Android เข้ากับคอมพิวเตอร์ระบบ Windows ผ่านทางเทคโนโลยี Fast Pair นี้ได้ด้วย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถ “เชื่อมต่ออุปกรณ์บลูทูธและซิงค์ข้อความต่างๆ ตลอดจนแชร์ไฟล์ต่างๆ ระหว่างอุปกรณ์ผ่านระบบ Nearby Share” ได้ ซึ่งก็เทียบได้กับระบบ Continuity และ Airdrop ที่ใช้กันอยู่บน Apple Ecosystem ในปัจจุบันนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ถือเป็นอีกก้าวที่หน้าจับตามองมากๆ ของ Google และ Android ที่จะช่วยให้การใช้งานระบบ Android นั้นตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมมายิ่งขึ้น และยังช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งานอย่างเราๆ ท่านๆ ให้สามารถใช้มือถือ Android ของเราได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย แน่นอนว่าทันทีที่มีความคืบหน้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์น่าสนใจเหล่านี้ APPDISQUS จะไม่พลาดที่จะรีบนำมาอัพเดตให้เพื่อนๆ ที่ติดตามได้รับทราบกันอย่างแน่นอน